เทพแห่งลำน้ำพบเทพแห่งท้องทะเล

เทพแห่งลำน้ำพบเทพแห่งท้องทะเล



เมื่ออุทกภัยแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สายน้ำลำธารนับร้อยก็หลั่งไหลสู่มหานทีหวงเหอ กระแสน้ำเชี่ยวกรากเอ่อล้น กระทั่งมองจากฝั่งหนึ่งสู่ฝั่งหนึ่ง จากเกาะแก่งสู่เกาะแก่ง ก็ไม่อาจแยกแยะเห็นชัดว่าไหนคือม้าไหนคือวัว ยามนั้นเทพแห่งลำน้ำสุขสำราญใจ จนคิดไปว่าความงามทั้งมวลในโลกเป็นของตนเพียงผู้เดียว ขณะเริงร่าไปตามกระแสน้ำ สัญจรไปยังแดนตะวันออก จนล่วงถึงทะเลเหนือ เมื่อมองไปทางทิศตะวันออกก็เห็นแต่ผืนน้ำแผ่ไพศาลกว้างสุดสายตา

เทพแห่งลำน้ำส่ายศีรษะและกลอกตาไปมา เพ่งมองไปยังทิศทางของ “รั่ว” เทพแห่งท้องทะเล ทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “มีคำกล่าวว่า ‘มีผู้ได้ยินเกี่ยวกับเต๋าเพียงร้อยครั้งก็คิดว่าเขาเหนือกว่าใครๆ’ นั่นก็คือตัวข้าเอง ได้ยินมาว่าในอดีตกาลมีผู้ดูแคลนความคิดของขงจื่อและไม่ยอมรับการเชิดชูคุณธรรมของปั๋วอี๋ กระนั้นข้าก็ไม่เคยเชื่อถ้อยคำเหล่านี้ ทว่าบัดนี้ ข้าได้ประจักษ์ในความไพศาลสุดหยั่งของท่าน หากข้าไม่ได้มาสู่ประตูเคหาของท่าน ก็คงจะหลงงมงายสืบไป และอาจถูกปรมาจารย์แห่งมรรคาอันยิ่งใหญ่หัวเราะเยาะไปชั่วนิรันดร”

เทพรั่วแห่งทะเลเหนือกล่าวว่า “ท่านไม่อาจพูดคุยเรื่องมหาสมุทรกับกบในบ่อน้อย เนื่องจากมันอาศัยอยู่ในโลกอันคับแคบ ท่านไม่อาจพูดคุยเรื่องน้ำแข็งกับแมลงฤดูร้อน เนื่องจากมันมีชีวิตเพียงชั่วฤดูกาลเท่านั้น ท่านไม่อาจพูดคุยเรื่องเต๋ากับผู้คงแก่เรียนอันคับแคบ เนื่องจากเขาถูกพันธนาการด้วยหลักทฤษฎี บัดนี้ท่านออกมานอกเขตแดนของท่าน และได้เห็นทะเลอันยิ่งใหญ่ ท่านจึงตระหนักถึงความกระจ้อยร่อยของตน จากนี้ไป ข้าก็สามารถพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับหลักการอันยิ่งใหญ่

“ในหมู่ท้องน้ำทั้งหมดในโลก ไม่มีใดยิ่งใหญ่ไปกว่าทะเล สายน้ำนับหมื่นหลั่งไหลลงสู่ทะเลไม่เคยหยุด แต่ก็ไม่เคยเต็ม สายน้ำระบายออกที่เหว่ยหลีว์อย่างไม่เคยหยุด แต่ทะเลก็ไม่เคยว่างเปล่า ไม่ว่าฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอุทกภัยหรือภัยแล้ง ก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน กระแสน้ำของทะเลมหาศาลยิ่งใหญ่กว่าแยงซีเกียงและลำน้ำเหลืองอย่างไม่อาจหยั่งวัด กระนั้นข้าก็ไม่เคยภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ข้าได้รับรูปมาจากฟ้าดินและได้รับลมหายใจจากอินและหยัง ข้าสถิตอยู่ที่นี่ท่ามกลางฟ้าและดิน ดุจดั่งหินก้อนน้อยหรือต้นไม้เล็กๆบนขุนเขาอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุที่มองเห็นความต่ำต้อยเล็กน้อยของตน ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดทำให้ข้าภาคภูมิในตัวเอง

“เปรียบทะเลทั้งสี่กับสรรพสิ่งทั้งปวงที่ดำรงอยู่ระหว่างฟ้าและดิน มิเสมือนจอมปลวกน้อยในที่ลุ่มกว้างใหญ่ดอกหรือ เปรียบอาณาจักรกลางกับอาณาเขตของทะเลทั้งสี่ มิเสมือนเมล็ดข้าวน้อยในยุ้งฉางดอกหรือ ผู้คนนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น เปรียบเทียบกับสรรพสิ่งแล้ว ก็เป็นดั่งเพียงขนเส้นหนึ่งบนลำตัวม้าเท่านั้น สิ่งที่จักรพรรดิทั้งห้าสืบทอด สิ่งที่กษัตริย์ทั้งสามต่อสู้พิชิตมา สิ่งที่ผู้มีมนุสสธรรมเฝ้าวิตกห่วงใย สิ่งที่เหล่าปราชญ์เหนื่อยยากรับใช้มานั้น ทั้งหมดล้วนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้ ปั๋วอี๋สละบัลลังก์จึงได้ชื่อเสียงเกรียงไกร ขงจื่อเทศนาสั่งสอนเพื่อสร้างนามอุโฆษ แต่ความภาคภูมิในตัวเองด้วยอาการเยี่ยงนี้ จึงไม่ต่างไปจากท่านเมื่อครู่ที่หลงภาคภูมิในกระแสน้ำอันหลากไหลท่วมท้นของท่าน”

“ถ้าเช่นนั้น หากข้าตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ไพศาลของฟ้าและดิน ตระหนักถึงความบางเบาของปลายขน นี่จะใช้ได้หรือหาไม่?”

เทพแห่งลำน้ำพบเทพแห่งท้องทะเล“หามิได้” รั่วแห่งทะเลเหนือกล่าว “สรรพสิ่งนั้นมิอาจหยั่งวัด กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ชะตากรรมนั้นแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดกาล การเริ่มต้นและการสิ้นสุดนั้นไร้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน ดังนั้น ปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ย่อมหยั่งถึงทั้งใกล้ไกล ตระหนักถึงสิ่งเล็กว่าไม่ไร้ค่า ยอมรับสิ่งใหญ่ว่าไม่ใหญ่เกิน ด้วยหยั่งรู้ว่าการเปรียบเทียบหยั่งวัดสิ่งต่างๆนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด มันเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งในอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นจึงผ่านเวลาอันยาวนานโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญ ผ่านเวลาอันแสนสั้นโดยไม่รู้สึกอาวรณ์ เนื่องจากมันรู้ว่ากาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง จึงอาจรับรู้ได้ถึงธรรมชาติแห่งความเต็มและความว่าง ดังนั้นจึงไม่ดีใจลิงโลดเมื่อได้รับบางสิ่ง ทั้งไม่ทุกข์ร้อนหากต้องสูญเสียมันไป เพราะรู้ว่าชะตากรรมนั้นแปรเปลี่ยนไร้ความแน่นอน มันเข้าใจถึงหนทางอันราบเรียบ ดังนั้น จึงไม่หลงดีใจต่อชีวิต ทั้งไม่ถือความตายเป็นหายนะ เพราะรู้ว่าการเริ่มต้นและสิ้นสุดนั้นไร้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน"

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)

yengo หรือ buzzcity

หวนกงกับช่างทำล้อรถ

หวนกงกับช่างทำล้อรถ



หวนกงอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ เปี่ยนนายช่างทำล้อรถอยู่ตรงลานข้างล่าง ละจากการทำล้อไม้ วางค้อนและสิ่ว เดินขึ้นมายังห้องอ่านหนังสือ เอ่ยถามหวนกงว่า “หนังสือที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ บันทึกถ้อยคำของผู้ใด?”

“ถ้อยคำของปราชญ์” หวนกงตอบ

“ปราชญ์เหล่านั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

“ล้วนล่วงลับไปเนิ่นนานแล้ว” หวนกงตอบ

“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ท่านอ่านก็หามีสิ่งใดไม่ นอกจากเพียงกากเดนของผู้คนในอดีต”

“ช่างทำล้อรถอย่างเจ้ากล้ามาวิจารณ์สิ่งที่ข้ากำลังอ่านได้อย่างไร?” หวนกงถามขึ้น “หากเจ้าสามารถอธิบาย ก็เป็นการดี หาไม่ ชีวิตจะสิ้น”

ช่างทำล้อกล่าวขึ้น “ข้าแสดงความเห็นจากการทำงานของข้า เมื่อข้าสกัดวงล้อ หากแรงค้อนเบาเกินไป สิ่วก็จะลื่นไถลไม่กินเนื้อไม้ แต่ถ้าแรงเกินไป มันก็จะฝังเข้าไปติดแน่นจนไม่อาจขยับ ต้องไม่เบาเกินไปหรือแรงเกินไป ท่านสามารถควบคุมมันด้วยมือของท่าน และสามารถรู้สึกถึงมันได้ที่ใจของท่าน ท่านไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ทั้งยังมีเคล็ดลับบางอย่างอยู่ด้วย ข้าไม่สามารถสอนสิ่งเหล่านี้แก่บุตรชาย และเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้มันจากข้าได้ ดังนั้น ข้าจึงอยู่มาถึงเจ็ดสิบปี และขณะนี้ก็ยังคงทำล้อรถอยู่ เมื่อผู้คนในอดีตล่วงลับไป พวกเขาก็นำความรู้ติดไปด้วย โดยไม่อาจถ่ายทอดให้ผู้ใด ดังนั้นสิ่งที่ท่านอ่าน จึงหาใช่สิ่งใดอื่นนอกจากกากเดนของผู้คนในอดีต”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)

yengo หรือ buzzcity

ขงจื่อไปพบเหล่าตัน

ขงจื่อไปพบเหล่าตัน



ขงจื่อไปหาเหล่าตัน พูดคุยถึงมนุสสธรรมและครรลองธรรม เหล่าตันเอ่ยขึ้นว่า “เศษฟางจากการฝัดข้าวได้บดบังนัยน์ตาของท่าน กระทั่งฟ้าดินและทิศทางทั้งสี่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ ยามเมื่อถูกมดแมลงเหลือบริ้นกัด ท่านก็ไม่อาจหลับนอนได้ทั้งค่ำคืน ยามเมื่อมนุสธรรมและครรลองธรรมมาก่อกวนจิตใจ ความปั่นป่วนสับสนย่อมมากมายสุดประมาณ หากท่านต้องการปกป้องโลกมิให้สูญเสียความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ก็ต้องเคลื่อนไหวอย่างอิสระดั่งสายลม สถิตมั่นอยู่ในคุณธรรมที่แท้ ไยจึงต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงมากมายปานนั้น ไม่ผิดอะไรกับการแบกกลองใหญ่เที่ยวตีป่าวร้องตามหาบุตรชายที่สูญหายไป ห่านขาวไม่ต้องอาบน้ำทุกวันเพื่อรักษาความขาว อีกามิต้องลงหมึกทุกวันเพื่อรักษาความดำ สีดำสีขาวในความเรียบง่ายเป็นธรรมชาตินั้นไม่เปิดโอกาสให้ถกเถียงโต้แย้ง ชื่อเสียงและเกียรติภูมิอันโด่งดังนั้นไม่เปิดโอกาสให้ริษยา เมื่อตาน้ำเหือดแห้ง ทิ้งปลาให้นอนกลิ้งเกลือกบนพื้นดิน พวกมันพยายามขยับตัวเข้าเบียดกัน คายเมือกแบ่งปันความชื้นแก่กัน แต่ไม่เป็นการดีกว่าหรือ ที่พวกมันจะหลงลืมกันและแหวกว่ายไปในท้องธาร”

เมื่อขงจื่อกลับจากเยี่ยมคารวะเหล่าตัน ก็เงียบงันอยู่เป็นเวลาสามวัน กระทั่งศิษย์ถามว่า “อาจารย์ ท่านได้พบกับเหล่าตันแล้ว ท่านคิดว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร?”

ขงจื่อตอบว่า “ในที่สุดข้าได้เห็นมังกรแล้ว มังกรที่เผยร่างออกมาอย่างสง่างามยิ่ง โผนทะยานเหยียดกายอวดลวดลายวิจิตรงดงามยิ่ง ควบขี่พลังปราณเมฆา ยังชีพด้วยพลังอินและหยัง ปากของข้าอ้าค้างและไม่อาจหุบลงได้ ลิ้นของข้ากระดกขึ้นแต่ก็ไม่อาจหลุดถ้อยคำใดออกมา ข้าจะสามารถหยั่งวัดเหล่าตันได้อย่างไร”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)

yengo หรือ buzzcity

หญิงงามไซซีปวดท้อง

หญิงงามไซซีปวดท้อง



“สาวงามไซซีรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ จึงหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เพื่อนบ้าน หญิงอัปลักษณ์มาพบเห็นเข้า ก็ยังเห็นนางงดงามดั่งเทพธิดา เมื่อกลับถึงบ้านก็ลงมือตีอกชกตัวเอง ทำหน้าบูดบึ้งใส่เพื่อนบ้าน บรรดาชายเศรษฐีในละแวกบ้านพบเข้า ก็กุลีกุจอปิดประตูรั้วบ้านแน่นหนา และไม่กล้าย่างกรายออกมา เหล่าชายที่ยากไร้ก็ตื่นตระหนก รีบจูงเมียหอบลูกเผ่นหนีไปอย่างสุดฝีเท้า หญิงอัปลักษณ์เข้าใจไปว่าการทำอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นทำให้เธองดงาม แต่หาเข้าใจไม่ว่าความงามของอาการบึ้งตึงนั้นมาจากไหน ช่างน่าสงสารเสียจริง! อาจารย์ของท่านกำลังจะประสบเคราะห์กรรม”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)

yengo หรือ buzzcity

มนุษย์ที่แท้ของจวงจื่อ

มนุษย์ที่แท้ของจวงจื่อ



“มนุษย์ที่แท้ย่อมไม่กระทำการที่เป็นภัยต่อผู้อื่น ไม่อวดแสดงความมีมนุสสธรรมและเอื้อเฟื้อ เขาไม่กระทำการใดๆเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ไม่ประณามผู้ที่กระทำเช่นนั้น เขาไม่ดิ้นรนไขว่คว้าทรัพย์สมบัติ แต่ก็ไม่แสดงอาการโอ่อวดปฏิเสธ เขาไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ก็ไม่อวดโอ้ถึงความสามารถพึ่งพิงตัวเอง และไม่เหยียดหยามคนโลภและต่ำช้า

"การกระทำของเขาแตกต่างจากผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่แสดงความพิเศษหรือแตกต่าง เขาพึงพอใจที่จะรั้งท้ายอยู่เบื้องหลังผู้คน แต่ก็ไม่ประณามพวกที่ชิงรุดไปข้างหน้าเพื่อประจบสอพลอ ตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆไม่อาจสร้างความลำพอง โทษทัณฑ์และการประณามใดๆก็ไม่อาจทำให้ละอาย เขารู้ว่าไม่อาจกำหนดเส้นแบ่งระหว่างความถูกและความผิด ไร้ขอบเขตที่แน่นอนระหว่างความยิ่งใหญ่และความเล็กน้อย ข้าได้ยินคำกล่าวว่า ‘มนุษย์แห่งเต๋าไม่เสาะหาชื่อเสียง คุณธรรมสูงสุดไม่แสวงหาผลสำเร็จใดๆ มนุษย์ที่แท้นั้นไร้ตัวตน’ การบรรลุถึงระดับสูงสุด คือการดำเนินไปตามเส้นทางที่โชคชะตากำหนด”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)บทที่ 17

yengo หรือ buzzcity

แง่มุมแห่งเต๋า

แง่มุมแห่งเต๋า



รั่วแห่งทะเลเหนือกล่าวว่า “จากแง่มุมของเต๋านั้น สิ่งต่างๆหาได้สูงส่งหรือต่ำต้อยไม่ จากแง่มุมของสิ่งต่างๆเอง ต่างก็ถือว่าตนเองทรงคุณค่าสูงส่งและสิ่งอื่นๆล้วนต่ำต้อย จากแง่มุมของความคิดเห็นทั่วไป ความสูงส่งและต่ำต้อยไม่ได้ถูกกำหนดจากตัวคนผู้นั้น

“จากแง่มุมของความต่าง หากเราถือสิ่งหนึ่งว่าใหญ่เนื่องจากมีความใหญ่อยู่ระดับหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งหมดก็ไม่มีอะไรที่ไม่ใหญ่ หากเรามองสิ่งหนึ่งว่าเล็กเนื่องจากมีความเล็กอยู่ระดับหนึ่ง เช่นนี้แล้ว ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีอะไรที่ไม่เล็ก หากเราสามารถตระหนักได้ว่าฟ้าและดินนั้นเล็กเท่าเมล็ดข้าว และปลายเส้นขนนั้นใหญ่เท่าเทือกเขา เมื่อนั้นเราก็ได้หยั่งถึงกฎเกณฑ์ของความแตกต่าง

“จากแง่มุมของบทบาทหน้าที่ หากเรานับสิ่งใดว่ามีประโยชน์เนื่องจากมันมีประโยชน์ในตัวเอง ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีประโยชน์ หากเรานับสิ่งใดว่าไร้ประโยชน์เนื่องจากมันไร้ประโยชน์ในตัวเอง ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีอะไรที่ไม่ไร้ประโยชน์ หากเรารู้ว่าตะวันออกและตะวันตกอยู่ตรงข้ามกัน แต่ต่างก็ไม่อาจขาดอีกฝ่ายหนึ่ง เราก็สามารถประเมินบทบาทหน้าที่ของมัน

“จากแง่มุมของความโน้มเอียง หากเราถือว่าสิ่งหนึ่งถูกเนื่องจากมีความถูกต้องอยู่ระดับหนึ่ง เช่นนี้แล้วในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง หากเราถือว่าสิ่งหนึ่งผิดเนื่องจากมีความผิดอยู่ระดับหนึ่ง เช่นนี้แล้วในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีอะไรที่ไม่ผิด หากเรารู้ว่าเหยาและเจี๋ยต่างคิดว่าตนถูก และประณามอีกฝ่ายว่าผิด เช่นนี้แล้วเราย่อมเข้าใจถึงความโน้มเอียงของความประพฤติ

“ในครั้งโบราณ เหยาสละบัลลังก์แก่ซุ่น และซุ่นได้ปกครองเยี่ยงจักรพรรดิ ต่อมา ไคว่สละบัลลังก์แก่จื่อจือ แต่จื่อจือก็ถูกสังหารในที่สุด ทังและอู่ทำศึกสงครามและขึ้นเถลิงอำนาจเป็นกษัตริย์ ไป๋กง ลุกขึ้นต่อสู้และพ่ายแพ้วายชนม์ไปในที่สุด มองปรากฏการณ์ดั่งนี้ เราก็อาจเห็นการต่อสู้ช่วงชิงและการสละอำนาจ การกระทำของเหยาและของเจี๋ยนั้น อาจเป็นความสูงส่งหรือความต่ำต้อย เพียง ณ ชั่วเวลาใดเวลาหนึ่ง และไม่อาจถือเป็นหลักการตายตัว

“ท่อนซุงใหญ่อาจใช้ทลายกำแพงเมือง แต่ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับอุดรอยแตกร้าว นี่คือความแตกต่างในหน้าที่ ม้าพันธุ์ดีอย่างฉีจี้และฮวาหลิว สามารถวิ่งไกลถึงหนึ่งพันลี้ในวันเดียว แต่เมื่อต้องไล่จับหนู พวกมันก็ไม่อาจเทียบกับแมวป่าหรือหมาไม้ นี่คือความแตกต่างในความสามารถ นกเค้าแมวสามารถจับริ้นได้ในยามค่ำคืนที่มืดมิด และยังสามารถเห็นปลายเส้นขนได้ชัดเจน แต่ในยามกลางวันไม่ว่ามันจะเบิ่งตากว้างเพียงใด ก็ไม่อาจแลเห็นเนินเขาหรือภูผาใหญ่ นี่คือความแตกต่างในธรรมชาติ”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)บทที่ 17

yengo หรือ buzzcity

ความกล้าหาญของปราชญ์

ความกล้าหาญของปราชญ์



เมื่อขงจื่อเดินทางมาถึงเมืองควง ระหว่างทางทหารแคว้นซ่งก็ได้กรูเข้ามาล้อมสกัด แต่ขงจื่อก็ยังคงเล่นพิณพลางร้องเพลงไม่หยุด จื่อลู่เข้ามาหาเอ่ยถามว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านจึงดูไร้กังวลถึงเพียงนี้?”

