นิทานสอนใจ : คุณค่าของใบไม้แห้ง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งนามว่า ฤๅษีอุอะ ได้สละทางโลกมานั่งบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าลึกเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีลิงน้อยแสนรู้ที่ฤๅษีเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็กเป็นผู้หาผลไม้ในป่ามาให้ท่านฤๅษีรับประทานเป็นอาหารทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฤๅษีอุอะ กำลังนั่งเข้าฌานเหมือนดังเช่นทุกวัน จู่ๆ เจ้าลิงแสนรู้ก็กระโจนทะเล่อทะล่าเข้ามาในอาศรม พร้อมกับละล่ำละลักพูดกับฤๅษีซึ่งนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ว่า
“เจี๊ยกๆ ท่านฤๅษีผู้มีเมตตา ได้โปรดออกจากฌานมาช่วยแก้ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก่อนเถิดเจ้าข้า เจี๊ยกๆ”
ฤๅษีอุอะ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเจ้าลิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“มีอะไรที่เจ้าต้องการบอกข้าหรือเจ้าลิง” ฤๅษีถามอย่างสงบ
“เจี๊ยกๆ คือว่า เมื่อสักครู่ ข้าได้ออกไปหาผลไม้ในบริเวณใกล้ๆ กับหน้าผาใหญ่ของชายป่าด้านโน้น เจี๊ยกๆ แล้วข้าก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ข้าพยายามส่งเสียงร้องห้ามปรามเขา แต่เขาก็ไม่เข้าใจเสียงร้องของข้า เพราะนอกจากท่านฤๅษีแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจฟังข้าเข้าใจได้ เจี๊ยก” เจ้าลิงกล่าวอย่างร้อนรน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ฤๅษีอุอะว่า แล้วท่องมนต์ที่ทำให้หายตัววับไปในทันที ส่วนเจ้าลิงแสนรู้ก็รีบห้อยโหนต้นไม้เพื่อกลับไปยังบริเวณหน้าผาแห่งนั้น
ที่หน้าผาใหญ่ตรงชายป่า ชายหนุ่มท่าทางพ่ายแพ้ในชะตาชีวิตกำลังจ้องมองลงไปยังก้นเหวเบื้องล่าง เขาค่อยๆ สืบเท้าของตนออกไปทีละนิดๆ จนยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบหน้าผา
เปรี้ยง!
สายฟ้าไม่ปรากฏที่มา ฟาดเข้ากับหน้าอกของชายสิ้นคิดอย่างแรงจนเกิดเป็นแรงผลักมหาศาล ทำให้ตัวเขากระเด็นถอยหลังออกไปจากขอบหน้าผา และกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในบริเวณนั้นอย่างแรง
“โชคดีของเจ้าแล้ว ที่ข้ามาทันเวลาพอดี” ฤๅษีอุอะ กล่าวพลางเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มพร้อมด้วยเจ้าลิงแสนรู้
“นี่เป็นอิทธิฤทธิ์ของท่านอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มโวยวายลั่นป่า เมื่อรู้ว่าใครทำร้ายเขา “ผู้ทรงศีลอย่างท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน”
“ใครคือผู้บริสุทธิ์...เจ้านะหรือ” ฤๅษีอุอะหัวเราะอยู่ในลำคอ “ฆาตกรอย่างเจ้า เรียกตัวเองว่าผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มปากเต็มคำได้อย่างนั้นหรือ”
“ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไรของท่าน ข้าไม่เคยฆ่าใคร” ชายหนุ่มขึ้นเสียง
“เจ้ามีบิดามารดาหรือไม่” ท่านฤๅษีถามอย่างใจเย็น
“มีสิ ข้ามีทั้งมารดาและบิดา”
“ใครเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า รึตัวเจ้าถือกำเนิดขึ้นมาเอง” ฤๅษีอุอะ ถามต่อ
“เอ๊ะ! ถามอะไรประหลาดแบบนั้น ใครจะเกิดขึ้นมาได้ ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายก็ต้องมีมารดาเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งนั้น แม้แต่เด็กกำพร้าก็เถอะ” ชายหนุ่มตอบอย่างหงุดหงิด