ขงจื่อกล่าวว่า “มาสิ ข้าจะบอกแก่เจ้า เป็นเวลานานมาแล้วที่ข้าพยายามหลีกหนีความทุกข์ยาก แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีพ้น เพราะมันเป็นชะตา นานมาแล้วที่ข้าพยายามบรรลุผลสำเร็จ แต่ก็ไม่อาจบรรลุถึงเนื่องด้วยจังหวะเวลาไม่เหมาะสม หากเป็นยุคสมัยเหยาหรือซุ่นก็คงจะไม่มีใครประสบความทุกข์ยาก แต่นี่ไม่ใช่เพราะภูมิปัญญาช่วยพวกเขา หากเป็นในยุคของเจี๋ยและโจ้วก็คงจะไม่มีใครประสบความสำเร็จ แต่นี่ไม่ใช่เพราะความอ่อนด้อยภูมิปัญญาของพวกเขา หากเป็นเพราะจังหวะเวลาและปัจจัยแวดล้อมที่ผลักดันให้เป็นไปเช่นนั้น

“หากข้ามทะเลโดยไม่ครั่นคร้ามงูทะเลหรือมังกร นั่นคือความกล้าหาญของชาวประมง หากบุกบั่นข้ามแผ่นดินโดยไม่หวาดกลัวแรดหรือพยัคฆ์ นี่คือความกล้าหาญของนายพราน การมองดาบคมวาววับปะทะกันต่อหน้าต่อตา และมองความตายเช่นเดียวกับชีวิต นี่คือความกล้าหาญของวีรบุรุษ การเข้าใจว่าความทุกข์ยากเป็นเรื่องของชะตา และความสำเร็จเป็นเรื่องของกาลเวลา และเผชิญหน้ากับความยากลำบากอย่างไม่หวาดหวั่นสะทกสะท้าน นี่คือความกล้าหาญของปราชญ์ จงพอใจกับมันเถิดจื่อลู่ ชะตาของข้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”

ครู่หนึ่งหัวหน้ากองทหารก็เดินเข้ามา และกล่าวขออภัย “พวกเราเข้าใจผิดไปว่าท่านคือหยังหู่ จึงได้ล้อมสกัดท่านไว้ บัดนี้ เราได้เห็นแล้วว่าหาใช่ไม่ จึงขออำลาไปก่อน”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)บทที่ 17

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : เจ้าของเรือ

นิทานสอนใจ : เจ้าของเรือ


"พ่อจ๋า พ่อว่าพ่อเป็นเจ้าของเรือ แต่พ่อต้องมาล้างเรือ เช็ดถูเรือ ต้องชะโลมน้ำมันบ่อยๆ ทุกวัน พ่อต้องเก็บรักษาแจวพาย รวมถึงเครื่องใช้ในเรือทุกอย่าง แล้วพ่อก็ต้องแจวเรือพาพวกเราไปนั่งเรือเล่น พร้อมกับเพื่อนบ้านของเราทุกๆ คน พ่อเหนื่อยแทบตาย แต่ทำไมพวกเขากลับได้นั่งอย่างสบายไม่เห็นจะช่วยพ่อแจวเรือเลยสักคน ไม่ช่วยพ่อเช็ดเรือบ้างเล่าพ่อจ๋า? " หนูจ้อยถามพ่อ แล้วทำตาแดงๆ

"ก็พ่อเป็นเจ้าของเรือไงหละจ๊ะลูก" พ่อบอกอย่างใจเย็น

"ใครเป็นเจ้าของอะไรก็ต้องเหนื่อยแทบตามกันทั้งนั้น ใครไม่ได้เป็นเจ้าของสบาย พ่อเห็นว่ามันยุติธรรมแล้วหรือจ๊ะ" หนูจ้อยย้อนถามพ่อ

"ธรรมเนียมมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วจ๊ะ ใครที่เป็นเจ้าของก็ต้องทนเหนื่อยทนหนักใจ"

หนูจ้อยถามต่ออีกว่า "แล้วพ่อจะทนเป็นเจ้าของเรือให้เหน็ดเหนื่อยไปทำไมหละ เราก็ขอนั่งกับคนอื่นเป็นครั้งเป็นคราวก็ได้นี่จ๊ะ เหมือนที่พวกเขาเคยนั่งเรือของเราอย่างสนุกสนาน"

"ก็พ่ออยากเป็นเจ้าของเรือสักลำไงหละ"

"หนูจะไม่ยอมเป็นเจ้าของเรือเหมือนกับพ่อ และจะไม่ยอมเป็นเจ้าของอะไรใดๆ เลย แม้แต่ตัวของหนูเอง! "

"แล้วลูกจะอยู่ได้อย่างไร" พ่อย้อนถามกลับมาที่หนูจ้อยบ้าง

"อยู่อย่างไม่ต้องทนเหนื่อยเหมือนพ่อ และจะต้องแตกต่างจากพ่อทุกประการ"

ดังนั้นหนูจ้อยจึงกลายเป็นเณรจ้อยไป เพราะเขาไม่อยากเป็นเจ้าของสิ่งใด แต่อยากเป็นในสิ่งที่เขาเห็นว่า ตรงข้ามกับพ่อของเขาทุกอย่างทุกประการ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าใครเป็นเจ้าของสิ่งใดกลับจะได้กิน "ไข่แดง" ของสิ่งนั้น ส่วนใครที่ไม่เป็นเจ้าของเรือ (เหมือนคนที่คอยแต่จะมานั่งเรือเล่นกับพ่อที่เป็นเจ้าของเรือ) เขาจะได้กินเพียง "ไข่ขาว"ของสิ่งนั้น ซึ่งบางทีถึงกับจะต้องกินเปลือกไข่ หรือมูลโสโครกที่ติดอยู่กับเปลือกไข่เข้าไปด้วยกัน ดังนี้แล้วใครจะอยู่ในสภาพที่น่าสงสารกว่ากัน ในระหว่าง พ่อ-ลูกคู่นี้ และสิ่งที่ได้ตอบแทนมามันมีคุณค่าที่ต่างกันด้วย

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : มนุษย์กับเจ้าสุนัขแสนรู้

นิทานสอนใจ : มนุษย์กับเจ้าสุนัขแสนรู้


แม้อากาศจะวิปริต เพราะความเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของแสงแดด สายลม และฝน หรือแม้สิ่งแวดล้อมจะสับสน เพราะการโยกย้ายรื้อถอนอย่างชุลมุมวุ่นวายของมนุษย์ แต่เจ้าสัตว์ 4 ขาอย่างเจ้าสุนัขมันก็ยังมีความพยายามค้นหาที่นอนใหม่ของมันจนได้ โดยลองนอนตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย มันก็สามารถรับรู้ได้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ ถ้าคิดว่ามันไม่เหมาะ มันก็ต้องย้ายที่ใหม่ ซึ่งทำแบบนี้อยู่เรื่อยไปไม่กี่ครั้งก็พบสถานที่ทำให้นอนหลับได้สนิท และมีความสุข ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโรคเรื้อนชนิดที่ต้องเกาอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

แต่สำหรับเจ้าของมันเองนี่สิ อะไร ที่ใด อย่างไหน ระดับไหนๆ ก็ไม่เคยให้ความเป็นสุขหรือความพอใจได้เลย มีแต่จะดิ้นรนจนจิตใจไม่เคยเป็นสุข และประสบกับภาวะแห่งความสะอาด สว่าง และสงบร่มเย็น แม้แต่เพียงจะทำให้หลับสนิทจริงๆ ก็ยังต้องตกอยู่ในลักษณะของสุนัขโรคเรื้อนชนิดที่ต้องการข่วนตัวเองอยู่เสมอ! ไม่สามารถทำให้เกิดการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงชนิดที่ค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นกระทั่งพบสภาพอันเป็นสุขดังเช่นสุนัข ที่ไม่กี่นาทีก็ค้นพบที่นอนอันสุขสงบได้แล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงสุนัข

นิทานเรื่องนี้กำลังจะบอกให้เรารู้ว่า มันเป็นความเหลือวิสัยของพระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งใดๆ ที่จะทำให้สุนัขนั้นเต็มไปด้วยความดิ้นรน ทะเยอทะยาน และวิตกกังวลนานาประการจนต้องค้นหาที่นอนที่สามารถนอนหลับอย่างสนิทไม่ได้เหมือนกับเจ้าของของมัน ที่เต็มไปด้วยความอยากได้ อยากมี เป็นนั่นเป็นนี่อย่างไม่มีขอบเขตจนกระทั่งได้เป็นเจ้าของ และได้เป็นถึงครูบาอาจารย์ของสุนัข แต่ก็ยังหาโอกาสสงบสติอารมณ์ให้เหมือนกับสุนัขตัวนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครเล่าจะเป็นคนที่น่าสมเพชมากกว่ากัน ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองสิ่งนี้ที่ฝ่ายหนึ่งรู้จักพอและอยู่อย่างมีความสุข ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อความสุข และความสบาย

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : พ่อค้าคนเก่ง

นิทานสอนใจ : พ่อค้าคนเก่ง


นิทานแทบทุกเรื่องมักขึ้นต้นว่า "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว"นิทานเรื่องนี้ก็เช่นกัน... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าอยู่สองคนที่มีทุนทรัพย์และบริวารพอๆ กัน ทั้งคู่ตั้งใจที่จะเดินทางไปค้าขายยังเมืองที่ห่างไกลเมืองหนึ่ง ระหว่างทางจำต้องผ่านเข้าไปในดินแดนทุรกันดาร เต็มไปด้วยภัยอันตราย พ่อค้าคนหนึ่งขอออกเดินทางไปก่อน อีกคนตกลงตามไปทีหลัง ทิ้งช่วงห่างกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ลองติดตามดูสิว่า พ่อค้าคนไหนคือคนเก่ง และเพราะเหตุใดเขาจึงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อค้าคนเก่ง

ลองนึกถึงภาพขบวนสินค้าที่มีโคลากเกวียนเป็นแถวยาว เกวียนแต่ละเล่มล้วนบรรจุสินค้าต่างๆ มากมาย เพียบพร้อมด้วยเสบียงอาหารบริบูรณ์ เกวียนทุกเล่มมีหนุ่มร่างใหญ่กำยำควบคุมคุ้มกันตลอดการเดินทาง เกวียนสินค้าทุกเล่มในขบวนพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรค ความทุรกันดาร และอันตรายต่างๆ แต่ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง และแล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้

ขณะที่พ่อค้าคนแรกพาขบวนเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก้ได้พบกองเกวียนขบวนหนึ่งสวนทางมา กองเกวียนนี้มีคนประมาณ 20 คน นั่งรถเทียมโคสีขาวประดับประดาสวยงาม ล้อเกวียนมีโคลนติดหนาเตอะ แสดงท่าทีให้เห้นว่าได้ฝ่าฝนที่ตกหนักมา คนเหล่านี้บอกพ่อค้าคนแรกว่า "ทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์หนักไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากเลย"

พ่อค้าคนแรกฟังแล้วเชื่อคำบอกนั้นสนิท และดีใจมากว่าทางข้างหน้านั้นสะดวกยิ่งนัก จึงปลดของหนักๆ ที่คิดว่าไม่ต้องใช้ออกไป สิ่งหนึ่งที่ทิ้งไปแน่ๆ คือน้ำและภาชนะบรรจุน้ำที่เป็นของหนัก ด้วยหวังที่จะเดินทางอย่างสะดวกขึ้น เมื่อน้ำหนักที่บรรทุกไว้เบาลง

แต่เมื่อเดินทางต่อไปกลับพบแต่ความกันดารหาน้ำและอาหารไม่ได้ ต่างพากันอ่อนเพลียหมดกำลัง พวกยักษ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นจึงมาจับกินได้ตามสบายทิ้งซากไว้เกลื่อนกลาด

ครั้นได้เวลาที่พ่อค้าคนที่สองออกเดินทาง คงนึกภาพออกว่าแถวขบวนสินค้าครั้งนี้ไม่ต่างจากของพ่อค้าคนแรกเลย เช่นเดียวกันกับเมื่อพ่อค้าสองเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบขบวนเกวียนที่ลุยโคลนเปียกฝนสวนมา พร้อมทั้งได้รับคำบอกเล่าว่าหนทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเช่นกัน

แต่พ่อค้าคนที่สองไม่ได้เชื่อตามคำพูดนั้น หากใช้ความสังเกตพินิจพิจารณาดินฟ้าอากาศ พ่อค้าคนนี้พบว่าไม่มีเค้าว่าในจะตกในที่ใกล้ๆ นี้เลย เช่น ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ไม่เห็นแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ไม่มีลมเย็มชุ่มชื้นพัดผ่าน ท้องฟ้าก็ไม่มืดครึ้ม อีกทั้งพิจารณาดูลักษณะของกลุ่มคนที่สวนทางมา ก็พบว่าท่าทางดุร้ายแววตาแข็งกร้าว ยืนอยู่กลางแดดก็ไม่มีเงาปรากฏให้เห็น คงมิใช่มนุษย์ธรรมดา


เมื่อผิดสังเกตดังนี้แล้ว พ่อค้าคนที่สองก้ออกคำสั่งให้บริวารระแวดระวังอยู่ยามกันให้ดีและเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม อีกทั้งกำชับให้ใช้อาหารและน้ำอย่างประหยัด รีบเร่งเดินทางต่อไปจนถึงยังบริเวณที่พ่อค้าคนแรกประสบภัย เห็นซากคนตายเกลื่อนกลาดจึงสั่งให้หยุดพักใกล้ๆ จัดการระวังภัยอย่างรอบคอบ จึงสามารถพ้นภัยจากหมู่บ้านยักษ์เหล่านั้นและได้ทรัพย์สินมีค่าของเกวียนกองแรกและนำไปขายได้กำไรงดงามในที่สุด

ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าคนไหน คือ พ่อค่าคนเก่ง และความเก่งของเขาเกิดจากสิ่งใด นั่นเพราะว่าเขาเป็นคนไม่ประมาท ไม่เชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าง่ายๆ รู้จักระแวงภัย รู้จักป้องกันภัยที่จะมาถึง เป็นคนที่มีสติ ช่างสังเกต และรู้จักใช้ของอย่างประหยัดนั่นเอง

ถ้าอยากเป็นคนเก่ง จะเลือกฝึกตนเองให้มีคุณสมบัติเหมือนพ่อค้าคนใด?......

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : มะม่วงสื่อความกตัญญู

นิทานสอนใจ : มะม่วงสื่อความกตัญญู


"ความกตัญญู" อยู่คู่โลกมานานแสนนานจริงๆ มีเรื่องราวมากมายที่เป็นตัวอย่างของความกตัญญู ดังเช่นเรื่องราวของสัตว์ตัวหนึ่งที่สามารถรับรู้ถึงความกตัญญูได้

จากเรื่องเล่าของนกแขกเต้าที่มีพละกำลังมากตัวหนึ่ง ได้แสดงความกตัญญูต่อพระราชาที่ได้ชุบเลี้ยงมา ฝ่าอันตรายไปนำมะม่วง "อัพภันดร" จากป่าหิมพานต์มาถวายพระราชเทวี เพราะทรงทราบว่ามะม่วง "อัพภันดร" นั้นเสวยแล้วจะทรงงดงามขึ้น สุขภาพดียิ่งขึ้น และถ้าหวังได้ราชโอรสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็จะสมหวัง นกแขกเต้านำมะม่วงที่อยู่ในบริเวณที่เจ้ายักษ์คอยเฝ้าอยู่มาได้โดยไม่มีอันตราย ซึ่งเป็นเพราะเจ้ายักษ์ซึ้งในความกตัญญูของนกแขกเต้า นอกจากจะไม่ทำร้ายนกแขกเต้าแล้ว ยังชี้ทางให้ทำงานได้สำเร็จด้วย

นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่คอยสอนและเตือนสติให้ทุกคนระลึกถึงผู้มีผระคุณ ทีนี้ลองมาฟังเรื่องราวเมื่อสองพันกว่าปี เมื่อสมัยพุทธกาลกันบ้าง

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงกบิลพัสด์ เพื่อโปรดพระญาตินั้น บรรดาพระญาติต่างก็ตามออกมาผนวชกันจำนวนมาก รวมทั้งพระนางพิมพามเหสี และพระราหุลโอรส สำหรับหระราชหุลนั้นได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรองค์แรกของพระพุทธศาสนา สามเณรราหุลนั้นเป็นผู้มีความกตัญญูจึงได้เฝ้าติดตามและดูแลพระภิกษุณีผู้เป็นมารดาตลอดมา

วันหนึ่งพระนางพิมพาเกิดอาพาธด้วยโรคลมเสียดท้อง ซึ่งเป็นโรคประจำของพระองค์เอง พระราหุลทรงทูลถามถึงวิธีการรักษา พระนางจึงบอกว่า "หาได้ฉันน้ำที่คั้นมาจากผลมะม่วง อาการก็จะทุเลาลงได้" พระราหุลจึงรับอาสาจะไปหาน้ำมะม่วงมาให้ แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาที่ไม่สามารถจะหาน้ำมะม่วงมาได้ด้วยตัวเอง

พระราหุลจึงออกเดินทางไปหาพระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อพระสารีบุตรเห็นพระราหุลมีหน้าตาเศร้าหมองก็ไต่ถามถึงสาเหตุ ซึ่งพระราหุลก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวดังกล่าว

ครั้นรุ่งเช้าพระสารีบุตรเข้าไปบิณฑบาตภายในวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล พอดีมีชาวบ้านนำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงคั้นมะม่วงนั้นถวายพระสารีบบุตร เมื่อพระสารีบุตรรับบิณฑบาตแล้วจึงเดินออกไปจากวัง โดยไม่ได้ฉันน้ำมะม่วงนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสงสัยว่า "ทำไมพระสารีบุตรไม่ฉันน้ำมะม่วงที่ทรงคั้นถวาย แต่ไม่กล้ารับสั่งถามตรงๆ จึงให้คนติดตามพระสารีบุตรไป"

ผู้ติดตามนั้นเห็นพระสารีบุตรนำน้ำมะม่วงไปให้พระราหุล เพื่อให้พระราหุลนำไปให้พระมารดาฉันแก้อาการป่วย จึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ทรงสดับฟังดังนั้น เกิดความคิดว่า หากพระพุทธเจ้าไม่ทรงออกผนวช พระราชวงศ์ทั้งหมดคงไม่ได้ละการเสวยสุขทางโลกมาอยู่ใต้ร่มเงาพระธรรม และมีความเป็นอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ และคิดต่อไปว่าถ้าหากพระศาสดาไม่ออกผนวชก็จะไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้ แต่จะต้องเป็นเจ้าจักรพรรดิแทน และพระเจ้าปเสนทิโกศลก็คงเป็นข้าราชบริวาทที่รับใช้อยู่ในวังของพระจักรพรรดินั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายถึงว่า การบวชของพระพุทธเจ้านั้นทรงเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างมาก พระองค์ทรงตั้งพระทัยว่าจะทำนุบำรุงพระราชวงศ์ที่ทรงออกผนวชทั้งหมดนี้ให้เป็นสุขสืบไป นับว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาของพระราหุลทำให้เกิดผลดีตามมาเกินคาดหมายทีเดียว

เรื่องราวของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่หันมาทำนุบำรุงพระญาติและพระพุทธศาสนา เพราะซึ้งใจในความกตัญญูของพระราหุลและพระสารีบุตรที่รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณ แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราทุกคนตั้งใจอ่านและสังเกตให้ดีๆ จะรู้ว่าเรื่องราวอันดีงามของความกตัญญูเป็นความงามที่หาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ เพราะเป็นความงามที่คนๆ หนึ่งรู้จักตอบแทนผู้ที่มีพระคุณกับตน

แต่ในปัจจุบันยิ่งถ้าใช้ตนเองเป็นเครื่องทดสอบก็จะทราบว่า ความกตัญญูต่อผู้ที่มีพระคุณนั้น สามารถเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายได้แท้จริงไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนย่อมมีคนสรรเสริญเพราะความงามของคำว่า "กตัญญูกตเวทิตา" เสมอ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : กงจักรหรือดอกบัว

นิทานสอนใจ : กงจักรหรือดอกบัว


สำหรับท่านที่ได้อ่านเรื่องราวต้นแบบความดีของชาวโลกอย่างพระราหุลที่แสดงความกตัญญูต่อพระมารดา ที่ทีมงาน Life & Family ได้นำมาเสนอเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วคงจะได้เรียนรู้และซึมซับเรื่องการทำความดีอยู่ไม่น้อย

แต่ว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้มักจะมีของคู่กัน ทั้งคู่ที่เป็นแบบไปกันได้ดี และคู่แบบตรงกันข้าม ซึ่งอย่างหลังมีอยู่มากมาย เช่น ความมืดกับความสว่าง สีขาวกับสีดำ ความดีกับความชั่ว เป็นต้น ฉันใดฉันนั้นแล้ว เมื่อมีความกตัญญูในโลกมานาน ความอกตัญญูก็ปรากฎอยู่คู่กันมาแฉกเช่นกัน ฉะนั้นลองอ่านเรื่องราวของผู้ที่มีชื่อว่า "มิตตวินทุก" ที่เกิดเมื่อหลายพันปีก่อนดูกันบ้าง

มิตตวินทุกเกิดมาโชคดี มีมารดาคอยเลี้ยงดูมาด้วยความรักและความห่วงใย เป็นอย่างยิ่ง แต่มิตตวินทุกไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเลยแม้แต่น้อย เมื่อเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มฉกรรจ์เขาคิดจะลงเรือค้าขายไปเมืองไกล มารดาของเขาห้ามปรามไว้ ด้วยความกลัวว่าลูกจะเกิดอันตราย แต่เขาไม่ได้เชื่อฟังคำร้องขอเหล่านั้น กลับดึงดันจะไปให้ได้ มารดาของเขาจึงยื้อยึดตัวเขาเอาไว้ด้วยความรักและห่วงใยลูก แต่เขากลับผลักไสจนทำให้นางต้องได้รับบาดเจ็บทุกข์ทรมาน จากนั้นเขาก็ออกเดินทางไปอย่างไม่เหลียวแลมารดาแม้แต่น้อย

มิตตวินทุกออกเดินทางไปในเรือสำเภาออกทะเลสมดังความมุ่งหมาย เรือสำเภาที่เขาโดยสารมาด้วยแล่นออกสู่ทะเลเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งแล้วกลับหยุดนิ่งสนิทอยู่กลางทะเลลึก ซึ่งในสมัยโบราณเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็จะเป็นที่รู้กันดีว่า มีคนชั่วช้า สารเลว หรือเรียกกันทั่วไปว่า "คนกาลกิณี" โดยสารมาในเรือลำนี้ด้วย นายสำเภาจึงทำสลากขึ้นให้ผู้โดยสารจับเพื่อหาตัวกาลกิณีในเรือนั้น และน่าประหลาดใจที่สลากแสดงความเป็นคนไม่ดีตกแก่มิตตวินทุกถึง 3 ครั้ง นายสำเภาจึงตัดสินใจจับเขาลอยแพไป

หลังจากนั้น แพของมิตตวินทุกก็ลอยไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของที่แห่งนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก นางรับเขาไว้เป็นสามีและดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่ต่อมานางจำเป็นจะต้องจากที่อยู่ไประยะหนึ่ง จึงสั่งให้เขาคอยนางอยู่ ณ ที่นั้นจนกว่านางจะกลับมา แต่มิตตวินทุกไม่ได้รู้ซึ้งในความโชคดีของนางผู้เป็นภรรยาเลย จึงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง

มิตตวินทุกเห็นคนในเกาะนั้นล้วนแต่มีเครื่องประดับกายงดงาม โดยเฉพาะบนศีรษะของทุกคนซึ่งมีมงกุฎดอกบัวประดับอยู่ มิตตวินทุกเห็นเป็นเช่นนั้นเกิดความอยากได้ เขาจึงร้องขอมงกุฏจากชายคนหนึ่ง และหารู้ไม่ว่าชายคนนั้นกำลังจะพ้นจากอกุศลกรรมที่เคยทำร้ายมารดาไว้ในชาติก่อน ชายคนดังกล่าวจึงถอดสิ่งที่เห็นเป็นมงกุฎนั้นแล้วสวมให้มิตตวินทุกแทน ทันใดนั้นสิ่งที่สวมลงบนศีรษะของมิตตวินทุก ก็ทำให้ตาของเขาพลันสว่างขึ้น และเห็นแจ้งในทุกอย่างว่า ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นอมนุษย์ที่ตายแล้วต้องมารับกรรม และถูกกงจักรบนศีรษะพัดให้บาดเจ็บทุรนทุราย จนเลือดไหลท่วมตัวอยู่ตลอดเวลาจากผลกรรมที่เคยทำร้ายมารดา

และในที่สุด มิตตวินทุกผู้ไม่รู้จักคุณค่าของความโชคดีของตนเองก็ต้องรับกรรม ทุกข์ทรมานจากกงจักรที่บาดศีรษะของเขาเช่นเดียวกับอมนุษย์ตนอื่นๆ ท่านทั้งหลายอ่านแล้วก็ต้องร้องอ๋อ ว่าที่มาของคำพังเพย "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" มีความหมายเป็นเช่นนี้เอง ซึ่งความหมายของคำพังเพยนี้ก็คือ "เห็นของเลวร้ายเป็นของดี"มาถึงสมัยนี้ อาจจะเคยเห็นตัวอย่างกลับกันอยู่บ่อยๆ คือแทนที่จะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็จะ "เห็นดอกบัวเป็นกงจักร"

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : หนูนานำโชค

นิทานสอนใจ : หนูนานำโชค


ท่านผู้อ่านคงแปลกใจว่า หนูนานำโชคได้อย่างไร ซึ่งในทางตรงกันข้ามกับจะนำโรคมาสู่มนุษย์ด้วยซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้นตัวหนูทั้งหลายล้วนแต่อับโชค เกิดเป็นหนูนาก็ถูกจับเอาไปย่างกิน ถ้าเป็นหนูถีบจักรหรือหนูตะเภาก็ถูกเอาไปเป็นหนูทดลอง ว่าไปแล้วเป็นหนูอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น

แต่หนูตัวที่จะพูดถึงนี้ แม้จะเป็นซากหนูตาย ก็สามารถเป็นสื่อหรือต้นทางแห่งความร่ำรวยได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะหนูตัวดังกล่าวมีอภินิหารที่จะสามารถบันดาลอะไรได้ ความจริงแล้วผู้ที่ร่ำรวยได้เพราะหนูตัวนี้ เขามีคุณสมบัติพิเศษ และแถมยังมีเพื่อนที่ดี ที่นับได้ว่าเป็นกัลยาณมิตรอีกด้วย จึงร่ำรวยได้รวดเร็วและน่าเอาเป็นแบบอย่างยิ่งนัก

ดังนั้น ขอเริ่มเรื่องโดยการกล่าวถึงเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ชื่อว่า "จุฬกะ" เศรษฐีจุฬกะคนนี้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวดินฟ้าอากาศ ฤกษ์ยามและทำนายฝันเหมือนดั่งผู้ที่มีความเชี่ยวชาญยิ่งนัก

วันหนึ่งท่านเศรษฐีคนนี้เดินทางไปยังพระราชสำนักพร้อมด้วยบริวาร ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ระหว่างที่เห็นซากหนูตายใหม่ๆ อยู่บนถนนตัวหนึ่ง ท่านจึงตรวจดูฤกษ์ยามของหนูตัวนี้ แล้วกล่าวให้ผู้ร่วมเดินทางฟังว่า "หากผู้ใดเก็บซากหนูตายนี้ไป จะบันดาลให้มีเงินทองเลี้ยงดูครอบครัวให้อยู่อย่างสุขสบาย"

ในกลุ่มผู้ติดตามนี้มีบุรุษเข็ญใจนิรนามคนหนึ่ง ได้ยินคำของท่านเศรษฐี จึงเก็บซากหนูตายไปขายเป็นอาหารแมว ได้เงินมาหนึ่งบาท เขาจึงนำเงินนั้นไปซื้อน้ำอ้อย แล้วนำน้ำอ้อยและน้ำเย็นไปบริการพวกที่กลับจากการเก็บดอกไม้ เขาทำดังนี้ติดต่อกันหลายวัน จนได้ส่วนแบ่งดอกไม้ไปขายได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ

วันหนึ่งเกิดพายุจัด พัดกิ่งไม้หักตกลงมามากมายในพระราชอุทยาน เกินกำลังของคนเฝ้าอุทยานที่จะเก็บให้สะอาดได้ ชายเข็ญใจนิรนามคนนั้นจึงเข้ามาอาสาเก็บกวาด โดยขอกิ่งไม้แห้งเหล่านั้นเป็นสิ่งตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าคนเฝ้าอุทยานย่อมเต็มใจที่จะให้สิ่งของที่ชายคนดังกล่าวร้องขอ

ชายนิรนามคนนั้น เริ่มต้นลงมือทำงานนี้ด้วยการนำน้ำอ้อยและน้ำเย็นไปเลี้ยงเด็กๆ ที่อยู่ในสนามเด็กเล่นในบริเวณใกล้ๆ แล้วขอแรงเด็กๆ เหล่านั้นมาช่วยกันเก็บกวาดกิ่งไม้ จากนั้นก็นำกิ่งไม้ที่เป็นฟืนชั้นดีหอบใหญ่กลับไปที่บ้านของเขาด้วย เขานำฟืนที่ได้ไปขายให้ช่างปั้นหม้อปั้นโอ่ง เพื่อนำไปเผาเครื่องดินที่ปั้นไว้ เขาจึงได้เงินเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง และแถมยังได้หม้อและโอ่งน้ำมาอีกด้วย


ชายนิรนามไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขานำโอ่งใส่น้ำกินไปตั้งไว้ที่ประตูเมือง เพื่อบริการน้ำให้แก่คนตัดหญ้าที่กลับเข้าเมืองในเวลาเย็น เป็นการผูกมิตรเอาไว้ คนตัดหญ้าทั้งหลายจึงแลเห็นน้ำใจที่งดงามของชายนิรนาม จึงกล่าวว่า "หากชายนิรนามต้องการสิ่งใด ที่พวกตนพอจะช่วยเหลือได้ ทุกคนก็มีความยินดีที่จะช่วยอย่างเต็มที่" ชายนิรนามรับคำสัญญาเอาไว้และดำเนินการค้าต่อไปด้วยการวางแผนอันล้ำลึกยิ่งนัก

แผนการนั้นคือ เขาเข้าไปคบค้าสมาคมกับพ่อค้าทั้งหลายที่ทำการค้าทั้งทางบกและทางน้ำ เขาเต็มใจช่วยเหลือกิจการของพ่อค้าเหล่านั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วันหนึ่งเขาได้ข่าวจากพ่อค้าทางบกว่าจะมีคนนำม้าจำนวนมากผ่านเข้ามาในเมือง ชายนิรนามจึงขอหญ้าจากคนตัดหญ้า และขอสัญญาว่าถ้าเขาขายหญ้าของเขาหมดแล้ว คนตัดหญ้าจึงจะขายหญ้าได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายนิรนามก็ขายหญ้าได้ราคาดีมาก จึงมีเงินทองเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อย่างไรนั้นโชคของชายนิรนามยังมีอีก เมื่อเขาได้ทราบข่าวว่าจะมีเรือสินค้ามาจอดที่ท่าเมืองนี้เพื่อขายสินค้าจำนวนมาก เขารีบนำเงินไปจ้างบริวารและแต่งกายให้ภูมิฐานนำเงินจำนวนหนึ่งไปวางมัดจำสินค้าที่นำมาทางเรือ ด้วยวิธีนี้คนทั้งหลายต้องมาซื้อสินค้าต่อจากชายนิรนามทั้งหมด เขาจึงทำเงินกำไรได้อย่างมหาศาล

เงินที่เขามีทั้งหมดประมาณสองแสนบาท ยังไม่สามารถทำให้เขาเป็นเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทะเยอทะยาน โลภมากคิดว่าพอมี พอใช้เลี้ยงตัวได้แล้ว จึงนึกถึงพระคุณของท่านเศรษฐีจุฬกะ ยอดกัลยาณมิตรผู้ชี้ทางแก่เขา เขาจึงนำเงินที่หามาได้ครึ่งหนึ่งไปทดแทนพระคุณของท่านเศรษฐีจุฬกะ ทำให้เศรษฐีจุฬกะผู้มีสายตากว้างไกล และเห็นว่าชายนิรนามคนนี้มีความขยันหมั่นเพียรและเฉลียวฉลาด อีกทั้งความกตัญญูรู้คุณคนอีกด้วย จึงยกลูกสาวให้เป็นภรรยา ดังนั้นชายนิรนามจึงได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีคนใหม่แทนเศรษฐีจุฬกะ ซึ่งถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา

ท่านผู้อ่านคงเห็นกันแล้วว่า หนูบันดาลโชคให้แก้ชายนิรนามได้ ก็เพราะชายนิรนามคนนี้มีคุณสมบัติแห่งความขยันหมั่นเพียร ใช้สติปัญญาไตร่ตรองหาลู่ทางการค้าอย่างสุจริต แถมยังโชคดีที่ได้คบหาสมาคมกับผู้ที่มีน้ำใจและรู้คุณคน รวมทั้งตัวเขาเองก็เป็นผู้ที่มีความกตัญญูยิ่งนัก จึงสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยาก

ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้อ่านก็สามารถใช้แนวทางของ"ชายนิรนาม" ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ แต่อย่าลืมว่าต้องรู้จักคบหาแต่คนดีมีน้ำใจ และเป็นผู้ให้ก่อนเสมอ จึงจะสมหวังดั่งชายนิรนามคนนี้

yengo หรือ buzzcity

เจ้าแคว้นฉู่เชิญจวงจื่อไปกินตำแหน่งขุนนางใหญ่

เจ้าแคว้นฉู่เชิญจวงจื่อไปกินตำแหน่งขุนนางใหญ่



ครั้งหนึ่ง จวงจื่อนั่งตกปลาอยู่ที่แม่น้ำผู เจ้าแคว้นฉู่ได้ส่งเจ้าพนักงานมาแจ้งแก่เขาว่า “ข้าต้องการเชื้อเชิญให้ท่านรับตำแหน่งขุนนางใหญ่ในแผ่นดินของข้า”

จวงจื่อยังคงตกปลาต่อไป และเอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้าไปมอง “ข้าได้ยินมาว่า ในแคว้นฉู่มีเต่าศักดิ์สิทธิ์ที่ตายมานานถึงสามพันปี เจ้าแคว้นเก็บมันไว้ในกล่องและห่อผ้าอย่างประณีต และวางไว้ในศาลบรรพชน บัดนี้ เจ้าเต่าตัวนี้ควรตายและทิ้งกระดองไว้ให้กราบไหว้บูชา หรือว่าควรมีชีวิตอยู่ และกระดิกหางเล่นอยู่ในโคลนตม?”

“มันควรมีชีวิตอยู่และกระดิกหางในโคลนตม” เจ้าพนักงานทั้งสองตอบ

จวงจื่อจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจงกลับไปเสีย ข้าก็ต้องการกระดิกหางเล่นในโคลนตมเช่นกัน”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)บทที่ 17

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ราชาหัวใจลำพอง

นิทานสอนใจ : ราชาหัวใจลำพอง


พระราชาพระองค์หนึ่งทรงมีทรัพย์สมบัติในครอบครองมากมาย อีกทั้งราชอาณาจักรของพระองค์ก็ขยายเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล ใครๆ ก็รู้จักพระองค์ในฐานะ “พระราชาผู้ครอบครองดินแดนทั่วหล้า และมหาทรัพย์ทั่วแผ่นดิน” การเลื่องลือนามของพระองค์ในแง่นี้ ทำให้ความเย่อหยิ่ง ลำพองตนเข้าเกาะกุมหัวใจของพระราชาอย่างง่ายดาย

นับวันความลำพองตนของพระราชาจะสะสมพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ความถือพระองค์ว่าเป็นที่หนึ่ง ทำให้พระราชาปฏิเสธที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับบ้านเมืองอื่น ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีบ้านเมืองใดยิ่งใหญ่และคู่ควรพอที่พระองค์จะติดต่อด้วย ครั้งมีราชทูตจากเมืองไกลมาขอเข้าเฝ้า พระองค์ก็จะรับสั่งผ่านมหาดเล็กว่า

“ไปบอกทูตเมืองนั้นว่าเราไม่สนใจราชสาสน์ของกษัตริย์แห่งเขา เราเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่างพอที่จะอ่านข้อความเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นหรอก”

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นานวันเข้าจึงไม่มีใครส่งราชฑูตมาเจริญสัมพันธไมตรีอีก รวมทั้งตัดขาดการติดต่อทางด้านการค้าไปด้วย พระราชาไม่ทรงแยแสเรื่องนี้ แต่ทรงลืมนึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นเมืองท่า ประชาชนส่วนใหญ่จึงมีอาชีพค้าขาย และส่วนหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองของพระองค์มั่งคั่งร่ำรวยได้ก็เพราะภาษีที่เก็บได้จากการค้าขายกับต่างแดน

เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างกลัวพระอาญา จึงไม่มีใครกล้าทูลพระราชาเกี่ยวกับวิกฤตนี้ ประชาชนจำต้องก้มหน้าก้มตารับความข้นแค้นขัดเคืองอย่างน่าสงสาร

กระทั่งวันหนึ่ง มีนักบุญท่านหนึ่งเดินทางผ่านราชอาณาจักรของพระราชาผู้ทรงลำพองตน นักบุญรู้สึกแปลกใจที่อาณาจักรแห่งนี้ไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน ประชาชนก็ดูอดอยากและมีแต่ความเศร้าหมอง นักบุญจึงสอบถามความจากชาวเมืองคนหนึ่ง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าพระราชา

แม้พระราชาจะทรงลำพองในความยิ่งใหญ่ของตนมากแค่ไหน แต่พระองค์ไม่เคยปฏิเสธนักแสวงบุญ ดังนั้น เมื่อทรงทราบว่า มีนักบุญพเนจรมาขอเข้าเฝ้า พระราชาก็รับสั่งให้ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แต่นักบุญบอกว่า ตนเองไม่ต้องการการต้อนรับที่เอิกเกริก เพียงแต่มีคำถามที่อยากทราบจากพระโอษฐ์ของพระราชาเท่านั้น เมื่อพระราชาทรงทราบความต้องการของนักบุญท่านนี้ พระองค์ก็เสด็จมาที่ท้องพระโรงทันที

“ผู้ทรงศีล..ท่านมีคำถามอันใดเร่งด่วนนักหรือ จึงปฏิเสธการต้อนรับ ซึ่งน้อยคนนักจะได้จากเรา เพียงเพื่อต้องการทราบคำตอบนั้น” พระราชาตรัสถามทันทีที่พบหน้านักบุญ นักบุญมิได้ตอบคำถามของพระองค์ แต่กลับพูดขึ้นว่า

“มหาราชา พระราชอาณาจักรของพระองค์ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียยิ่งกว่าอาณาจักรใดๆ ที่ข้าพเจ้าเคยสัญจรผ่าน ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ในความปรีชาของพรองค์โดยแท้..มหาราชา”

“ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ทรงศีล” พระราชาแย้มพระโอษฐ์กว้าง และตรัสด้วยเสียงทะนงตนว่า “ตัวเรายังมีทรัพย์สมบัติทั้งแก้วแหวนเงินทองอีกเป็นร้อยเป็นพันโกฏิเก็บไว้ในท้องพระคลังอีกด้วย”

นักบุญยิ้ม และกล่าวว่า “พระองค์ทรงภาคภูมิใจในราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองเหล่านี้เสียเหลือเกินสินะ มหาราชา”

“แน่แท้ผู้ทรงศีล..จะมีสิ่งใดแสดงความเป็นมหาราชาได้ดีเท่าความกว้างใหญ่ไพศาลของเขตแดนประเทศ และทรัพย์สมบัติที่พระราชาผู้นั้นมีไว้ในครอบครองอีกเล่า”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอบังอาจถามอะไรพระองค์สักหน่อยเถิด” นักบุญกล่าว

“ถามมาเถิด เรายินดีตอบท่านผู้นำสิริมาให้” พระราชาตรัสอนุญาต นักบุญจึงถามพระองค์ว่า

“พระองค์คิดว่าบ้านเมืองของพระองค์มีค่ามากเท่าไร”

พระราชาสนเท่ห์ที่นักบุญถามเช่นนั้น และไม่มีคำตอบที่จะตอบ เพราะพระองค์มิเคยประเมินค่าบ้านเมืองของพระองค์มาก่อน นักบุญเห็นพระราชานิ่งเงียบไปจึงถามต่อว่า

“แล้วแก้วแหวนเงินทองมากมายที่กองอยู่ในท้องพระคลังเหล่านั้น มีค่าเท่าไร”

พระราชาทรงส่ายพระพักตร์ “คำถามของท่านยากที่จะตอบ” ทรงตรัสแก่นักบุญ “เพราะเราไม่เคยตีราคาราชอาณาจักรของเรา และไม่เคยนับทรัพย์สมบัติที่เรามี แต่ท่านแน่ใจเถิดว่า สิ่งเหล่านั้นมีค่ามากเกินกว่าจะนับออกมาเป็นจำนวนที่เที่ยงแท้ได้ และก็ไม่มีอาณาจักรใดจะมีมากเท่าที่เรามีอีกแล้ว”