“ถ้าเจ้ามิได้ถือกำเนิดขึ้นมาเอง แต่มารดาของเจ้าคือผู้ให้กำเนิดเจ้า และนางต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพื่อยอมให้เจ้าเกิดมาพร้อมด้วยลมหายใจและร่างกายที่สมบูรณ์ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็มิใช่เจ้าของชีวิตของตนเองเลย และไม่มีสิทธิขาดในการมอบความตายให้กับชีวิตของเจ้า การที่เจ้าฆ่าตัวตาย ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกับการฆ่าผู้อื่น และเวรกรรมของการประพฤติผิดนี้หนักหนาสาหัสต์นัก ต้องชดใช้ไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติจึงจะหมดสิ้น” ฤๅษีอุอะพูดเตือนสติ ชายหนุ่มจึงนิ่งเงียบไปเหมือนพยายามไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“แต่คนอย่างข้า...” ชายหนุ่มเอ่ย น้ำเสียงอ่อนลง แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความสิ้นหวังอย่างรุนแรง “...คนอย่างข้าอยู่ไปก็ไร้ความหมาย ข้ามันเป็นคนขี้แพ้...รู้ไหมท่านฤๅษี ชีวิตของข้ามีแต่ความฉิบหายวายวอด ข้าสู้ทนทำงานหนักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพื่อนำไปลงทุนค้าขายจนพอจะได้กำไรงามอยู่บ้าง จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้โรงเก็บสินค้าวอดวายหมดสิ้น ถึงคราวหมดเนื้อหมดตัว คนรอบข้างก็มีแต่ถากถาง หาว่าข้าไม่เจียมตัวบ้างล่ะ คิดทำการใหญ่เกินตัวบ้างล่ะ มิตรสหายก็หายหน้าไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูบ้านต้อนรับ ซ้ำร้ายเมียที่ข้าแสนรักและไว้ใจก็ทนลำบากไม่ไหวหนีตามชายชู้ไปอีก ทุกคนทอดทิ้งข้า แต่ก็สมควรแล้วเพราะข้ามันคนไร้ค่า ตายไปยังจะมีประโยชน์เสียกว่า” ชายหนุ่มคร่ำครวญถึงชีวิตอัปยศของตนเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขานั่งทอดอาลัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามฤๅษีอุอะ ว่า
“จริงสิท่าฤๅษี ท่านคือผู้ทรงศีลผู้รู้จักนรกและสวรรค์ ท่านพอจะช่วยข้าให้ตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอันน่ากลัวนั้นได้หรือไม่”
ฤๅษีนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบชายหนุ่มว่า
“ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องทำตามข้อเสนอของจ้าให้ได้เสียก่อน...”
“บอกข้อเสนอของท่านมาได้เลย ข้ายินดีทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง ขอเพียงให้ข้าได้ตายอย่างเป็นสุขเท่านั้น” ชายหนุ่มรับข้อเสนอทันทีโดยไม่ต้องคิด
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว...ข้อเสนอของข้า ก็คือ ให้เจ้าเดินมุ่งไปยังหมู้บ้านที่อยู่ทางตะวันตกเป็นเส้นตรง ระหว่างทางที่เดินผ่าน ขอให้เจ้าเก็บใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเอากลับมาให้ข้าด้วย” ฤาษีอุอะบอกข้อเสนอของตนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสนเท่ห์เป็นอย่างมาก
“ใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ...แค่นั้นรึ...” เขาทวนคำอย่างลังเล
“ใช่ แค่นั้นเอง” ฤๅษีอุอะย้ำคำตอบ “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่ขัดขวางการจบชีวิตของเจ้า และจะยังช่วยให้เจ้าตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมใดๆ อีกเลย”
“ดีจริง! ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินเป็นเส้นตรงไปทางหมู่บ้านตะวันตก และนำใบไม้แห้งมาให้ท่านมากๆ เลย คอยดูสิ”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดฤๅษีอุอะจึงอยากได้ของประหลาดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบเดินทางไปยังหมู่บ้านฝั่งตะวันตก โดยมีเจ้าลิงแสนรู้ปีนต้นไม้ตามไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเป็นเส้นตรงตามทีฤาษีอุอะต้องการและไม่ทันไร เขาก็พบใบไม้แห้งกองใหญ่กองหนึ่ง ชายหนุ่มจึงก้มลงเก็บใบไม้แห้งบางใบขึ้นมา