นักบุญยิ้ม และถามต่อไปว่า “สมมติพระองค์เดินหลงทางอยู่ในทะเลทรายโดยไม่มีทั้งอาหาร ไม่มีน้ำติดตัว โชคดีมีคนพเนจรผู้ตระหนี่เดินผ่านมา ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเพียงน้ำบริสุทธิ์เพียงแก้วเดียว พระองค์ยินดีที่จะจ่ายให้เขาเท่าไร เพื่อแลกกับน้ำแก้วนั้น และชีวิตของพระองค์เอง”

พระราชานิ่งตรึกตรอง ก่อนจะตอบว่า “เราอาจจะยกราชอาณาจักรของเราให้เขาสักครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับน้ำแก้วนั้นกระมัง”

นักบุญถามต่อว่า “แล้วถ้าพระองค์ประชวรด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ ทุกวันต้องทรงร้องครวญครางด้วยความทรมานจากพิษของโรคนั้น แต่แล้ว พระองค์ก็ทรงทราบว่า ทั่วแผ่นดินนี้มียาอยู่เม็ดหนึ่งที่สามารถรักษาพระอาการประชวรนั้นได้ แน่ล่ะว่า เจ้าของยาคงไม่มอบยาที่มีสรรพคุณวิเศษเช่นนี้ให้แก่พระองค์โดยง่าย เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์จะมอบสิ่งใดแก่เขาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่คู่ควรกับยาหนึ่งเม็ดนั้นเล่า”

พระราชาตรัสตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “จะมีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตของคนเราอีก หากเราต้องเป็นดังเช่นท่านว่า เราก็จะยอมแบ่งทรัพย์สมบัติของเราให้แก่เขา อย่าว่าแต่ครึ่งหนึ่งเลย แม้หมดท้องพระคลังเราก็จะยกให้ ถ้ายาของเขาวิเศษจริง”

สิ้นคำตรัสของพระราชา นักบุญก็หัวเราะเสียงดังก้องท้องพระโรง พระราชาไม่ทรงเข้าพระทัย ตรัสถามว่า “ท่านหัวเราะทำไม มีเรื่องใดน่าขันอย่างนั้นหรือ”

นักบุญตอบว่า “ข้าพเจ้าหัวเราะเพราะในตอนแรกพระองค์บอกว่า ราชอาณาจักรและทรัพย์สินที่พระองค์มีเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าราชอาณาจักรและทรัพย์สมบัติของพระองค์ มีค่าเพียงแค่น้ำหนึ่งแก้วและยาหนึ่งเม็ดเท่านั้น..นั่นเองล่ะ คุณค่าของมัน”

กล่าวจบนักบุญก็เดินหัวเราะออกไปจากท้องพระโรง ทิ้งให้พระราชาต้องทรงขบคิดถึงบทเรียนสำคัญที่เขาทิ้งไว้

บทสรุปของผู้แต่ง

คนเรามักเข้าใจว่า คุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์อยู่ที่ว่าใครมีสมบัติในครอบครองเท่าไร อันที่จริงถ้านั่นคือผลจากความขยันหมั่นเพียรจนทำให้เขาก่อร่างสร้างตัวได้สำเร็จ ก็ไม่ผิดเสียทีเดียวที่เราจะยกย่องให้เขาเป็นคนมีคุณค่าคนหนึ่ง

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งและส่วนน้อยกระจิริด ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเอามาวัดได้ว่าใครมีคุณค่ามากมายแค่ไหน เว้นแต่จิตใจของเรา สมบัติอื่นๆ ล้วนไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง แม้กระทั่งกายของเรา อันที่จริงก็ไม่ใช่ของของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่อยู่กับใครคนใดคนหนึ่งไปตลอด ถึงแม้คนๆ นั้นใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อค้นหามัน ด้วยเหตุนี้หากใครเอาเงินทองมาวัดความยิ่งใหญ่ สุดท้ายเขาจะตายไปโดยไม่เหลือคุณค่าใดๆ เพราะเมื่อถึงเวลาที่แผ่นดินกลบหน้า ใครเล่าจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอีก

ดังนั้น คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์จึงควรอยู่ที่คุณธรรมประจำใจของเขา อยู่ที่ความดี อยู่ที่การเสียสละ อยู่ที่ความรับผิดชอบ อยู่ที่ความคิดว่าจะเอื้อเฟื้อผู้อื่นได้มากเท่าไร มิใช่ทำอย่างไรจึงจะเอามาเป็นของตนให้ได้มากที่สุด

บางคนยิ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งทำลาย บางคนยากจนแต่มีใจช่วยเหลือ ใครมีคุณค่าคู่ควรที่จะเป็นมนุษย์บนโลกนี้ คงคิดออกกันใช่ไหม


ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : กบเจ้าถิ่นกับสิงโตผู้รุกราน

นิทานสอนใจ : กบเจ้าถิ่นกับสิงโตผู้รุกราน


ณ บึงเล็กใกล้เชิงเขาแห่งหนึ่ง อันเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกบมาช้านาน พวกมันอยู่รวมกันอย่างมีความสุข บ้างกระโดดโลดเต้น บ้างหาเหยื่อ บ้างร้องเพลงกบอ๊บๆ ไปตามประสา กบฝูงนี้ต่างพอใจในความเป็นอยู่ของตนที่นี่ พวกมันรักบึงเล็กใกล้เชิงเขาแห่งนี้ และไม่เคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

อยู่มาวันหนึ่ง มีกบตัวน้อยออกมากระโดดเล่นน้ำฝน และหาเหยื่อที่เชิงเขาตามลำพังอย่างเบิกบานใจ ในขณะนั้นเอง สิงโตต่างถิ่นตัวหนึ่งเดินมาพบเข้า สิงโตตัวนี้มีนิสัยพาลเกเร มันเพิ่งถูกเพื่อนๆ สิงโตขับออกจากฝูงเก่า เลยต้องระเห็จออกมาหาที่อยู่ใหม่ กระทั่งเร่ร่อนมาจนถึงเชิงเขาแห่งนี้ มันรู้สึกถูกใจที่นี่เป็นอย่างมาก เสียอยู่อย่างเดียวว่าที่นี่มีกบอาศัยอยู่เยอะเกินไป และมันไม่ชอบเสียงร้องของกบเอาเสียเลย

“อ๊บๆ เราคือกบ กบอย่างเรานั้นร้องอ๊บๆ” กบน้อยร้องเพลงอย่างเริงร่า พลางกระโดดไปมาด้วยความร่าเริง

“เหวยๆ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ เจ้ากบตัวจ้อย” สิงโตคำรามลั่นจนกบน้อยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

“อะไรกันเล่า ท่านสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ ไยท่านต้องห้ามไม่ให้ข้าส่งเสียงร้องด้วย” กบน้อยร้องถามด้วยความสงสัย

“ข้าไม่ชอบเสียงร้องของพวกเจ้า มันทำให้ข้าหงุดหงิดและรำคาญใจ” สิงโตตอบ “ต่อไปนี้ที่นี่คืออาณาเขตของข้า ถ้าไม่อยากตายก็จงย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเสียให้หมด อย่าให้ข้าได้ยินเสียงร้องบ้าๆ บอๆ ของกบอย่างพวกเจ้าอีก ถ้าข้าได้ยิน ข้าจะเหยียบให้แบนติดดินทุกตัวเลย”

กบน้อยตกใจมาก รีบอ้อนวอนแก่สิงโตว่า

“ได้โปรดเถิดท่านสิงโต เมื่อเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านแล้ว เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เท่านั้น โปรดอย่าไล่พวกเราออกไปจากที่นี่เลยท่าน เพราะที่นี่คือถิ่นกำเนิดของเราและมีอาหารสมบูรณ์ที่สุด หากว่าท่านต้องการจะอยู่ที่นี่ เราก็อยู่ด้วยกันได้นี่ท่าน”

“ข้าจะเอาที่นี่เป็นของข้าทั้งหมด” สิงโตคำรามอย่างหัวเสีย “เป็นแค่กบอย่าริมาต่อรองอะไรกับข้า ไปบอกพวกของเจ้าทุกตัวให้ย้ายออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจล่ะนะ”

กบน้อยเศร้าใจมาก หากพวกตนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นก็ไม่แน่ว่าจะมีอาหารพอประทังชีวิตหรือไม่ แต่ถ้าไม่ไปก็อาจทำให้สิงโตโกรธและฆ่าพวกตนตายหมดทั้งฝูงได้เหมือนกัน กบน้อยไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดสิงโตจึงมีนิสัยพาลเช่นนี้

“เอาอย่างนี้เถอะนะท่านสิงโต” กบน้อยรวบรวมความกล้าทั้งหมดกล่าวแก่สิงโตซึ่งมองตอบกลับมาด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมไร้ความเมตตา “ข้ารู้ตัวว่าตนเองนั้นเป็นเพียงกบตัวเล็ก ๆ แต่ข้าก็รักถิ่นกำเนิดของตนเองมากเช่นกัน ดังนั้น หากข้าจะขอท้าแข่งกับท่านโดยใช้เชิงเขาแห่งนี้เป็นเดิมพัน ท่านจะรับคำท้าจากข้าหรือไม่”

สิงโตได้ฟังคำพูดของกบน้อยก็รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง มันหัวเราะลั่นไปทั่วเชิงเขา “เหวยๆ เจ้ากบไม่ประมาณตน กล้ามาท้าข้าเชียวหรือ ไหนว่ามาซิ เจ้าอยากจะแพ้ข้าด้วยการแข่งขันแบบไหนกัน ฮ่าๆ ๆ”

“พรุ่งนี้เรามาวิ่งแข่งรอบภูเขานี้กัน หากใครชนะก็จะได้อยู่ที่เชิงเขานี้ต่อไป ส่วนผู้แพ้จะต้องออกไปจากที่นี่ทันที” กบน้อยเสนอ

“ก๊ากๆ แข่งอะไรไม่แข่ง มาแข่งวิ่งกับข้า อวดดีไปหน่อยแล้วกระมัง แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าอยากแพ้ขนาดนั้น ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้”

หลังจากตกลงนัดหมายเวลาและสถานที่กับสิงโตเรียบร้อยแล้ว กบน้อยก็กลับไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กบในฝูงฟัง เหล่ากบจึงพากันหารืออย่างเคร่งเครียดถึงวิธีแก้ปัญหานี้

“พวกเราอาศัยอยู่ที่เชิงเขานี่มาช้านานแล้ว ข้าไม่ยอมย้ายออกไปโดยที่เราไม่ได้มีความผิดอะไรหรอกนะ” กบตัวหนึ่งพูดอย่างขุ่นเคือง

“แต่ถ้าเราไม่ไป เราทุกตัวจะโดนสิงโตฆ่าตายนะ” กบแม่ลูกอ่อนกล่าวพลางซับน้ำตา

“กบน้อยเอ๋ย ในเมื่อเจ้าหาญกล้าไปท้าสิงโตวิ่งแข่งรอบเชิงเขาเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องมีแผนดีๆ อยู่ในใจแล้วใช่ไหม” กบเฒ่าอายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยถามกบน้อย

“ข้าเองก็พอจะมีแผนการดีๆ อยู่ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของพวกเราทุกตัวด้วย” กบน้อยกล่าวกับเหล่ากบในที่นั้น ซึ่งกบทุกตัวต่างก็มุ่งมั่นจะรักษาถิ่นที่อยู่ของตนเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นกบน้อยจึงบอกแผนการเอาชนะสิงโตให้กบตัวอื่นๆ ได้ทราบ จากนั้นจึงแบ่งหน้าที่ว่าใครจะรับผิดชอบตรงจุดไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น กบกับสิงโตก็มาพบกันยังที่นัดหมาย โดยสิงโตได้เรียกสัตว์ตัวอื่นๆ มาร่วมเป็นสักขีพยานในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นโดยสิงโตเป็นฝ่ายวิ่งนำไปก่อน ส่วนกบก็กระโดดตามไปอย่างสุดกำลัง ทว่ากำลังกระโดดของกบไม่อาจสู้ฝีเท้าของสิงโตได้ สิงโตจึงวิ่งนำไปไกลมาก กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สิงโตรู้สึกเหนื่อยจึงหันไปมองข้างหลัง ไม่เห็นกบกระโดดตามมา สิงโตจึงชะล่าใจคิดจะนอนพักใต้ต้นไม้สักครู่


สิงโตนอนงีบไปครู่หนึ่ง เมื่อหายเหนื่อยแล้วมันจึงตื่นขึ้นมาวิ่งต่อ พลางตะโกนไปข้างหลังซึ่งมันคิดว่ากบกำลังตาลีตาเหลือกกระโดดตามมาว่า

“เหวยๆ เจ้ากบ ข้านำเจ้ามาไกลแล้วนะเห็นไหม”

พอสิ้นเสียงโอ้อวดของสิงโต ก็มีเสียงกบร้องตะโกนอยู่ข้างหน้าว่า

“อะไรกันท่านสิงโต นี่ข้ากระโดดนำหน้าท่านมาตั้งนานแล้วนะ”

สิงโตพอได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบเร่งฝีเท้าเพื่อเอาชนะกบให้ได้ สิงโตวิ่งไปได้ครู่ใหญ่ๆ ก็คิดว่าตนเองต้องเลยกบมามากแล้วแน่ๆ จึงตะโกนไปอีกว่า

“เจ้ากบ ข้านำเจ้ามาไกลแล้วนะ ข้าชนะเจ้าแล้ว”

แต่ก็มีเสียงกบตะโกนอยู่ข้างหน้าอีกว่า

“ท่านจะชนะข้าไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังวิ่งอยู่ข้างหลังข้าแท้ๆ”

สิงโตฟังแล้วก็ตกใจจนหน้าซีด มันกระโดดแผล็วออกวิ่งจนสุดแรงเกิดอีกครั้ง เมื่อคิดว่าตนเองชนะแน่แล้ว มันก็ตะโกนออกไปใหม่ว่า

“เจ้ากบ คราวนี้ข้าชนะเจ้าแน่ๆ เตรียมระเห็จออกไปอยู่ที่อื่นได้แล้ว”

ก็มีเสียงกบตอบกลับมาจากข้างหน้าเช่นเคยว่า

“ท่านวิ่งอยู่ข้างหลังข้า จะมาบอกว่าตนเองชนะได้อย่างไรเล่า”

สิงโตแทบล้มทั้งยืน มันออกแรงไปมากจนตอนนี้แทบไม่มีแรงเหลือวิ่งต่ออีกแล้ว

เมื่อรู้ว่าตนเองพ่ายแพ้กบ สิงโตก็รู้สึกอับอายบรรดาสัตว์ที่มาดูการแข่งขันมากจนทนรับความอดสูนี้ไม่ไหว มันจึงรีบหนีเข้าไปแอบอยู่ในป่าเชิงเขาก่อนที่การแข่งขันจะสิ้นสุดลง เหล่ากบเห็นสิงโตหมดท่าเช่นนั้นก็รู้สึกสงสาร พวกมันรีบปรึกษาหารือกันทันที

“น่าสงสารสิงโตตัวนั้นนะ ถ้าเราไล่เขาไป เขาก็ไม่มีที่จะอยู่น่ะสิ คิดถึงตัวเราแล้ว ถ้าไม่มีที่อยู่ขึ้นมาก็ลำบากเหมือนกันนะ” กบสาวเห็นใจสิงโต

“ว่ากันตามจริงแล้ว เราไม่ได้ชนะสิงโตด้วยซ้ำ เราวางแผนให้พวกเราเหล่ากบไปหลบอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อให้สิงโตคิดว่าเรานำหน้าเขาอยู่ตลอดทางต่างหากเล่า” กบหนุ่มกล่าวบ้าง

“ใช่แล้ว แม้เราจะชนะด้วยปัญญา แต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะที่ขาวสะอาดนักหรอก เพราะว่าเราไม่ได้รักษากฎกติกาที่ตกลงไว้กับสิงโต” กบรุ่นใหญ่เห็นด้วยกับกบหนุ่ม

“เราต้องรักษาถิ่นที่อยู่ของเราไว้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่เราก็ควรรับผิดชอบที่เราเล่นไม่ซื่อกับสิงโตด้วย” กบน้อยแสดงความคิดเห็น

หลังจากเหล่ากบปรึกษากันแล้ว กบเฒ่าซึ่งเป็นตัวแทนของฝูงกบจึงกล่าวตะโกนให้สิงโตได้ยินว่า

“ท่านสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ ผลการแข่งขันอาจจะออกมาเสมือนว่าท่านแพ้พวกข้าก็จริง แต่พวกข้าจะไม่ไล่ท่านออกไปจากภูเขานี้หรอก ขอให้ท่านทำใจให้สบาย ลืมความแค้นของเรา แล้วอยู่ที่นี่ด้วยกันอย่างสงบเถิด”

สิงโตพอได้ยินกบเฒ่าพูดแสดงน้ำใจเช่นนั้น ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้น มันจึงรีบวิ่งหนีออกไปจากภูเขาแห่งนั้น และไม่เคยกลับมาอีกเลย


ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : คุณค่าของใบไม้แห้ง

นิทานสอนใจ : คุณค่าของใบไม้แห้ง


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งนามว่า ฤๅษีอุอะ ได้สละทางโลกมานั่งบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าลึกเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีลิงน้อยแสนรู้ที่ฤๅษีเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็กเป็นผู้หาผลไม้ในป่ามาให้ท่านฤๅษีรับประทานเป็นอาหารทุกวัน

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฤๅษีอุอะ กำลังนั่งเข้าฌานเหมือนดังเช่นทุกวัน จู่ๆ เจ้าลิงแสนรู้ก็กระโจนทะเล่อทะล่าเข้ามาในอาศรม พร้อมกับละล่ำละลักพูดกับฤๅษีซึ่งนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ว่า

“เจี๊ยกๆ ท่านฤๅษีผู้มีเมตตา ได้โปรดออกจากฌานมาช่วยแก้ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก่อนเถิดเจ้าข้า เจี๊ยกๆ”

ฤๅษีอุอะ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเจ้าลิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“มีอะไรที่เจ้าต้องการบอกข้าหรือเจ้าลิง” ฤๅษีถามอย่างสงบ

“เจี๊ยกๆ คือว่า เมื่อสักครู่ ข้าได้ออกไปหาผลไม้ในบริเวณใกล้ๆ กับหน้าผาใหญ่ของชายป่าด้านโน้น เจี๊ยกๆ แล้วข้าก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ข้าพยายามส่งเสียงร้องห้ามปรามเขา แต่เขาก็ไม่เข้าใจเสียงร้องของข้า เพราะนอกจากท่านฤๅษีแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจฟังข้าเข้าใจได้ เจี๊ยก” เจ้าลิงกล่าวอย่างร้อนรน

“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ฤๅษีอุอะว่า แล้วท่องมนต์ที่ทำให้หายตัววับไปในทันที ส่วนเจ้าลิงแสนรู้ก็รีบห้อยโหนต้นไม้เพื่อกลับไปยังบริเวณหน้าผาแห่งนั้น

ที่หน้าผาใหญ่ตรงชายป่า ชายหนุ่มท่าทางพ่ายแพ้ในชะตาชีวิตกำลังจ้องมองลงไปยังก้นเหวเบื้องล่าง เขาค่อยๆ สืบเท้าของตนออกไปทีละนิดๆ จนยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบหน้าผา

เปรี้ยง!

สายฟ้าไม่ปรากฏที่มา ฟาดเข้ากับหน้าอกของชายสิ้นคิดอย่างแรงจนเกิดเป็นแรงผลักมหาศาล ทำให้ตัวเขากระเด็นถอยหลังออกไปจากขอบหน้าผา และกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในบริเวณนั้นอย่างแรง

“โชคดีของเจ้าแล้ว ที่ข้ามาทันเวลาพอดี” ฤๅษีอุอะ กล่าวพลางเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มพร้อมด้วยเจ้าลิงแสนรู้

“นี่เป็นอิทธิฤทธิ์ของท่านอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มโวยวายลั่นป่า เมื่อรู้ว่าใครทำร้ายเขา “ผู้ทรงศีลอย่างท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน”

“ใครคือผู้บริสุทธิ์...เจ้านะหรือ” ฤๅษีอุอะหัวเราะอยู่ในลำคอ “ฆาตกรอย่างเจ้า เรียกตัวเองว่าผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มปากเต็มคำได้อย่างนั้นหรือ”

“ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไรของท่าน ข้าไม่เคยฆ่าใคร” ชายหนุ่มขึ้นเสียง

“เจ้ามีบิดามารดาหรือไม่” ท่านฤๅษีถามอย่างใจเย็น

“มีสิ ข้ามีทั้งมารดาและบิดา”

“ใครเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า รึตัวเจ้าถือกำเนิดขึ้นมาเอง” ฤๅษีอุอะ ถามต่อ

“เอ๊ะ! ถามอะไรประหลาดแบบนั้น ใครจะเกิดขึ้นมาได้ ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายก็ต้องมีมารดาเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งนั้น แม้แต่เด็กกำพร้าก็เถอะ” ชายหนุ่มตอบอย่างหงุดหงิด

“ถ้าเจ้ามิได้ถือกำเนิดขึ้นมาเอง แต่มารดาของเจ้าคือผู้ให้กำเนิดเจ้า และนางต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพื่อยอมให้เจ้าเกิดมาพร้อมด้วยลมหายใจและร่างกายที่สมบูรณ์ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็มิใช่เจ้าของชีวิตของตนเองเลย และไม่มีสิทธิขาดในการมอบความตายให้กับชีวิตของเจ้า การที่เจ้าฆ่าตัวตาย ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกับการฆ่าผู้อื่น และเวรกรรมของการประพฤติผิดนี้หนักหนาสาหัสต์นัก ต้องชดใช้ไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติจึงจะหมดสิ้น” ฤๅษีอุอะพูดเตือนสติ ชายหนุ่มจึงนิ่งเงียบไปเหมือนพยายามไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

“แต่คนอย่างข้า...” ชายหนุ่มเอ่ย น้ำเสียงอ่อนลง แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความสิ้นหวังอย่างรุนแรง “...คนอย่างข้าอยู่ไปก็ไร้ความหมาย ข้ามันเป็นคนขี้แพ้...รู้ไหมท่านฤๅษี ชีวิตของข้ามีแต่ความฉิบหายวายวอด ข้าสู้ทนทำงานหนักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพื่อนำไปลงทุนค้าขายจนพอจะได้กำไรงามอยู่บ้าง จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้โรงเก็บสินค้าวอดวายหมดสิ้น ถึงคราวหมดเนื้อหมดตัว คนรอบข้างก็มีแต่ถากถาง หาว่าข้าไม่เจียมตัวบ้างล่ะ คิดทำการใหญ่เกินตัวบ้างล่ะ มิตรสหายก็หายหน้าไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูบ้านต้อนรับ ซ้ำร้ายเมียที่ข้าแสนรักและไว้ใจก็ทนลำบากไม่ไหวหนีตามชายชู้ไปอีก ทุกคนทอดทิ้งข้า แต่ก็สมควรแล้วเพราะข้ามันคนไร้ค่า ตายไปยังจะมีประโยชน์เสียกว่า” ชายหนุ่มคร่ำครวญถึงชีวิตอัปยศของตนเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขานั่งทอดอาลัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามฤๅษีอุอะ ว่า

“จริงสิท่าฤๅษี ท่านคือผู้ทรงศีลผู้รู้จักนรกและสวรรค์ ท่านพอจะช่วยข้าให้ตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอันน่ากลัวนั้นได้หรือไม่”

ฤๅษีนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบชายหนุ่มว่า

“ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องทำตามข้อเสนอของจ้าให้ได้เสียก่อน...”

“บอกข้อเสนอของท่านมาได้เลย ข้ายินดีทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง ขอเพียงให้ข้าได้ตายอย่างเป็นสุขเท่านั้น” ชายหนุ่มรับข้อเสนอทันทีโดยไม่ต้องคิด

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว...ข้อเสนอของข้า ก็คือ ให้เจ้าเดินมุ่งไปยังหมู้บ้านที่อยู่ทางตะวันตกเป็นเส้นตรง ระหว่างทางที่เดินผ่าน ขอให้เจ้าเก็บใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเอากลับมาให้ข้าด้วย” ฤาษีอุอะบอกข้อเสนอของตนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสนเท่ห์เป็นอย่างมาก

“ใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ...แค่นั้นรึ...” เขาทวนคำอย่างลังเล

“ใช่ แค่นั้นเอง” ฤๅษีอุอะย้ำคำตอบ “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่ขัดขวางการจบชีวิตของเจ้า และจะยังช่วยให้เจ้าตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมใดๆ อีกเลย”

“ดีจริง! ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินเป็นเส้นตรงไปทางหมู่บ้านตะวันตก และนำใบไม้แห้งมาให้ท่านมากๆ เลย คอยดูสิ”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดฤๅษีอุอะจึงอยากได้ของประหลาดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบเดินทางไปยังหมู่บ้านฝั่งตะวันตก โดยมีเจ้าลิงแสนรู้ปีนต้นไม้ตามไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเป็นเส้นตรงตามทีฤาษีอุอะต้องการและไม่ทันไร เขาก็พบใบไม้แห้งกองใหญ่กองหนึ่ง ชายหนุ่มจึงก้มลงเก็บใบไม้แห้งบางใบขึ้นมา

“แย่ละสิ เขาได้ใบไม้แห้งตามที่ท่านฤาษีต้องการมาแล้ว” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างตระหนก แต่แล้วจู่ๆ ก็มีตาเฒ่าคนหนึ่งวิ่งกระย่องกระแย่งเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับพูดว่า

“พ่อหนุ่ม ช่วยเอาใบไม้แห้งใส่ไว้ในกองอย่างเดิมเถิด เพราะตาต้องใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าจะกวาดใบไม้แห้งมากองรวมกันได้มากขนาดนี้”

“ตาจะเอาใบไม้แห้งนี่ไปทำอะไรหรือ เพราะข้ามองไม่เห็นประโยชน์ของมันเลยสักนิดเดียว” ชายหนุ่มถามอย่างฉงน

“ตาจะเอาไปใช้ในที่นาของตา ตาจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปเผาเพื่อใช้ทำปุ๋ย พ่อหนุ่มคงไม่เคยรู้ล่ะสิว่าปุ๋ยจากใบไม้แห้งเป็นปุ๋ยที่ดีมาก ทำให้ต้นข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวได้เยอะ หากไม่มีใบไม้แห้งกองนี้ ตาคงไม่มีข้าวพอขายหรือแม้แต่จะนำมาหุงกินเองเป็นแน่” ตาเฒ่าอธิบาย

“ถ้าใบไม้แห้งพวกนี้มีประโยชน์กับตามากถึงขนาดนั้น ข้าก็เอามันไปไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มบอก และก่อนจะจากตาเฒ่าไปเขายังช่วยรวบรวมใบไม้แห้งในบริเวณนั้นมากองไว้ให้ตาเฒ่าอย่างมากมายอีกด้วย จากนั้นจึงกล่าวลาตาเฒ่าและออกเดินทางไปหาใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการต่อไป

“โอ้โชคดีที่ใบไม้แห้งกองนั้นเป็นที่ต้องการของชาวนาเขาจึงเอามันไปไม่ได้” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างโล่งอก

แต่เจ้าลิงก็โล่งอกโล่งใจได้ไม่นาน เมื่อชายหนุ่มเดินไปใกล้เขตหมู่บ้านฝั่งตะวันตก และได้พบหญิงชาวบ้านสามคนที่กำลังขมีขมันเก็บใบไม้แห้งใส่ตะกร้าหวายของพวกนาง ชายหนุ่มจึงเดินไปถามหญิงชาวบ้านทั้งสามว่า

“ขอโทษที่มารบกวนนะพี่สาว พวกพี่สาวจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปทำอะไรหรือ”

“ใบไม้แห้งนี่นะหรือ” หญิงชาวบ้านคนแรกว่า “ข้าจะเอาไปจุดไฟหุงข้าวน่ะน้องชาย ใบไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี และข้าก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อฟืนอีกด้วย”

“ส่วนข้าเลือกหาใบไม้แห้งที่ใหญ่หน่อย เช่น ใบตอง เพื่อนำไปเย็บเป็นกระทงใส่อาหารแทนชามข้าว นอกจากนั้นข้ายังนำเศษใบไม้ที่เหลือไปห่อขนมขายเอาเงินมาเลี้ยงลูกๆ ของข้าอีกด้วย” หญิงชาวบ้านคนที่สองบอก

“แล้วพี่สาวหล่ะ พี่สาวต้องการใบไม้แห้งที่ดูไร้ค่าพวกนี้ไปทำไมหรือ”

ชายหนุ่มหันไปถามหญิงชาวบ้านคนที่สาม ซึ่งเธอหัวเราะร่วนก่อนจะตอบว่า

“เข้าใจผิดแล้วล่ะน้องชาย ใบไม้พวกนี้ไม่ได้ไร้ค่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก”

“ดูเหมือนท่านจะพูดจาล้อเล่นเกินไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่อ

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นอะไรเลยเจ้าหนุ่ม ข้าเลือกเก็บใบไม้แห้งที่เป็นตัวยาสมุนไพรเพื่อเอาไปให้สามีของข้าซึ่งเป็นหมอชาวบ้านนำไปใช้ปรุงเป็นตัวยารักษาคนเจ็บ การที่คนเรามีสุขภาพดี ห่างหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำหรอกหรือ”

ชายหนุ่มนิ่งคิดพิเคราะห์และเห็นจริงดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน

“ดีจริงที่ใบไม้นี้เป็นที่ต้องการของใครๆ ไม่อย่างนั้นอายุของผู้ชายคนนี้ก็ต้องสั้นลง หากเขาเจอใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเข้าจริงๆ” เจ้าลิงแสนรู้คิดแล้วออกห้อยโหนกิ่งไม้ใหญ่เพื่อเดินทางตามชายหนุ่มต่อไป

ตอนนี้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในเขตหมู่บ้านตะวันตกแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างจอแจหนาแน่นแต่ถนนหนทางกลับสะอาดเอี่ยม บ้านเรือนแต่ละหลังปลูกติดกันเป็นแนวยาว นานๆ ครั้งจึงจะปรากฏตรอกเล็กๆ ให้เห็นอยู่บ้าง ชายหนุ่มเดินหลบหลีกผู้คนพลางสายตาก็สอดส่ายหาใบไม้แห้งไปพลางแต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินเป็นเส้นตรงตามคำสั่งของฤาษีอุอะ ทว่าในเขตชุมชนเมืองเช่นนี้ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเจอใบไม้แห้งก็ลดน้อยลงไปด้วย

“ดูเหมือนว่า หมู่บ้านตะวันตกนี่จะหาใบไม้แห้งยากสักหน่อยนะ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้จะได้เลิกคิดที่จะตายเสียที” เจ้าลิงคิดอย่างโล่งใจ มันต้องใช้หลังคาบ้านของชาวบ้านเป็นทางสัญจรเพื่อหลีกหนีความจอแจวุ่นวายด้านล่าง

ชายหนุ่มเดินเป็นเส้นตรงจนจวนจะถึงท้ายหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบใบไม้แห้งเลยแม้แต่ใบเดียว จนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จู่ๆ ก็มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา และใบไม้แห้งใบหนึ่งก็ตกลงมาตรงหน้าของเขา

เจ้าลิงรู้สึกใจหาย และนึกตำหนิลมวูบนั้นอยู่ในใจ

ขณะที่ชายหนุ่มก้มตัวลงเพื่อจะเก็บใบไม้อยู่นั่นเอง นกใหญ่ตัวหนึ่งก็บินลงมาโฉบเอาใบไม้แห้งใบนั้นไปต่อหน้าต่อตาเขา

“โธ่เอ๊ย! เจ้านกบ้า นั่นมันใบไม้ของข้านะ ข้าเจอมันก่อน” ชายหนุ่มชะเง้อคอมองตามนกใหญ่และร้องโวยวายด้วยความไม่พอใจ เขาเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง หมายจะขว้างใส่นกขี้โขมยให้รู้สำนึก แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่านกใหญ่เอาใบไม้แห้งไปทำอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงโยนก้อนหินทิ้งแล้วออกเดินต่อไป

เจ้าลิงซึ่งสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ นึกสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้ใบนั้นให้นกใหญ่ไปอย่างง่ายดาย มันจึงรีบปีนไปบนต้นไม้ใหญ่ตรงยอดไม้ที่นกตัวนั้นเกาะอยู่

สิ่งที่เจ้าลิงเห็นคือรังนกที่มีลูกนกตัวเล็กๆ สี่ตัวกำลังส่งเสียงร้องกระชั้นถี่ร้องหาอาหารจากแม่ของมัน แม่นกใหญ่มองลูกๆ ของนางอย่างสงสาร นางบอกแก่ลูกนกว่า

“รอสักประเดี๋ยวนะลูก แม่เพิ่งได้ใบไม้แห้งมาเมื่อครู่นี้เอง และแม่ต้องซ่อมแซมรังของเราให้แข็งแรงดีเสียก่อน จึงจะวางใจออกไปหาอาหารมาป้อนลูกได้ ไม่อย่างนั้นระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ลูกๆ ของแม่อาจตกลงไปจากรังจนเป็นอัตรายได้”

เจ้าลิงฟังแม่นกใหญ่พูดแล้วรู้สึกประทับใจในน้ำใจของชายหนุ่ม มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้แห้งใบนั้นไปอย่างง่ายดาย แล้วมันก็รีบตามชายหนุ่มต่อไปทันที

ด้านชายหนุ่มได้เดินไปเป็นเส้นตรงจนถึงบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดสุดเขตของหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ เขาเอามือยันขอบบ่อน้ำไว้ แล้วมองลงไปในบ่อ

ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็พบใบไม้แห้งใบหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำในบ่อ

“ในที่สุดข้าก็พบใบไม้แห้งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครแล้ว” ชายหนุ่มร้องอุทานอย่างสมหวัง เขารีบหยิบถังตักน้ำที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆ หย่อนเชือกลงไปตักใบไม้แห้งขึ้นมาจากในบ่อ

เจ้าลิงตามมาทันเห็นเหตุการณ์พอดี เมื่อมันเห็นว่าชายหนุ่มได้ใบไม้แห้งแล้ว มันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มยืนพินิจพิเคราะห์ใบไม้แห้งใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมันลงไปในบ่อน้ำอย่างเดิม แล้วหันหลังเดินกลับไปตามทางเก่า

เจ้าลิงรีบกระโจนไปที่ขอบบ่อ มันก้มลงมองใบไม้แห้งซึ่งบัดนี้ลอยเหนือผิวน้ำในบ่อด้วยความแปลกใจ

“เจี๊ยกๆ ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ได้เจอใบไม้แห้งซึ่งไม่มีประโยชน์กับใครๆ แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาไม่เอากลับไปให้ท่านฤๅษีอุอะกันเล่า เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงพูดกับตัวเอง

“นั่นเพราะใบไม้แห้งใบนี้มิใช่ใบไม้แห้งที่ไร้ประโยชน์” มดตะนอยที่เดินอยู่บนขอบบ่อตัวหนึ่งพูดขึ้น “แต่มันเป็นใบไม้แห้งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกมดอย่างเรามาก”

เจ้าลิงก้มลงมองมดเจ้าของเสียง มันเห็นมดอีกหลายตัวเดินกันเป็นแถวเรียงหนึ่งอยู่บนขอบบ่อ

“เจี๊ยกๆ ว่าอย่างไรนะ ใบไม้แห้งนี่นะหรือ มีประโยชน์กับมดอย่างพวกเจ้า เจี๊ยกๆ ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารเสียหน่อยนี่ เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงถามอย่างสงสัย

“แน่นอน พวกเราไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารหรอก...แต่พวกเราทำรังอยู่ในพื้นดินใกล้กับบ่อน้ำแห่งนี้ และมีหลายครั้งทีเดียวที่พวกเราตัวใดตัวหนึ่งหรือบางครั้งอาจจะหลายตัวเลยทีเดียวพลาดตกลงไปในน้ำ ใบไม้แห้งใบนั้นเปรียบเสมือนเรือน้อยของเราชาวมดที่อาศัยอยู่ที่นี่ หากไม่มีมันพวกเราก็อาจจะจมน้ำตายอยู่ในบ่อ และข้าเชื่อว่า ผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ก็คงจะเข้าใจและเห็นใจพวกเรา เพราะข้าก็คือมดตัวที่อยู่บนใบไม้แห้งซึ่งเขาได้ช่วยขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เจ้าลิงแสนรู้ก็รู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น คนๆ นี้มิใช่คนไร้ค่า แต่เป็นคนที่ไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง จึงไม่ควรเลยที่เขาจะคิดฆ่าตัวตาย แล้วเจ้าลิงก็รีบหันหลังกลับวิ่งตามชายหนุ่มไปทันที

ฝ่ายชายหนุ่มนั้นไม่ได้มุ่งมั่นที่จะหาใบไม้แห้งต่อไปอีกแล้ว เขาเดินกลับมากหาฤๅษีอุอะยังหน้าผาใหญ่แห่งเดิม

“ได้ใบไม้แห้งมากี่ใบกันล่ะเจ้าหนุ่ม” ฤๅษีอุอะ ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าลิงที่วิ่งเร็วรี่ตามมาติดๆ

“ไม่ได้มาเลยสักใบครับท่านฤๅษี แต่ข้าก็ไม่ต้องการใบไม้แห้งนั่นอีกแล้ว” ชายหนุ่มตอบ

“ทำไมเล่า ใบไม้แห้งมีออกเกลื่อนกลาด เจ้าน่าจะหามันมาได้ไม่ยากมิใช่รึ”

“ใช่ครับท่านฤๅษี ใบไม้แห้งนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด แต่ข้าไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเลยสักใบเดียว ชาวบ้านของหมู่บ้านตะวันตกล้วนเห็นคุณค่าของมัน พวกเขาใช้ใบไม้แห้งเพื่อประโยชน์ในชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้แต่สัตว์เล็กใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาใบไม้แห้ง ข้าจึงไม่พบใบไม้แห้งที่ท่านต้องการ และข้าก็รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าไม่อยากฆ่าตัวตายอีกต่อไปแล้ว”

ฤๅษีอุอะฟังคำตอบของชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างพอใจ

“การที่เจ้าถูกมองว่าไร้คุณค่าจากคนกลุ่มหนึ่ง นั่นมิได้หมายความว่า ตัวเจ้าจะไร้คุณค่าจริงๆ ต่อคนทุกคน ดังเช่นเมื่อแรกที่เจ้าคิดว่าใบไม้แห้งล้วนไร้ประโยชน์และสามารถหามาให้ข้าได้ง่ายๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า แท้ที่จริงแล้ว ใบไม้แห้งก็มิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว แต่สำหรับบางคน มันกลับมีคุณค่าต่อชีวิตของพวกเขาอย่างมากมาย”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองคิดดูเอาเองเถิดเจ้าหนุ่ม ว่า แม้แต่ใบไม้แห้งที่ใครๆ ต่างเชื่อว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว ก็ยังมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการอย่างมากมายจากคน นกและแมลง แล้วร่างกายของคนเราจะมีประโยชน์สักเพียงใดกันเล่าหากรู้จักใช้ให้คุ้มค่า เพราะฉะนั้นตัวเจ้าเองจักต้องพึงรักษาร่างกายของเจ้าเอาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข และไม่พลาดโอกาสที่จะเผื่อแผ่ความช่วยเหลือไปสู่ผู้ยากไร้ คนป่วย คนชรา และทุกชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อใดที่ได้ช่วยผู้อื่นแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะตระหนักถึงคุณค่าของตนเองได้อย่างมากมายเหมือนกับที่เจ้าได้ช่วยแม่นกใหญ่ให้สร้างรังปกป้องลูกๆ ของมันได้สำเร็จ และไม่เบียดเบียนเอาเรือช่วยชีวิตลำน้อยของพวกมดมา สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคุณค่าอันแท้จริงของตัวเจ้า และควรอย่างยิ่งที่เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”

ชายหนุ่มฟังคำฤๅษีอุอะแล้วรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันที เขาให้คำมั่นกับท่านฤาษีว่าจะไม่คิดสั้นอีกต่อไป แต่จะต่อสู้เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้จงได้ นอกจากนั้น เขาจะใช้ชีวิตตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะสามารถช่วยได้อีกด้วย

“ดีแล้วเจ้าหนุ่ม ขอให้เจ้าเรียนรู้คุณค่าของตัวเจ้าจากการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเถิด แล้วข้าจะอวยพรให้เจ้าได้พบแต่ความสุขสงบตลอดไป” ฤๅษีอุอะให้พรแก่ชายหนุ่มด้วยความเมตตา พร้อมกับมอบเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ให้เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตของเขาต่อไป

เธอทั้งหลาย...