“แย่ละสิ เขาได้ใบไม้แห้งตามที่ท่านฤาษีต้องการมาแล้ว” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างตระหนก แต่แล้วจู่ๆ ก็มีตาเฒ่าคนหนึ่งวิ่งกระย่องกระแย่งเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับพูดว่า
“พ่อหนุ่ม ช่วยเอาใบไม้แห้งใส่ไว้ในกองอย่างเดิมเถิด เพราะตาต้องใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าจะกวาดใบไม้แห้งมากองรวมกันได้มากขนาดนี้”
“ตาจะเอาใบไม้แห้งนี่ไปทำอะไรหรือ เพราะข้ามองไม่เห็นประโยชน์ของมันเลยสักนิดเดียว” ชายหนุ่มถามอย่างฉงน
“ตาจะเอาไปใช้ในที่นาของตา ตาจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปเผาเพื่อใช้ทำปุ๋ย พ่อหนุ่มคงไม่เคยรู้ล่ะสิว่าปุ๋ยจากใบไม้แห้งเป็นปุ๋ยที่ดีมาก ทำให้ต้นข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวได้เยอะ หากไม่มีใบไม้แห้งกองนี้ ตาคงไม่มีข้าวพอขายหรือแม้แต่จะนำมาหุงกินเองเป็นแน่” ตาเฒ่าอธิบาย
“ถ้าใบไม้แห้งพวกนี้มีประโยชน์กับตามากถึงขนาดนั้น ข้าก็เอามันไปไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มบอก และก่อนจะจากตาเฒ่าไปเขายังช่วยรวบรวมใบไม้แห้งในบริเวณนั้นมากองไว้ให้ตาเฒ่าอย่างมากมายอีกด้วย จากนั้นจึงกล่าวลาตาเฒ่าและออกเดินทางไปหาใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการต่อไป
“โอ้โชคดีที่ใบไม้แห้งกองนั้นเป็นที่ต้องการของชาวนาเขาจึงเอามันไปไม่ได้” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างโล่งอก
แต่เจ้าลิงก็โล่งอกโล่งใจได้ไม่นาน เมื่อชายหนุ่มเดินไปใกล้เขตหมู่บ้านฝั่งตะวันตก และได้พบหญิงชาวบ้านสามคนที่กำลังขมีขมันเก็บใบไม้แห้งใส่ตะกร้าหวายของพวกนาง ชายหนุ่มจึงเดินไปถามหญิงชาวบ้านทั้งสามว่า
“ขอโทษที่มารบกวนนะพี่สาว พวกพี่สาวจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปทำอะไรหรือ”
“ใบไม้แห้งนี่นะหรือ” หญิงชาวบ้านคนแรกว่า “ข้าจะเอาไปจุดไฟหุงข้าวน่ะน้องชาย ใบไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี และข้าก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อฟืนอีกด้วย”
“ส่วนข้าเลือกหาใบไม้แห้งที่ใหญ่หน่อย เช่น ใบตอง เพื่อนำไปเย็บเป็นกระทงใส่อาหารแทนชามข้าว นอกจากนั้นข้ายังนำเศษใบไม้ที่เหลือไปห่อขนมขายเอาเงินมาเลี้ยงลูกๆ ของข้าอีกด้วย” หญิงชาวบ้านคนที่สองบอก
“แล้วพี่สาวหล่ะ พี่สาวต้องการใบไม้แห้งที่ดูไร้ค่าพวกนี้ไปทำไมหรือ”
ชายหนุ่มหันไปถามหญิงชาวบ้านคนที่สาม ซึ่งเธอหัวเราะร่วนก่อนจะตอบว่า
“เข้าใจผิดแล้วล่ะน้องชาย ใบไม้พวกนี้ไม่ได้ไร้ค่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก”
“ดูเหมือนท่านจะพูดจาล้อเล่นเกินไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่อ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นอะไรเลยเจ้าหนุ่ม ข้าเลือกเก็บใบไม้แห้งที่เป็นตัวยาสมุนไพรเพื่อเอาไปให้สามีของข้าซึ่งเป็นหมอชาวบ้านนำไปใช้ปรุงเป็นตัวยารักษาคนเจ็บ การที่คนเรามีสุขภาพดี ห่างหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำหรอกหรือ”
ชายหนุ่มนิ่งคิดพิเคราะห์และเห็นจริงดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน
“ดีจริงที่ใบไม้นี้เป็นที่ต้องการของใครๆ ไม่อย่างนั้นอายุของผู้ชายคนนี้ก็ต้องสั้นลง หากเขาเจอใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเข้าจริงๆ” เจ้าลิงแสนรู้คิดแล้วออกห้อยโหนกิ่งไม้ใหญ่เพื่อเดินทางตามชายหนุ่มต่อไป
ตอนนี้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในเขตหมู่บ้านตะวันตกแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างจอแจหนาแน่นแต่ถนนหนทางกลับสะอาดเอี่ยม บ้านเรือนแต่ละหลังปลูกติดกันเป็นแนวยาว นานๆ ครั้งจึงจะปรากฏตรอกเล็กๆ ให้เห็นอยู่บ้าง ชายหนุ่มเดินหลบหลีกผู้คนพลางสายตาก็สอดส่ายหาใบไม้แห้งไปพลางแต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินเป็นเส้นตรงตามคำสั่งของฤาษีอุอะ ทว่าในเขตชุมชนเมืองเช่นนี้ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเจอใบไม้แห้งก็ลดน้อยลงไปด้วย
“ดูเหมือนว่า หมู่บ้านตะวันตกนี่จะหาใบไม้แห้งยากสักหน่อยนะ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้จะได้เลิกคิดที่จะตายเสียที” เจ้าลิงคิดอย่างโล่งใจ มันต้องใช้หลังคาบ้านของชาวบ้านเป็นทางสัญจรเพื่อหลีกหนีความจอแจวุ่นวายด้านล่าง
ชายหนุ่มเดินเป็นเส้นตรงจนจวนจะถึงท้ายหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบใบไม้แห้งเลยแม้แต่ใบเดียว จนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จู่ๆ ก็มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา และใบไม้แห้งใบหนึ่งก็ตกลงมาตรงหน้าของเขา
เจ้าลิงรู้สึกใจหาย และนึกตำหนิลมวูบนั้นอยู่ในใจ
ขณะที่ชายหนุ่มก้มตัวลงเพื่อจะเก็บใบไม้อยู่นั่นเอง นกใหญ่ตัวหนึ่งก็บินลงมาโฉบเอาใบไม้แห้งใบนั้นไปต่อหน้าต่อตาเขา
“โธ่เอ๊ย! เจ้านกบ้า นั่นมันใบไม้ของข้านะ ข้าเจอมันก่อน” ชายหนุ่มชะเง้อคอมองตามนกใหญ่และร้องโวยวายด้วยความไม่พอใจ เขาเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง หมายจะขว้างใส่นกขี้โขมยให้รู้สำนึก แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่านกใหญ่เอาใบไม้แห้งไปทำอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงโยนก้อนหินทิ้งแล้วออกเดินต่อไป
เจ้าลิงซึ่งสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ นึกสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้ใบนั้นให้นกใหญ่ไปอย่างง่ายดาย มันจึงรีบปีนไปบนต้นไม้ใหญ่ตรงยอดไม้ที่นกตัวนั้นเกาะอยู่
สิ่งที่เจ้าลิงเห็นคือรังนกที่มีลูกนกตัวเล็กๆ สี่ตัวกำลังส่งเสียงร้องกระชั้นถี่ร้องหาอาหารจากแม่ของมัน แม่นกใหญ่มองลูกๆ ของนางอย่างสงสาร นางบอกแก่ลูกนกว่า
“รอสักประเดี๋ยวนะลูก แม่เพิ่งได้ใบไม้แห้งมาเมื่อครู่นี้เอง และแม่ต้องซ่อมแซมรังของเราให้แข็งแรงดีเสียก่อน จึงจะวางใจออกไปหาอาหารมาป้อนลูกได้ ไม่อย่างนั้นระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ลูกๆ ของแม่อาจตกลงไปจากรังจนเป็นอัตรายได้”
เจ้าลิงฟังแม่นกใหญ่พูดแล้วรู้สึกประทับใจในน้ำใจของชายหนุ่ม มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้แห้งใบนั้นไปอย่างง่ายดาย แล้วมันก็รีบตามชายหนุ่มต่อไปทันที
ด้านชายหนุ่มได้เดินไปเป็นเส้นตรงจนถึงบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดสุดเขตของหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ เขาเอามือยันขอบบ่อน้ำไว้ แล้วมองลงไปในบ่อ
ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็พบใบไม้แห้งใบหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำในบ่อ