หากเมื่อไหร่ที่เธอคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ดังเช่นใบไม้แห้ง นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอเป็นคนไร้คุณค่าจริงๆ แต่เป็นเพราะเธอไม่เคยรู้จักคุณค่าของตนเองเลยต่างหาก อย่าทำร้ายตนเองเพียงเพราะต้องการประชดในความหลงผิดนั้น แต่จงรักษาตัวให้มีร่างกายที่แข็งแรงและมีจิตใจสดใสอยู่เสมอ อย่าลืมว่าแม้แต่ใบไม้แห้งก็ยังมอบประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากมายถึงเพียงนี้ แล้วคนที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเธอจะสร้างคุณประโยชน์ต่างๆ ให้บังเกิดขึ้นได้มากมายเพียงไหนกัน

แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ โลกของเรายังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเธออีกมาก อย่างน้อย เธอก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่ไม่ยอมแพ้

ขอบคุณหนังสือด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สำนักพิมพ์ ฟรีมายด์

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ความช่วยเหลือของงูและปลา

นิทานสอนใจ : ความช่วยเหลือของงูและปลา


ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่าเศรษฐีคม เศรษฐีผู้นี้เป็นผู้มีจิตเมตตาและยึดถือหลักอหิงสาเป็นที่มั่น ด้วยคุณธรรมเช่นนี้ทำให้เศรษฐีคมเป็นที่รักของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มาก

วันหนึ่งเศรษฐีคมพาภรรยาและลูกน้อยวัยเตาะแตะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างคฤหาสน์ ซึ่งอยู่ติดกับชายป่า ขณะที่สามพ่อแม่ลูกกำลังสำราญใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมายังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คนทั้งสามกำลังนั่งพักชมธรรมชาติอยู่ ภรรยาเศรษฐีคมกรีดร้องอย่างตกใจ และอุ้มลูกขึ้นจากพื้นดินทันที ฝ่ายงูเห่าเองก็ตกใจมาก มันรีบชูคอแผ่แม่เบี้ยทันทีเช่นกัน

“พี่จ๊ะ ฆ่ามันเสียเถิดพี่ งูเห่าตัวนี้อันตรายต่อลูกของเราจริงๆ”

แต่เศรษฐีคมกลับตอบกลับมาอย่างนิ่งสงบ ว่า “พี่จะไม่ฆ่าเขาหรอก เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรพวกเราสักหน่อย มนุษย์มีความหวาดกลัวและคิดทำร้ายงูเห่าทันทีเมื่อได้พบเห็น ทั้งๆ ที่งูเห่าชนิดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ในจิตใจของมนุษย์ แต่พวกเขากลับไม่เคยรู้ตัว และไม่คิดจะกำจัดงูเห่าในจิตใจเหล่านั้นออกไปเลย”

แล้วเศรษฐีคมก็หันไปมองงูเห่าและพูดกับงูเห่าตัวนั้นว่า

“เจ้าอยู่ในป่าก็ดีและปลอดภัยอยู่แล้ว อย่าเข้ามารบกวนพวกเราและเสี่ยงให้เกิดอันตรายแก่ตัวเจ้าเองเลย เราไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าก็ไม่ทำร้ายเรา เราต่างก็ไปอยู่ในที่ซึ่งเหมาะกับพวกเราดีกว่านะ”

เมื่อเศรษฐีคมพูดจบ งูเห่าตัวนั้นก็ค่อยๆ ก้มหัวลง และเลื้อยกลับเข้าไปในป่าโดยไม่ได้ทำร้ายเศรษฐีคมและครอบครัวของเขาแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นเจ็ดวัน เป็นวันเกิดของเศรษฐีคม บรรดาบ่าวไพร่ในบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกันจับปลาในคลองใหญ่หลังคฤหาสน์เพื่อทำเป็นกับข้าวเลิศรสให้ท่านเศรษฐีได้รับประทาน แต่บังเอิญเศรษฐีคมเดินผ่านบริเวณนั้นพอดี เมื่อเห็นปลาที่จับได้แออัดอยู่ในตุ่มใบเล็กๆ เศรษฐีคมจึงถามบ่าวไพร่ ว่า “พวกเขาจับปลามากมายนี้ไปทำอะไรกัน”

บ่าวสาวคนหนึ่ง ตอบว่า “เราอยากให้นายท่านได้รับประทานอาหารรสเลิศที่ปรุงจากปลาพวกนี้ จึงชวนกันมาจับปลาตัวใหญ่ๆ รสชาติดี ไปทำอาหารให้นายท่านเจ้าค่ะ”

เศรษฐีคมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขามองบรรดาปลาที่นอนอัดอยู่ในตุ่มใบเล็กอย่างสังเวชใจ

“ไปเรียกบ่าวทุกคนที่จับปลามาหาข้าซิ” เศรษฐีคมสั่งบ่าวคนหนึ่ง

เมื่อบ่าวไพร่ที่กำลังจับปลาทุกคนมารวมตัวกันหน้าเขาแล้ว เศรษฐีคม ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากที่พวกเจ้าทุกคนลงแรงเพื่อข้าขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นสภาพปลาเหล่านั้น ข้ารู้สึกสงสารจับใจจนกินไม่ลง อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็อุตส่าห์ลงแรงมากมาย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ข้าก็จะขอซื้อปลาทั้งหมดนี้ไว้ และขอให้พวกเจ้านำปลากลับไปปล่อยในคลองดังเดิม”

“ถ้าอย่างนั้นนายท่านก็ไม่ได้กินอาหารรสเลิศในวันเกิดสิขอรับ” บ่าวคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างเสียดาย

“การทำบุญช่วยชีวิตผู้อื่นเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดแล้ว หากเราไม่เบียดเบียนชีวิตปลาพวกนี้ ก็เท่ากับพวกเจ้าได้มอบของขวัญล้ำค่าที่สุดแก่ข้าแล้ว”

เมื่อได้ยินนายของตนเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น บรรดาบ่าวไพร่ก็ยอมทำตามที่เศรษฐีคมต้องการโดยไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก

แล้วชีวิตของเศรษฐีคมก็มีความสุขเรื่อยมาจนกระทั่งคืนหนึ่ง ที่วัดประจำหมู่บ้านมีการจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เศรษฐีคมจึงพาภรรยาและลูกพร้อมด้วยบ่าวไพร่ไปเที่ยวชมงานวัดด้วยกัน ด้วยความที่ภรรยาใจร้อน อยากให้ถึงวัดแห่งนั้นเร็วๆ เศรษฐีคมจึงพาทุกคนเดินไปทางลัด ซึ่งต้องผ่านป่าทึบโดยหารู้ไม่ว่ามีกลุ่มโจรใจทมิฬมารอดักปล้นฆ่าเอาทรัพย์สินของชาวบ้านแฝงตัวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

เมื่อเดินเข้าเขตป่ามาได้ครึ่งทาง พวกโจรใจร้ายก็แสดงตัวและปล้นเอาทรัพย์สินของเศรษฐีคมและภรรยา รวมถึงเงินทองเล็กน้อยของบ่าวไพร่ไปจนหมด นอกจากนั้น หัวหน้าโจรยังประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า

“ตามกฎของข้า ใครก็ตามที่เห็นโฉมหน้าของข้าซึ่งเป็นหัวหน้าโจร มันผู้นั้นจะต้องถูกฆ่าทิ้งไม่ให้รอดกลับไปแจ้งข่าวกับทางการได้ ฆ่ามันให้หมด”

หัวหน้าโจรหันไปสั่งลูกน้อง แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้ทำร้ายใคร ลูกสมุนคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า

“โอ๊ะ หัวหน้า ข้าถูกอะไรก็ไม่รู้กัดที่ขา” อีกคนร้องตามมาติดๆ “ข้าด้วย อะไรก็ไม่รู้กัดที่เท้าข้า มืดๆ อย่างนี้ข้ามองไม่เห็นเลย”

“อ๊ะ ข้าเห็นแล้ว งูเห่า ตายล่ะ หัวหน้า พวกมันมาเป็นกองทัพเลยนี่” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกงูเห่ากัดไปอีกราย

เมื่อได้ยินลูกน้องพูดเช่นนั้น และเริ่มสัมผัสได้ถึงเมือกลื่นมากมายที่เคลื่อนเสียดสีขาท่ามกลางความมืด หัวหน้าโจรและสมุนที่เหลือก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ พวกมันวิ่งแน่บฝ่าความมืดออกจากป่าไปโดยมีเหล่างูเห่าเลื้อยตามอย่างไม่ลดละ จนเมื่อวิ่งมาถึงลำคลอง พวกโจรคิดว่ารอดแน่แล้ว จึงรีบกระโดดลงไปทันที

เหล่างูเห่าตามมาจนถึงริมคลอง ก็หยุดและเลื้อยกลับเข้าป่าไป พวกโจรดีใจมาก แต่แล้วจู่ๆ น้ำในคลองก็เกิดแรงกระเพื่อมผิดปกติ และเมื่อพวกโจรเพ่งพินิศดูสิ่งที่เกิดขึ้นในลำคลองอย่างตั้งใจ ทั้งหมดก็ตกใจแทบสิ้นสติ

ฝูงปลานับร้อยนับพันมาจากทุกทิศทางตรงเข้าล้อมพวกโจรไว้หมด พร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีพวกโจรอย่างรุนแรง แม้ปลาจะไม่มีเขี้ยว ไม่มีพิษเหมือนงูเห่า แต่เมื่อปลาทุกตัวรวมใจกันจู่โจมก็รุนแรงพอจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่พวกโจรได้

ตอนนั้นเอง เศรษฐีคมและชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็ตามมาเพื่อจะช่วยกันจับโจรส่งให้ทางการ พวกปลากระจายตัวออกทันทีที่ชาวบ้านมาถึง และชาวบ้านก็จับโจรได้อย่างง่ายดาย เพราะพวกนั้นเจ็บปวดไปทั้งตัวและไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ไว้ต่อสู้ขัดขืนอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่า ทั้งหมดนี้เป็นความช่วยเหลือจากงูและปลา นอกจากเศรษฐีคมแต่เพียงผู้เดียว

บทสรุปของผู้แต่ง

โลกของเราคือเงาสะท้อนตัวเราเอง ไม่ว่าเราจะเห็นอะไรหรือคิดอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสะท้อนมายังเราทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงควรกระทำแต่ความดี มองเห็นแต่สิ่งดีๆ ทำดี คิดดี พูดดี และมีจิตวิญญาณที่ดี มีความเมตตาให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะเมื่อเรามีแต่สิ่งดีๆ เราก็ย่อมอยากจะกระทำดีต่อผู้อื่นด้วย และสิ่งนั้นจะสะท้อนกลับมาสู่เรา ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้ให้ก็มีโอกาสที่เราจะเป็นผู้รับด้วย

เปรียบดั่งกระจกเงา หากเรายืนมองตัวเอง ตัวเราเองจะมองเราตอบมา หากเราแลบลิ้น กระจกก็จะแลบลิ้น หากเรานิ่วหน้า กระจกก็นิ่วหน้า และเมื่อเรายิ้ม กระจกก็จะยิ้มให้เราด้วย

นี่คือสิ่งที่เธอควรจดจำ และระลึกอยู่ในใจเสมอในยามที่คิดจะทำสิ่งใดกับใครก็ตาม

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : เพื่อนยากพาย่ำแย่

นิทานสอนใจ : เพื่อนยากพาย่ำแย่


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏมิตรไมตรีอันเด่นชัด ระหว่างสัตว์สองตัว คือ ลิง และ ปลา ซึ่งให้ความนับถือเป็นเพื่อนรักเพื่อนยาก และคอยช่วยเหลือเจือจุนกันมาเป็นเวลานาน

เมื่อมีเวลาว่าง บางครั้งลิงก็จะมาหาปลาที่ริมตลิ่ง และบางครั้งปลาก็ไปเรียกหาลิงที่ต้นมะม่วงใกล้ธารน้ำ ทั้งสองมักจะไปมาหาสู่กันเช่นนี้ เพื่อใช้เวลาพูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ รวมไปถึงการปรับทุกข์กันอยู่เสมอ

ว่ากันตามจริงแล้ว การที่สัตว์สองตัวนี้มาจับคู่เป็นเพื่อนยากกันก็นับว่าสมควรอยู่ เพราะต่างก็สามารถใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวของตนเกื้อหนุนอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ดังเช่นลิงนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว ก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่ได้เปรียบในการใช้ชีวิตมากกว่าปลา เพราะไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็สะดวก มีอิสรเสรีที่จะท่องเที่ยวหาอาหารตามที่ต่างๆ ในป่าได้ดั่งที่ใจต้องการ ลิงจึงนับได้ว่าเป็นผู้กว้างขวางผู้หนึ่งในป่า แต่ลิงก็ไม่ได้ทะนงตนในเรื่องนี้มากมายนัก มันคบปลาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และยังคงเห็นคุณค่าในตัวปลาอยู่เสมอ ด้วยมีความคิดว่า แม้ปลาจะเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็กๆ แต่หากวันใดวันหนึ่งที่อาหารในป่าหมดไป ตนเองอาจจะต้องเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาอาศัยปลา หรืออีกทางหนึ่งปลาก็ทำให้ลิงกว้างขวางในสังคมสัตว์น้ำมากขึ้น เผื่อมีศัตรูใดๆ มารุกราน ลิงก็อาจขอความช่วยเหลือจากปลาและเหล่าสัตว์น้ำได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

ส่วนปลานั้นเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ ปลาคิดว่าเป็นบุญของตนโดยแท้ที่ได้ลิงมาเป็นเพื่อนคู่ยาก เพราะลิงมีน้ำใจช่วยเหลือปลาในเรื่องต่างๆ ที่ลิงทำได้มาโดยตลอด นอกจากนั้น หากมีคราวใดที่ปลาเกิดอุบัติเหตุติดค้างอยู่บนบก ลิงก็สามารถช่วยจับปลามาปล่อยลงน้ำได้อย่างทันท่วงที

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ลิงไม่กินปลาเป็นอาหาร ดังนั้น การคบลิงจึงมีความปลอดภัยสำหรับปลา ยิ่งไปกว่านั้นบนบกก็มีอาหารกินที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะผลไม้สุกๆ ซึ่งลิงต้องกินเป็นอาหารอยู่แล้ว ลิงก็มักจะกัดแบ่งผลไม้สุกเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็กๆ ที่เพียงพอกับความต้องการของปลา แล้วส่งให้ปลากินอยู่บ่อยๆ ลิงและปลาจึงรัก และประทับใจในกันและกันไม่เสื่อมคลายด้วยประการฉะนี้

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในป่า น้ำป่าไหลหลากจนท่วมล้นตลิ่ง และเพิ่มระดับสูงขึ้นจนเกือบจะท่วมถึงกิ่งไม้ ลิงและปลาต่างเป็นห่วงในกันและกันมาก ลิงนั้นเที่ยวกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่น้ำยังท่วมไม่ถึงแล้วร้องตะโกนเรียกหาปลา

“ปลาเพื่อนยาก เจ้าอยู่ที่ไหน...อยู่แถวนี้หรือไม่ ช่วยส่งเสียงให้ข้ารับรู้ด้วยปลาเพื่อนยากของข้า”

ลิงตามหาปลาด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก มันกลัวว่า ปลาจะถูกน้ำพัดพาไปติดค้างตามกิ่งไม้ต่างๆ แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของปลาเพื่อนรัก มันตามหาปลาไปทั่วป่าจนอ่อนเพลียสิ้นเรี่ยวแรงและผล็อยหลับไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ฝ่ายปลาก็เป็นห่วงลิงมากไม่แพ้กัน มันกลัวว่าลิงจะพลัดตกน้ำและจมน้ำตาย ปลาจึงเที่ยวว่ายน้ำหาลิงไปทั่วทุกหนแห่งที่มันจะสามารถว่ายฝ่าไปได้ด้วยกำลังทั้งหมดจากครีบเล็กๆ ทั้งสองของมัน

“เราต้องตามหาลิงให้พบและช่วยลิงให้ได้ ลิงช่วยเรามามากแล้ว ถึงคราวที่เราจะได้ตอบแทนบุญคุณเพื่อนรักของเราบ้าง” ปลาคิดในใจ และว่ายน้ำหาลิงต่อไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะต้องช่วยลิงให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ปลาก็ยังหาลิงไม่พบ ครีบน้อยๆ ของมันที่ใช้แหวกว่ายทวนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมาตลอดทางเริ่มอ่อนล้าจนแทบขยับไม่ได้

“ตอนนี้เราไร้เรี่ยวแรงจะว่ายน้ำต่อไป หากยังฝืนตัวเอง เราคงได้หมดกำลังและตายเสียก่อนที่จะได้ช่วยลิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเราจะพักตัวเองสักครู่ เมื่อมีแรงแล้วจึงค่อยว่ายน้ำหาลิงต่อไปจะดีกว่า” ปลาบอกกับตัวเอง แล้วว่ายเข้าไปหลบพักอยู่ในโพรงรากไม้ที่ถูกน้ำท่วมถึงต้นหนึ่ง เพื่อออมแรงไว้ก่อน

แต่แล้วธรรมชาติก็เมตตาช่วยให้เพื่อนรักทั้งสองมาพบกันจนได้ เพราะน้ำที่ท่วมป่าได้พัดพาเอาร่างน้อยๆ ของปลาที่กำลังพักผ่อนเอาแรงอยู่ในโพรงไม้เคลื่อนขึ้นไปกระทบกับกิ่งไม้ที่ลิงพักหลับอยู่

เมื่อลิงถูกน้ำป่ากระเด็นมากระทบตัวก็ตกใจตื่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปลาซึ่งถูกกระแสน้ำพัดพามาทางที่ตนอยู่พอดี ลิงดีใจมากรีบยื่นมือออกไปคว้าร่างของปลาไว้ แล้วนำปลาไปวางไว้บนยอดไม้ เพื่อไม่ให้ปลาถูกกระแสน้ำพัดพาต่อไปอีก

“ตื่นเถิดเพื่อนเอ๋ย” ลิงปลุกปลาจน ก็ตื่นตามเสียงเรียกของเพื่อนรัก

“โอ...ลิงเพื่อนยาก” ปลาร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าลิง “ข้าตามหาเพื่อนอยู่นานมากแล้วรู้ไหม แต่หาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พบ เพื่อนไปอยู่ไหนมาเล่า”

“ข้าก็เที่ยวตามหาเพื่อนจนสิ้นแรงเช่นกัน แต่โชคดีที่โชคชะตาชักนำให้เรามาพบกันอีก ข้าเห็นเพื่อนถูกน้ำพัดมาเลยรีบคว้าร่างเพื่อนไว้ แล้วนำมาวางไว้บนยอดไม้นี่ ด้วยเกรงว่าเพื่อนอาจจะถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดพาไปพบกับอันตรายได้” ลิงกล่าวแก่ปลา

“โอ...ลิงเพื่อนยาก ท่านมีบุญคุณกับข้าอีกแล้วหรือนี่ ข้าหวังว่าจะได้ช่วยเพื่อนบ้าง แต่กลายเป็นว่าเพื่อนต้องมาช่วยข้าอีก” ปลาตัดพ้อตัวเอง

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยปลาเพื่อนรัก เพื่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่ยอมให้เพื่อนเป็นอะไรหรอก...ว่าแต่เพื่อนอยู่บนยอดไม้นี่สบายดีหรือไม่” ลิงถามปลาด้วยความเป็นห่วง

“ขอบใจลิงมากที่นำข้ามาอยู่บนยอดไม้นี้ ข้าสบายดี และเห็นด้วยกับเพื่อนว่าหากอยู่ในน้ำที่พัดแรงอย่างนั้นต่อไป ตัวข้าอาจจะไปกระแทกกับโขดหินตายเสียก่อนก็เป็นได้” ปลาเห็นด้วยกับลิงโดยลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นสัตว์น้ำ ก็ต้องอยู่ในน้ำ

“ถ้าเพื่อนว่าอย่างนี้ข้าก็เบาใจ เอาอย่างนี้นะ เพื่อนพักอยู่บนนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหาอาหารดีๆ มาให้เพื่อนกินเอง” ลิงบอกแก่ปลาแล้วรีบปีนป่ายต้นไม้ออกไปหาอาหารให้ปลาทันที

ในไม่ช้าเมื่อลิงกลับมายังยอดไม้ที่ปลานอนอยู่ ลิงก็แทบเป็นลมทั้งยืน เมื่อเห็นปลาเพื่อนยาก นอนแน่นิ่งสิ้นใจอยู่บนยอดไม้ที่ลิงพามาหลบกระแสน้ำอยู่นั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

จงยืนยันในเจตนารมณ์อันดีงามของเธอ ที่มุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เดือดร้อนต่อไปเถิด ความหวังดีของคนเราซึ่งมีต่อผู้อื่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้นเป็นแน่ แต่บางครั้ง บางกรณี บางบุคคล เราก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหาและธรรมชาติของคนผู้ซึ่งต้องการรับความช่วยเหลือแก่เขาไปอย่างเต็มที่ หากเป็นดังนี้ ความช่วยเหลือของเธอ จึงจะสร้างคุณประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้เดือดร้อนได้ดีเป็นที่สุด

และในแง่ของผู้ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้น ขอจงอย่าขาดสติในตนเอง และมัวหลงดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาหยิบยื่นให้ แต่ต้องคิดให้รอบคอบด้วยว่า ความช่วยเหลือที่เขาให้แก่เรานั้น ถูกต้องเหมาะสมตามที่เรากำลังเดือนร้อนจริงหรือไม่ และตรงกับสภาพตามธรรมชาติของเราด้วยหรือเปล่า

มิเช่นนั้น ความช่วยเหลือที่ตั้งใจมอบให้ ก็อาจจะนำพาซึ่งผลร้ายและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่ผู้เดือดร้อน มากกว่าผลดีที่เขาผู้นั้นสมควรจะได้รับจริงๆ

ทีมงานต้องขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี

นิทานสอนใจ : หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี


ในกาลหนึ่ง เมืองพาราณสีได้จัดให้มีงานบวงสรวงครั้งใหญ่ต่อองค์พระศิวะ มหาเทพผู้ทรงเป็นที่ศรัทธายิ่งของชาวพาราณสี ผู้คนทั้งใกล้ไกลรวมไปถึงประชาชนต่างเมืองได้เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงนี้อย่างล้นหลาม เนื่องจากกษัตริย์เมืองพาราณสีโปรดให้จัดงานนี้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

กล่าวถึงพระศิวะมหาเทพ ซึ่งประทับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ทรงทอดพระเนตรงานบวงสรวงครั้งนี้ด้วยความสนพระทัยเช่นกัน จนกระทั่งผ่านไปสามวันตามเวลาบนโลกมนุษย์พระองค์ก็รู้สึกเบื่อหน่าย และเลิกสนพระทัยงานบวงสรวงอันยิ่งใหญ่นั้นไปในที่สุด

เวลานั้นเอง ปาวตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระศิวะ หลังจากสนทนาเรื่องทั่วไปกันอยู่ครู่หนึ่ง ปาวตีจึงกล่าวแสดงความยินดีแก่พระศิวะว่า

“ตอนนี้พวกมนุษย์ได้จัดงานบวงสรวงครั้งยิ่งใหญ่มอบแด่พระองค์ ข้าพระองค์เห็นว่ามีประชาชนมากมายแห่ไปบูชาพระองค์ที่ลานบูชาทุกวันไม่ขาดสาย นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นที่รักและศรัทธาของมนุษย์ไม่เสื่อมคลาย ข้าพระองค์เห็นแล้วรู้สึกชื่นชมในพระบารมียิ่งนัก”

“อย่าใช้สิ่งที่เจ้าเห็นและคิดเองมาเยินยอข้าเลย ปาวตี” พระศิวะตรัสอย่างไม่นึกยินดีด้วย “จริงอยู่ที่มีฝูงชนมากมายถือดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาข้า แต่พวกเขาไม่ได้มาด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆ บางคนไม่มีความเมตตา บางคนละโมบโลภมาก และมีหลายคนทีเดียวที่จิตใจมัวเมาไปด้วยกิเลส หากเจ้าคิดว่าคนพวกนั้นดั้นด้นมาบูชาข้าด้วยความรักความศรัทธา ก็ขอให้เจ้าคิดใหม่เถิด เพราะแท้ที่จริงแล้ว พวกเขามาเพื่อต้องการขอนั่นขอนี่จากข้ามากมาย ซึ่งข้าไม่มีทางยินยอมให้พรของข้าไปตกอยู่กับมนุษย์ใจต่ำเช่นนั้นหรอก”

แต่ปาวตีกลับเห็นว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้

“พระองค์คือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ แม้จะมีผู้มาขอพรบ้างก็ไม่แปลก แต่นั่นอาจจะเป็นส่วนน้อยก็ได้ ข้าพระองค์เชื่อว่าหลายคนมาเพราะประสงค์ที่จะบูชาพระองค์อย่างแท้จริง และผู้บูชาพระองค์ก็คือผู้มีจิตใจสูงส่งทั้งสิ้น”

“หากเจ้าไม่เชื่อ จะลองไปดูไหมเล่า” พระศิวะตรัสถาม

“ดูอย่างไรกันพระองค์” ปาวตีทูลถามอย่างสนใจ

“เรากับเจ้าจะแปลงกายเป็นคนชราไปพิสูจน์น้ำใจมนุษย์พวกนั้นกัน” พระศิวะว่า และเมื่อปาวตียินยอมตามนั้น พระองค์ก็ทรงพาปาวตีลงไปยังโลกมนุษย์ทันที

เมื่อลงมาถึงโลกมนุษย์ ณ ทางเข้าเมืองพาราณสี พระศิวะได้แปลงกายเป็นชายชราป่วยหนัก ส่วนเทพปาวตีก็แปลงกายเป็นหญิงชราผู้เป็นภรรยาของร่างแปลงพระศิวะ แล้วทั้งสองก็นั่งลงตรงทางเข้าเมืองนั่นเอง

หญิงชราซึ่งแท้จริงแล้ว คือ เทพปาวตี ได้อ้อนวอนร้องขอน้ำจากฝูงชนที่เดินผ่านไปมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“ท่านผู้เจริญ ได้โปรดแบ่งอาหารและน้ำให้เราสองผัวเมียบ้างเถิด สามีข้าป่วยหนักใกล้ตายเพราะขาดอาหาร ส่วนข้าก็กระหายน้ำจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมากับสามีของนาง และได้สบสายตาอันน่าเวทนากับหญิงชราโดยบังเอิญ นางจึงกล่าวว่า

“ข้าให้ของเหล่านี้กับพวกเจ้าไม่ได้หรอก เพราะข้าต้องนำอาหารรสเลิศและน้ำบริสุทธิ์ในคนโทไปถวายองค์พระศิวะ เพื่อให้พระองค์อำนวยพรแก่ข้า”

หญิงชราส่งสายตาเว้าวอน พร้อมกับกล่าวว่า “แต่ข้าและสามีกำลังจะตายเพราะขาดน้ำและอาหาร และพระศิวะคงไม่ว่าอะไรกระมังหากท่านจะแบ่งของเหล่านั้นให้กับเราสองคนบ้าง เพราะพระองค์ก็มีของบูชามากมายอยู่แล้ว”

เมื่อสามีของหญิงชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็โกรธมาก เขาตะคอกใส่หญิงชราอย่างหยาบคายว่า

“ชิชะ เจ้าคนโสโครก หากพวกเจ้าได้อาหารชั้นเลิศของข้าไป ข้าจะได้อะไรตอบแทนจากพวกเจ้าบ้าง เจ้ามีปัญญาให้พรข้าเหมือนองค์พระศิวะหรือ เฮอะ แล้วเรื่องอะไรข้าจะต้องแบ่งอาหารให้พวกเจ้าด้วย ถอยไปซะ พวกขัดลาภขัดความสุข”

ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ที่ผ่านไปมาก็คิดไม่ต่างจากสามีภรรยาคู่นี้เท่าไรนัก แทบทุกคนเห็นว่าชายชราและหญิงชราเป็นผู้ทำลายบรรยากษอันเป็นศิริมงคลอย่างไม่น่าอภัย ดังนั้น นอกจากพวกเขาจะไม่แบ่งอาหารและน้ำให้แม้แต่หยดเดียวแล้ว ยังพากันด่าว่าสองผัวเมียชราด้วยถ้อยคำรุนแรงอีกด้วย

“ไปให้พ้นนะ ไม่งั้นข้าจะไปเรียกทหารมาลากตัวพวกแกออกไป คอยดูเถอะ มหาเทพศิวะจะต้องสาปแช่งพวกแกอย่างสาสมแน่ โทษฐานรบกวนผู้ที่จะมาบูชาพระองค์”

บางคนก็กล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า

“หากข้านำน้ำบริสุทธิ์ไปบูชาพระศิวะแล้ว และน้ำในคนโทยังเหลืออยู่สักสองสามหยด ข้าก็จะเอามาให้พวกเจ้า”

เห็นได้ว่าไม่มีใครคิดจะใส่ใจคนชราทั้งสองอย่างจริงจังเลยสักคน

จนกระทั่งมีชายหนุ่มท่าทางมอมแมมคนหนึ่งเดินผ่านมา แต่เขาไม่มีเครื่องบูชามากมายดังเช่นคนอื่นๆ มีเพียงคนโทใส่น้ำอยู่ในมือเท่านั้น เมื่อเห็นชายหนุ่ม หญิงชราก็อ้อนวอนขอน้ำจากเขา

“ขออาหารและน้ำดื่มให้ข้าและสามีของข้าด้วยเถิด”

ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองคนชราผู้น่าเวทนาทั้งสอง

“ข้าไม่มีอาหารดีๆ ให้ตากับยายหรอก มีเพียงน้ำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นของดีที่สุดที่ข้าพอจะหามาบูชาแด่พระศิวะได้เท่านั้น” ชายหนุ่มพูด

“แค่น้ำก็ช่วยชีวิตข้าได้แล้ว แค่น้ำก็พอ” หญิงชราครางเสียงแหบแห้ง ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า

“อย่างนั้นตากับยายก็เอาไปแบ่งกันดื่มเถิด”

“เจ้าไม่เสียดายน้ำนี่รึ เจ้าไม่อยากนำไปถวายพระศิวะเพื่อขอพรจากพระองค์หรอกหรือ” ชายชราถามขึ้นบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงข้าก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร ข้าไม่เคยทำความดี มิหนำซ้ำยังเป็นหัวขโมยที่มักหยิบฉวยของของคนอื่นบ่อยๆ คนอย่างข้าถึงจะนำของดีไปถวายพระศิวะ พระองค์ก็ไม่ทรงเมตตาให้พรแก่ข้า มีแต่จะทรงสาปแช่งด้วยซ้ำ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกท่านแล้วเกิดความสงสาร อยากจะทำดีแก่คนอื่นบ้าง” ชายหนุ่มตอบพลางช่วยประคองสองสามีภรรยาให้ดื่มน้ำจากคนโทของเขา

ทันทีที่น้ำหยดสุดท้ายหมดจากคนโท ร่างชราของคนทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นพระศิวะมหาเทพ และเทพปาวตีดังเดิม ชายหนุ่มตกใจมากถึงกับผงะถอยหลัง

“อย่ากลัวไปเลย ข้าคือศิวะ และนี่คือปาวตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์” พระศิวะพูดกับชายหนุ่มซึ่งนั่งเบิกตาด้วยความงุนงง “ข้ากับปาวตีแปลงกายเป็นชายและหญิงชราเพื่อลองใจมนุษย์ผู้ดั้นด้นมาบูชาข้า และเจ้าก็ทำให้ข้าได้ประจักษ์ว่า ผู้ที่ทำให้ข้าพอใจและสมควรได้รับพรจากข้อ ต้องเป็นผู้มีความดีงามในจิตใจ มิใช่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาชั้นยอด ฝูงชนมากมายมาเพื่อบูชาข้า แต่มีเจ้าคนเดียวที่ได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อไรสิ้นอายุขัยของเจ้าแล้ว ข้าจะต้อนรับเจ้าสู่สรวงสวรรค์”

“แต่เจ้าต้องเลิกเป็นขโมยเสียก่อน” เทพปาวตีกล่าวอย่างอารมณ์ดี

ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างยิ่ง เขารีบพนมมือขึ้น แล้วกล่าวคำสัญญาต่อมหาเทพศิวะ และเทพปาวตีว่า

“ข้าพระองค์สัญญาว่าจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพรอันประเสริฐของพระองค์ ต่อไปนี้ข้าพระองค์จะเลิกเป็นขโมยอย่างเด็ดขาด และจะตั้งใจทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ”

บทสรุปของผู้แต่ง

เธอควรทำความดีตลอดเวลา ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ไม่ว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้าต่างก็ทรงรักและเมตตาคนดี ดังนั้นพระองค์จึงมักอวยพรให้คนดีประสบแต่สิ่งดีๆ อยู่เสมอ

สำหรับใครที่ไม่ใช่คนดี ก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อไรเธอถึงจะเป็นคนดี ถ้าเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมิใช่สิ่งที่ดี เธอก็หยุดเสีย แล้วให้โอกาสตัวเองเริ่มต้นใหม่ ในครั้งแรกๆ เธออาจเกิดความไม่ชอบใจ ทั้งๆ ที่เธอก็สู้อุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเองถึงขนาดนี้แล้ว แต่เหตุใดไม่มีสิ่งดีๆ ตอบแทนมาบ้าง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครชื่นชม แต่เธอลองคิดดูเถิด ก่อนที่เธอจะเริ่มทำความดี เธอได้ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นไปมากเท่าไร คนที่เจ็บปวดเพราะเธอ เขาย่อมไม่อยากถูกทำร้ายอีก ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธเธอเอาไว้ก่อน นี่เป็นเรื่องปกติที่ย่อมเกิดกับคนเพิ่งเริ่มทำความดีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เธอต้องคิดให้ได้ว่า ทำไมเธอถึงอยากทำความดี นั่นเพราะเธออยากอยู่อย่างสบายใจมิใช่หรือ ดังนั้น อย่ายอมแพ้ จงมีจุดยืนเป็นของตนเอง และเฝ้าทำความดีตลอดไป แม้วันนี้จะไม่มีใครมองเห็น แต่สักวันอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น วันที่ใครๆ ก็มีความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเธอ ถ้าวันนั้นมาถึง เธอจะรู้ว่า การทำความดีเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง

บางครั้ง ความดีก็ทำยาก แต่เพราะยากเราจึงต้องทำ เหมือนข้อสอบนั่นอย่างไร ถ้าข้อสอบง่ายเกินไป จะรู้ได้อย่างไรว่าคนเข้าสอบเก่งจริงๆ

ทีมงานต้องขอขอบคุณผู้แต่ง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ผลมะม่วงกับมงกุฎพระราชา

นิทานสอนใจ : ผลมะม่วงกับมงกุฎพระราชา


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองเขษมธานี มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าพรหมจักร เป็นผู้ปกครองดูแล และมีพระนางสร้อยระย้า เป็นพระราชินีคู่บารมีของพระองค์

วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมจักรทรงมีพระประสงค์จะเสด็จประพาสชมธรรมชาตินอกพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์กับพระนางสร้อยระย้า จึงมีรับสั่งให้จัดขบวนเสด็จอย่างเรียบง่าย แล้วเคลื่อนขบวนออกจากพระราชวังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของประชาชน จนเมื่อเข้าเขตป่าใหญ่ พระเจ้าพรหมจักรก็รับสั่งให้หยุดพักขบวน แล้วเสด็จชมความงานของพันธุ์ไม้ในบริเวณนั้นอย่างเบิกบานพระทัย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีชายยากจนข้นแค้นคนหนึ่งเดินเตร็ดเตร่มาใกล้ๆ กับบริเวณที่ขบวนเสด็จของพระเจ้าพรหมจักรหยุดพักอยู่ ชายยากจนคนนั้น กำลังหิวโหยมาก เขาไม่ได้กินอะไรมาแล้วสามวัน และใกล้จะหมดแรงเต็มที ไม่เพียงแค่นั้น ลูกๆ ของเขาที่รอคอยอยู่ที่บ้านก็กำลังจะอดตายเช่นเดียวกัน

ชายยากจนทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างหมดหวัง น้ำตาไหลรินเมื่อนึกถึงลูกๆ

“ท่านเทวดาอารักษ์ แม้ข้าจะมิใช่ผู้ที่ทำประโยชน์ให้ใครมากมาย แต่ข้าก็ไม่เคยเบียดเบียนใคร ข้ายากจนก็จริง แต่ข้าทำงานหนัก ไม่เคยลักขโมยใครเลยสักครั้ง แล้วเหตุใดจึงไม่เมตตาช่วยเหลือข้าบ้างเล่า” ชายยากจนตัดพ้อด้วยความน้อยใจ แต่แล้ว แววตาที่เคยหมองเศร้าก็เกิดประกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาเห็นมะม่วงผลงามชูช่ออยู่ไกลๆ

“โอ ถ้านี่คือความช่วยเหลือของท่านเทวดา ข้าก็ขอกราบขอบพระคุณท่านด้วย ดีจริงๆ ที่ต้นไม้ในบริเวณนี้ไม่มีเจ้าของ ถ้าเราได้มะม่วงผลงามเหล่านี้ไปฝากลูกๆ ที่บ้านสักคนละสองผล ลูกๆ ของเราคงจะดีใจมาก และรอดพ้นความตายไปได้”

คิดได้ดังนั้น ชายยากจนก็เก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมาหลายก้อน แล้วปาไปที่บรรดาผลมะม่วงสุกซึ่งเขาหมายตาเอาไว้ แต่ชายยากจนหารู้ไม่ว่า ก้อนหินก้อนหนึ่งนั้น กระเด็นไปโดนมงกุฎของพระเจ้าพรหมจักรเข้าด้วย

ฝ่ายพระเจ้าพรหมจักรซึ่งกำลังทอดพระเนตรกล้วยไม้ป่าอย่างสนพระทัยเมื่อมีก้อนหินลึกลับกระเด็นมาโดนมงกุฎของพระองค์เข้าอย่างแรงก็มิได้ทรงพิโรธแต่ประการใด กลับทรงวางเฉย และยกพระหัตถ์ขึ้นเพื่อขยับมงกุฎเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมาด้วยรู้สึกโกรธแค้นแทนเจ้าเหนือหัวของตนอย่างมาก จึงมีคำสั่งให้ทหารออกตามหาตัวผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวไปลงโทษให้ได้ เรื่องนี้กระทำกันอย่างลับๆ และพระเจ้าพรหมจักรก็ไม่ทรงทราบแต่ประการใด

แต่สุดท้าย ความก็ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าพรหมจักรจนได้ ซึ่งวันที่ทรงทราบเรื่องดังกล่าว ก็เป็นวันที่ชายยากจนจะต้องถูกลงโทษประหารชีวิตพอดี ดังนั้นพระองค์และพระนางสร้อยระย้าจึงรีบเสด็จไปที่แดนประหารเพื่อห้ามไม่ให้มีการลงโทษชายยากจน ทำให้ข้าราชบริพารพากันคัดค้านเสียงเซ็งแซ่

“แม้มันผู้นี้จะมิได้ตั้งใจปาก้อนหินใส่พระองค์ แต่ความประมาทของมันก็ทำร้ายพระองค์ไปแล้ว ชาวบ้านผู้ต่ำต้อยบังอาจทำร้ายพระราชาเป็นความผิดมหันต์ พวกกระหม่อมมิเห็นควรว่าพระองค์จะทรงให้อภัยในความผิดของมันเลยสักนิด” เสนาบดีผู้พิพากษาคดีกราบทูลพระเจ้าพรหมจักร

“มีลูกคนไหนไม่มีความหมายกับพ่อของเขาบ้าง” พระเจ้าพรหมจักรตรัส “แม้แต่ลูกที่เลวที่สุด คนเป็นพ่อก็ยังตัดไม่ได้ พวกท่านเองก็รักและเทิดทูนเรา เพราะเรามีความรักให้กับพวกท่านและประชาชน เสมือนความรักที่พ่อมีให้แก่ลูกมิใช่หรือ ดังนั้น จะไม่มีชาวบ้านคนไหนต่ำต้อยเกินไปจนหาความเมตตาจากเราไม่ได้หรอก” แล้วพระเจ้าพรหมจักรก็หันไปทางชายยากจนซึ่งหมอบอยู่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา แล้วตรัสถามว่า

“เจ้าได้มะม่วงไปกี่ผล”

“ข้าพระองค์ได้มะม่วงไปทั้งหมด 10 ผลพระเจ้าค่ะ” ชายยากจนตอบเสียงสั่น

“เจ้าเอามะม่วงไปทำอะไรมากมายขนาดนั้น” พระเจ้าพรหมจักรตรัสถามอีก

“ข้าพระองค์เป็นคนยากจน แต่มีลูกมากถึงห้าคน และลูกๆ ของข้าพระองค์ก็อดอาหารมาแล้วหลายวัน ดังนั้นเมื่อเห็นมะม่วงผลงาม ข้าพระองค์ก็นึกถึงลูกๆ จึงเก็บไปให้พวกเขาคนละสองผลพระเจ้าค่ะ” ชายยากจนตอบอย่างตื่นกลัว

พระเจ้าพรหมจักรฟังปัญหาของชายยากจนแล้วรู้สึกสะท้อนพระทัย หลังจากทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงทรงหันไปตรัสถามเสนาบดีผู้พิพากษาคดีว่า “คนที่กินแค่มะม่วงจะหายหิวได้อย่างไรกัน”

เสนาบดีผู้พิพากษาคดีตอบว่า “พอจะหายหิวได้บ้างพระเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็หนึ่งวัน”

พระเจ้าพรหมจักรจึงตรัสต่อว่า “การที่เขาได้ขว้างก้อนหินไปที่ต้นมะม่วงเพื่อเอามะม่วงมารับประทานช่วยให้เขาหายหิวได้หนึ่งวัน แต่หินก้อนนั้นกลับกระเด็นมาโดนศีรษะของเรา ถ้าอย่างนั้นจงละเว้นโทษแก่เขา แล้วให้เสนาบดีฝ่ายพระคลังเบิกอาหารมามอบให้เขาไปตลอดชีวิต”