“ในที่สุดข้าก็พบใบไม้แห้งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครแล้ว” ชายหนุ่มร้องอุทานอย่างสมหวัง เขารีบหยิบถังตักน้ำที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆ หย่อนเชือกลงไปตักใบไม้แห้งขึ้นมาจากในบ่อ
เจ้าลิงตามมาทันเห็นเหตุการณ์พอดี เมื่อมันเห็นว่าชายหนุ่มได้ใบไม้แห้งแล้ว มันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มยืนพินิจพิเคราะห์ใบไม้แห้งใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมันลงไปในบ่อน้ำอย่างเดิม แล้วหันหลังเดินกลับไปตามทางเก่า
เจ้าลิงรีบกระโจนไปที่ขอบบ่อ มันก้มลงมองใบไม้แห้งซึ่งบัดนี้ลอยเหนือผิวน้ำในบ่อด้วยความแปลกใจ
“เจี๊ยกๆ ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ได้เจอใบไม้แห้งซึ่งไม่มีประโยชน์กับใครๆ แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาไม่เอากลับไปให้ท่านฤๅษีอุอะกันเล่า เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงพูดกับตัวเอง
“นั่นเพราะใบไม้แห้งใบนี้มิใช่ใบไม้แห้งที่ไร้ประโยชน์” มดตะนอยที่เดินอยู่บนขอบบ่อตัวหนึ่งพูดขึ้น “แต่มันเป็นใบไม้แห้งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกมดอย่างเรามาก”
เจ้าลิงก้มลงมองมดเจ้าของเสียง มันเห็นมดอีกหลายตัวเดินกันเป็นแถวเรียงหนึ่งอยู่บนขอบบ่อ
“เจี๊ยกๆ ว่าอย่างไรนะ ใบไม้แห้งนี่นะหรือ มีประโยชน์กับมดอย่างพวกเจ้า เจี๊ยกๆ ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารเสียหน่อยนี่ เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงถามอย่างสงสัย
“แน่นอน พวกเราไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารหรอก...แต่พวกเราทำรังอยู่ในพื้นดินใกล้กับบ่อน้ำแห่งนี้ และมีหลายครั้งทีเดียวที่พวกเราตัวใดตัวหนึ่งหรือบางครั้งอาจจะหลายตัวเลยทีเดียวพลาดตกลงไปในน้ำ ใบไม้แห้งใบนั้นเปรียบเสมือนเรือน้อยของเราชาวมดที่อาศัยอยู่ที่นี่ หากไม่มีมันพวกเราก็อาจจะจมน้ำตายอยู่ในบ่อ และข้าเชื่อว่า ผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ก็คงจะเข้าใจและเห็นใจพวกเรา เพราะข้าก็คือมดตัวที่อยู่บนใบไม้แห้งซึ่งเขาได้ช่วยขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เจ้าลิงแสนรู้ก็รู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น คนๆ นี้มิใช่คนไร้ค่า แต่เป็นคนที่ไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง จึงไม่ควรเลยที่เขาจะคิดฆ่าตัวตาย แล้วเจ้าลิงก็รีบหันหลังกลับวิ่งตามชายหนุ่มไปทันที
ฝ่ายชายหนุ่มนั้นไม่ได้มุ่งมั่นที่จะหาใบไม้แห้งต่อไปอีกแล้ว เขาเดินกลับมากหาฤๅษีอุอะยังหน้าผาใหญ่แห่งเดิม
“ได้ใบไม้แห้งมากี่ใบกันล่ะเจ้าหนุ่ม” ฤๅษีอุอะ ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าลิงที่วิ่งเร็วรี่ตามมาติดๆ
“ไม่ได้มาเลยสักใบครับท่านฤๅษี แต่ข้าก็ไม่ต้องการใบไม้แห้งนั่นอีกแล้ว” ชายหนุ่มตอบ
“ทำไมเล่า ใบไม้แห้งมีออกเกลื่อนกลาด เจ้าน่าจะหามันมาได้ไม่ยากมิใช่รึ”
“ใช่ครับท่านฤๅษี ใบไม้แห้งนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด แต่ข้าไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเลยสักใบเดียว ชาวบ้านของหมู่บ้านตะวันตกล้วนเห็นคุณค่าของมัน พวกเขาใช้ใบไม้แห้งเพื่อประโยชน์ในชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้แต่สัตว์เล็กใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาใบไม้แห้ง ข้าจึงไม่พบใบไม้แห้งที่ท่านต้องการ และข้าก็รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าไม่อยากฆ่าตัวตายอีกต่อไปแล้ว”
ฤๅษีอุอะฟังคำตอบของชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“การที่เจ้าถูกมองว่าไร้คุณค่าจากคนกลุ่มหนึ่ง นั่นมิได้หมายความว่า ตัวเจ้าจะไร้คุณค่าจริงๆ ต่อคนทุกคน ดังเช่นเมื่อแรกที่เจ้าคิดว่าใบไม้แห้งล้วนไร้ประโยชน์และสามารถหามาให้ข้าได้ง่ายๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า แท้ที่จริงแล้ว ใบไม้แห้งก็มิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว แต่สำหรับบางคน มันกลับมีคุณค่าต่อชีวิตของพวกเขาอย่างมากมาย”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองคิดดูเอาเองเถิดเจ้าหนุ่ม ว่า แม้แต่ใบไม้แห้งที่ใครๆ ต่างเชื่อว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว ก็ยังมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการอย่างมากมายจากคน นกและแมลง แล้วร่างกายของคนเราจะมีประโยชน์สักเพียงใดกันเล่าหากรู้จักใช้ให้คุ้มค่า เพราะฉะนั้นตัวเจ้าเองจักต้องพึงรักษาร่างกายของเจ้าเอาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข และไม่พลาดโอกาสที่จะเผื่อแผ่ความช่วยเหลือไปสู่ผู้ยากไร้ คนป่วย คนชรา และทุกชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อใดที่ได้ช่วยผู้อื่นแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะตระหนักถึงคุณค่าของตนเองได้อย่างมากมายเหมือนกับที่เจ้าได้ช่วยแม่นกใหญ่ให้สร้างรังปกป้องลูกๆ ของมันได้สำเร็จ และไม่เบียดเบียนเอาเรือช่วยชีวิตลำน้อยของพวกมดมา สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคุณค่าอันแท้จริงของตัวเจ้า และควรอย่างยิ่งที่เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ชายหนุ่มฟังคำฤๅษีอุอะแล้วรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันที เขาให้คำมั่นกับท่านฤาษีว่าจะไม่คิดสั้นอีกต่อไป แต่จะต่อสู้เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้จงได้ นอกจากนั้น เขาจะใช้ชีวิตตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะสามารถช่วยได้อีกด้วย
“ดีแล้วเจ้าหนุ่ม ขอให้เจ้าเรียนรู้คุณค่าของตัวเจ้าจากการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเถิด แล้วข้าจะอวยพรให้เจ้าได้พบแต่ความสุขสงบตลอดไป” ฤๅษีอุอะให้พรแก่ชายหนุ่มด้วยความเมตตา พร้อมกับมอบเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ให้เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตของเขาต่อไป
เธอทั้งหลาย...
หากเมื่อไหร่ที่เธอคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ดังเช่นใบไม้แห้ง นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอเป็นคนไร้คุณค่าจริงๆ แต่เป็นเพราะเธอไม่เคยรู้จักคุณค่าของตนเองเลยต่างหาก อย่าทำร้ายตนเองเพียงเพราะต้องการประชดในความหลงผิดนั้น แต่จงรักษาตัวให้มีร่างกายที่แข็งแรงและมีจิตใจสดใสอยู่เสมอ อย่าลืมว่าแม้แต่ใบไม้แห้งก็ยังมอบประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากมายถึงเพียงนี้ แล้วคนที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเธอจะสร้างคุณประโยชน์ต่างๆ ให้บังเกิดขึ้นได้มากมายเพียงไหนกัน
แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ โลกของเรายังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเธออีกมาก อย่างน้อย เธอก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่ไม่ยอมแพ้
ขอบคุณหนังสือด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สำนักพิมพ์ ฟรีมายด์