เหล่าข้าราชบริพารเมื่อได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างก็อุทานเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ

“พระอาญามิพ้นเกล้าฯ ชายคนนี้เป็นผู้ทำร้ายพระองค์ แล้วเหตุใดพระองค์จึงพระราชทานอาหารแก่เขามากมายขนาดนั้นพระเจ้าค่ะ” เสนาบดีผู้พิพากษาคดีทูลถามอย่างสงสัย

พระเจ้าพรหมจักรไม่ตรัสตอบ ทรงหันไปตรัสถามพระนางสร้อยระย้าแทนว่า

“พระนางผู้เป็นยอดดวงใจเรา ระหว่างคนกับต้นไม้ เจ้าว่าสิ่งใดประเสริฐกว่ากัน”

พระนางสร้อยระย้าทูลตอบทันทีว่า “ต้องเป็นมนุษย์อยู่แล้วเพคะ เพราะมนุษย์มีสติปัญญา แต่ต้นไม้ไม่มี”

พระเจ้าพรหมจักรจึงตรัสถามต่อว่า “แล้วระหว่างเรากับมนุษย์ทั่วไปเล่า”

“พระองค์ทรงเป็นเจ้าเหนือหัว เป็นผู้ปกครองดูแลพสกนิกร ดังนั้นพระองค์ย่อมทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย และทรงคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใดเพคะ” พระนางสร้อยระย้าทูลตอบอีกครั้ง

เมื่อทุกคนได้ฟังคำตอบของพระนางสร้อยระย้าก็เริ่มคิดได้ พระเจ้าพรหมจักรปล่อยให้แต่ละคนใช้ความคิดของตนเองตรึกตรองดูก่อนครู่หนึ่ง จึงค่อยทรงอธิบายให้ข้าราชบริพารทุกคนเข้าใจตรงกันว่า

“ชาวบ้านผู้น่าสงสารคนนี้ขว้างก้อนหินเพื่อเอามะม่วงไปให้ลูกๆ ของเขารับประทาน และท่านเสนาบดีก็บอกเราว่า มะม่วงมีค่าทำให้คนหายหิวได้หนึ่งวัน แต่เมื่อหินก้อนนั้นบังเอิญมาโดนเราซึ่งเป็นมนุษย์ และเป็นพระราชาด้วยแล้ว สิ่งที่ชายผู้นี้ได้รับจึงน่าจะต้องมีค่ามากกว่ามะม่วงที่ทำให้เขาหายหิวได้เพียงหนึ่งวันมิใช่หรือ ดังนั้นเราจึงมอบอาหารที่ทำให้เขาหายหิวได้ไปตลอดชีวิตอย่างไรเล่า”

เมื่อข้าราชบริพารได้ฟังเหตุผลดังกล่าว ก็ไม่มีใครทูลคัดค้านพระองค์อีก ส่วนชายยากจนเมื่อพ้นโทษไปแล้ว ก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ชาวบ้านคนอื่นๆ ฟังจนทั่ว ชาวบ้านทุกคนจึงยิ่งรักและเทิดทูนพระเจ้าพรหมจักรมากขึ้น เพราะความเมตตาที่ทรงมีต่อประชาชนของพระองค์นั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

การที่เราคนใดคนหนึ่งจะมีชีวิต มีลมหายใจ มีความนึกคิด มีความรู้สึกได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องแลกมาด้วยน้ำตา โลหิต และความเจ็บปวดจากแม่ของเรา ดังนั้น ชีวิตเราทุกคนจึงมีคุณค่าเกินกว่าจะประเมินหาความมากน้อยได้

แต่ในทุกวันนี้ หลายคนกลับมองข้ามเรื่องดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย คนบางคนทำตัวไร้ค่าเพราะคิดว่าคงไม่มีใครเห็นคุณค่าของเขา ทั้งๆ ที่ตัวเราเองก็ไม่เคยมองเห็นคุณค่าในตนเองแม้แต่น้อย แล้วอย่างนี้จะมีใครเห็นคุณค่าของเขาได้

ขณะที่บางคน ก็สำคัญตัวผิด คิดว่าตนเองสำคัญและมีคุณค่าเพียงผู้เดียว ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีความหมาย คนที่คิดแบบนี้ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่คนมีคุณค่าอะไร เพราะการสำคัญตัวผิดมักทำให้คน ๆ นั้นเห่อเหิม ชอบดูถูกคนอื่น ไม่เคยเรียนรู้ที่จะให้เกียรติใคร แต่ในขณะเดียวกันคนประเภทนี้ก็น่าสงสาร เพราะเขาจะไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากตัวเอง และก็ไม่มีใครสักคนยอมไว้ใจเขาจริง ๆ ถ้าเธอเจอคนแบบนี้ ลองถามเขาดูเถิดว่า เขาจะยังสำคัญกว่าใครๆ อีกไหม หากต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงคนเดียว

ดังนั้นเมื่ออุตส่าห์ได้เกิดมาทั้งทีแล้ว ก็จงทำชีวิตของเธอให้มีสาระ ปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีการศึกษา เรียนรู้ที่จะใช้ความดีงามหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองและเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้หนึ่งชีวิตของเธอมีความหมายต่อชีวิตของใคร ๆ หลายคน ถ้าเธอทำได้เช่นนี้ แม้คนบางคนจะมองไม่เห็นคุณค่าของเธอก็ไม่เป็นไร เพราะเธอย่อมรู้ดีว่า ตัวเองมีคุณค่ามากมายแค่ไหน นี่ต่างหาก ที่สำคัญ

ทีมงานต้องขอขอบคุณ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และผู้ใหญ่ใจดีจากสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ด้วยค่ะที่กรุณาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ สอนใจเหล่านี้ ติดตามนิทานดีๆ ตอนต่อไปกันนะคะ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : คำอ้อนวอนของโกวิน

นิทานสอนใจ : คำอ้อนวอนของโกวิน


โกวิน เป็นพ่อค้าเร่คนหนึ่ง ทุกๆ วันโกวินจะนำสินค้าเบ็ดเตล็ดบรรทุกใส่เกวียนเทียมวัว แล้วนำออกไปเร่ขายตามหมู่บ้านต่างๆ ตั้งแต่เช้ามืด จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินจึงค่อยขับเกวียนกลับบ้าน ความขยันทำให้โกวินมีชีวิตที่เป็นสุข ไม่ขัดสนอดอยาก แม้เขาจะไม่ใช่คนมั่งมีมาแต่กำเนิดก็ตาม

นอกจากขยันทำงานแล้ว โกวินยังชอบทำบุญและนับถือหนุมานเป็นดั่งเทพเจ้าของชีวิต

เย็นวันหนึ่งท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ โกวินจำต้องขับเกวียนสินค้ากลับบ้านก่อนเวลา ระหว่างทางเขาเห็นฤๅษี ตนหนึ่งกำลังสอนสั่งธรรมะแก่ชาวบ้านอยู่ในศาลากลางตลาด จึงเกิดความสนใจอยากจะเข้าไปนั่งฟังบ้าง กอปรกับฝนตกหนักขึ้น โกวินจึงตัดสินใจหยุดเกวียนและเข้าไปนั่งฟังธรรมะจากฤาษีร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ

ในตอนหนึ่ง ฤๅษีสอนว่า “ครั้นเธอได้กระทำทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ยังต้องพบเจอสิ่งที่ทำไม่ไหว ให้เธอภาวนาถึงพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอบูชานับถือ แล้วเธอจะได้รับการช่วยเหลือ”

โกวินได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า “ดีจริงที่เรานับถือหนุมาน อย่างนี้เมื่อเราเดือดร้อน เราก็จะภาวนาถึงท่านเสมอ ท่านจะได้มาช่วยเรา”

ไม่นานนัก ฝนก็หยุดตก แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ฟังฤๅษีตนนี้ต่อ แต่โกวินก็ต้องรีบขับเกวียนกลับบ้านทันที เพราะบ้านของเขาอยู่อีกไกล

ขณะขับเกวียนไปได้เพียงระยะหนึ่ง เกวียนของโกวินก็พบอุปสรรคขับต่อไปไม่ได้ โกวินรีบกระโดดลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าล้อเกวียนทั้งสองล้อตกลงไปในหล่มโคลนที่เริ่มแห้งและจับตัวกันเหนียวข้น

“แย่ล่ะสิ ล้อติดหล่มแบบนี้จะทำอย่างไรได้ นี่ก็เย็นมากแล้ว ตามใครมาช่วยก็คงไม่ทันหรือเราจะต้องนอนในป่าเสียแล้ว แต่หากมีสัตว์ป่ามาทำร้ายเรากับวัวของเราล่ะจะทำอย่างไร” โกวินคิดอย่างกังวล แต่แล้วเขาก็นึกถึงคำสอนของฤาษีตนนั้นได้

“จริงด้วยสิ เมื่อครู่ฤาษีบอกว่าถ้าเจอกับสิ่งที่ทำไม่ไหว ก็ให้ภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาช่วยเรา ใช่แล้ว เราต้องภาวนาถึงท่านหนุมาน”

คิดได้ดังนั้น โกวินก็หลับตาภาวนาถึงหนุมานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนโกวินเริ่มเกิดโทสะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกหลอกเข้าเสียแล้ว โกวินยิ่งเจ็บแค้น เขาวิ่งกลับไปที่ศาลากลางตลาดเพื่อหาฤาษีตนเดิมอีกครั้ง และเมื่อไปถึง โกวินก็พบฤาษีนั่งอยู่ในศาลาดังเดิม แต่ไม่มีชาวบ้านมาห้อมล้อมซักถามธรรมะเหมือนในตอนแรก

ก่อนที่จะได้พูดอะไร ฤๅษีก็ทักเขาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “มาแล้วหรือ อาจารย์กำลังรอเธออยู่เลย”

โกวินมองฤๅษีอย่างเคลือบแคลง “ท่านพูดเหมือนรู้ว่าข้าจะกลับมา”

“แน่นอนสิ อาจารย์รู้ว่าเธอต้องกลับมา ฤๅษีตอบพร้อมรอยยิ้ม”

“อ้อ ใช่สิ ท่านรู้ว่าข้าต้องกลับมาแน่ ต้องมีใครสักคนที่ฟังคำสอนผิดๆ แล้วย้อนกลับมาตำหนิท่านสักคนอยู่แล้ว” โกวินว่าอย่างมีอารมณ์

“ความโกรธมีแต่จะเพิ่มความเขลา ดังนั้น ขอให้เธอจงสงบอารมณ์ลงสักหน่อย แล้วบอกสิ่งที่อาจารย์บังอาจปดเธอมาให้อาจารย์ทราบด้วยเถิด” ฤๅษีกล่าวอย่างสุภาพ และคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นเดิม

“ท่านบอกข้าและทุกคนที่มาฟังท่านว่า ถ้ามีสิ่งใดทำไม่ได้ ก็ให้ภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เมื่อสักครู่ ข้าขับเกวียนไปติดหล่มโคลนอยู่ในป่า ข้านึกเชื่อคำสอนของท่าน จึงกล่าวคำภาวนา และสวดมนต์ขอความช่วยเหลือจากท่านหนุมานที่ข้านับถืออยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เห็นท่านหนุมานจะมาช่วยข้าสักที อย่างนี้แสดงว่าคำสอนของท่านเป็นคำปดทั้งสิ้นใช่หรือไม่” โกวินกล่าวเสียงกระด้าง

ฤๅษียิ้มให้โกวินอย่างใจดี พร้อมอธิบายว่า “อาจารย์พูดเช่นนั้นจริง และอาจารย์ก็มิได้ปดเธอ ถ้าเธอจะทบทวนความทรงจำของเธอให้ดีๆ เธอจะนึกออกว่า อาจารย์ไม่ได้สอนให้เธอสวดมนต์ภาวนาถึงพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเธอแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจารย์สอนให้เธอพยายามอย่างหนักเสียก่อน จึงจะหาญร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ เกวียนของเธอติดหล่มโคลน เธอใช้ความพยายามอะไรบ้างที่จะทำให้เกวียนของเธอหลุดพ้นจากหล่มโคลนนั้น”

โกวินหน้าเผือดลงเมื่อได้ฟังคำของฤๅษีเขายอมรับเสียงอ่อยๆ ว่าไม่ได้พยายามอะไรเลยนอกจากสวดมนต์ภาวนาขอความช่วยเหลืออย่างเดียว

“จงกลับไปยังเกวียนของเธอ ปัญหาของเธอแก้ไม่ยากดอก อาจารย์เชื่อว่าเธอต้องทำได้” ฤๅษีกล่าวพร้อมรอยยิ้มอีกเช่นเคย

โกวินกราบลาฤๅษีมาด้วยความเลื่อมใส หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่เกวียนของตน โดยนึกไปตลอดทางว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และแล้วเขาก็คิดออก

“จริงสิ ถ้าเราออกแรงหน่อยโดยใช้บ่าของเราดันล้อเกวียนขึ้น แล้วตีวัวให้เร่งออกแรงอีกนิด บ่าของเราและแรงของวัวก็อาจช่วยให้ล้อเกวียนหลุดพ้นจากหล่มได้”

โกวินดีใจมาก เขารีบทำตามที่คิดไว้ทันที ในระหว่างที่ออกแรงสุดตัวเพื่อใช้บ่าดันล้อเกวียนนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะอ้อนวอนขอความเมตตาจากหนุมานเพิ่มอีกด้วย แต่ครั้งนี้โกวินมิได้ขอร้องให้หนุมานช่วยยกล้อเกวียนเหมือนครั้งก่อน แต่เขาสวดมนต์ขอให้หนุมานอวยชัยให้เขายกล้อเกวียนสำเร็จได้ด้วยตัวของเขาเอง

ทันใดนั้น โกวินก็รู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งช่วยเขายกล้อเกวียนขึ้นอีกแรง เขารู้สึกว่าบ่าของตนไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมากเหมือนในตอนแรก โกวินจึงอาศัยจังหวะนี้ใช้แส้ตีวัวให้ออกแรงมากขึ้น จนฉุดเกวียนขึ้นมาจากหล่มโคลนได้เป็นผลสำเร็จ

“ขอโทษที่ต้องตีเจ้าเสียแรง แต่ครั้งนี้เราต่างต้องช่วยกันและกัน แล้วข้าจะพาเจ้าไปกินหญ้าเป็นการตอบแทนนะเพื่อน” โกวินพูดกับวัวของเขาอย่างอ่อนโยน และมันก็ส่งเสียงครางเบาๆ เหมือนเป็นคำตอบรับ

จากนั้นโกวินก็ขับเกวียนกลับบ้าน ตลอดทางเขาได้สวดมนต์และร้องเพลงสรรเสริญหนุมานไปด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณที่หนุมานเมตตาเขา ถึงแม้โกวินจะไม่เห็นหนุมาน แต่เขาเชื่อว่าหนุมานมาช่วยเขาจริงๆ เพราะเขาได้พยายามเต็มที่แล้วตามคำสั่งสอนของฤๅษีนั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ชีวิตคนเราเกิดมาแล้วต้องประสบกับปัญหามากมายหลายอย่าง หากมัวแต่รอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้วชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ใครจะอยู่ช่วยเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นไม่ว่ายากหรือง่าย เราต้องพยายามหาทางแก้ปัญหานั้นด้วยตนเองให้ได้เสียก่อน แต่หากพยายามอย่างเต็มที่แล้วยังพ้นจากปัญหาไม่ได้ จึงค่อยมองหาความช่วยเหลือจากมิตรแท้ใกล้ตัว ซึ่งย่อมต้องช่วยเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่ซ้ำเติมทำร้าย

อย่าย่อท้อเมื่ออุปสรรคเข้ามาบ่อนทำลายชีวิตเธอ อุปสรรคเหล่านั้นคือครูคนสำคัญของชีวิต หากต้องเรียนรู้ชีวิตด้วยปัญหาและความผิดพลาด ก็จงเรียนรู้ให้หนัก และผ่านบทเรียนนั้นไปให้ได้ เพราะถ้าทำได้ คงไม่มีสิ่งใดที่เธอจะผ่านไปไม่ได้อีกแล้วในอนาคต


ทีมงานต้องขอขอบคุณ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และผู้ใหญ่ใจดีจากสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ด้วยค่ะที่กรุณาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ สอนใจเหล่านี้ ติดตามนิทานดีๆ ตอนต่อไปกันนะคะ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : กระต่ายพี่น้องจอมเกี่ยงงาน

นิทานสอนใจ : กระต่ายพี่น้องจอมเกี่ยงงาน


ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีครอบครัวกระต่ายครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับธารน้ำเล็กๆ กระต่ายครอบครัวนี้นับได้ว่าเป็นผู้มีความมสำคัญกับป่าไม้แห่งนี้มาก เพราะกระต่ายผู้เป็นพ่อ มีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษาด้านสุขภาพให้แก่สิงโตเจ้าป่า ส่วนกระต่ายผู้เป็นแม่ก็ต้องไปประชุมหารือกับกลุ่มแม่บ้านสัตว์ป่าเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ทั้งพ่อและแม่กระต่ายจึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน และจำต้องทิ้งให้ลูกน้อยทั้งสอง คือกระต่ายพี่สาวกับกระต่ายน้องชาย เล่นกันอยู่ในบ้านโพรงกระต่ายตามลำพังสองตัว

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกระต่ายสังเกตเห็นว่าบ้านโพรงกระต่ายของตนไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าที่ควร จึงยกเรื่องนี้มาพูดคุยกับแม่กระต่ายก่อนเข้านอนว่า

“เธอว่าไหมจ๊ะแม่กระต่าย เดี๋ยวนี้บ้านของเราไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อนเลยนะ”

“โอ้” แม่กระต่ายร้องอย่างละอายใจ “เป็นความบกพร่องของฉันเองจ้ะ ช่วงนี้ฉันงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแลบ้านโพรงกระต่ายของเราให้สวยงามดังเดิม ฉันสัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเองจ้ะ”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย แม่กระต่ายที่รัก เพราะฉันไม่ได้คิดจะติเตียนเธอแต่อย่างใด ความจริงงานบ้านเป็นงานที่หนักมาก ฉันเองต่างหากที่ต้องละอายแก่ใจ เพราะไม่เคยได้ช่วยเธอทำงานบ้านเลย แล้วตอนนี้เธอก็งานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน จะเอาแรงที่ไหนมาดูแลบ้านช่องได้เหมือนแต่ก่อนเล่า” พ่อกระต่ายปลอบขวัญภรรยาสุดที่รัก

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม่กระต่าย การที่เธองานยุ่งมากอย่างนี้ทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ แลดูลูกๆ ของพวกเราสิ เขาทั้งสองเติบโตมากแล้ว แต่เรายังไม่เคยสอนให้ลูกเรารู้จักทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างเลย ฉันว่าน่าจะเป็นการดีนะ หากเราจะสอนให้ลูก ๆ ทำงาน โดยเริ่มจากงานบ้านของเราเอง” พ่อกระต่ายเสนอความเห็น

“เป็นความคิดที่วิเศษมาก แต่ลูกๆ ของเราไม่เคยทำงาน เขาจะทำได้ดีหรือจ๊ะ”

“เขาคงทำได้ไม่ดีนักหรอก และคงจะสร้างความเหนื่อยหน่ายให้แก่เรามากทีเดียวในตอนแรก แต่นั่นยิ่งทำให้เราต้องมอบหมายงานและสอนการทำงานที่ถูกต้องแก่เขา หากไม่เริ่มเสียแต่ตอนนี้ เขาก็จะทำอะไรไม่เป็นเลยเมื่อโตขึ้น ใครจะอยากได้คนทำอะไรไม่เป็นไปร่วมสังคมด้วยล่ะ จริงไหม” พ่อกระต่ายกล่าว

เช้าวันรุ่งขึ้น แม่กระต่ายจึงเรียกลูกทั้งสองมาพูดคุยในเรื่องดังกล่าว กระต่ายพี่น้องไม่เคยทำงานบ้านทั้งคู่ และรู้ว่าเป็นงานที่เหนื่อยมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม กระต่ายทั้งคู่ก็รักและเชื่อฟังพ่อแม่กระต่าย จึงคิดว่าถ้าพวกตนทำงานบ้านก็จะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของพ่อกับแม่ได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงรับปากแม่กระต่ายว่าจะช่วยทำงานบ้านทุกอย่างแทนแม่กระต่ายเอง

แต่แม่กระต่ายไม่ได้ใจร้ายกับลูกๆ ขนาดนั้น เธอคิดว่าจะค่อยๆ มอบหมายงานให้ลูกรับผิดชอบไปทีละอย่างก่อน เพื่อดูลักษณะการทำงานของลูกๆ และชี้แนะจุดบกพร่องให้แก้ไขไปทีละจุด ด้วยเหตุนี้ งานชิ้นแรกที่แม่กระต่ายมอบให้กระต่ายพี่น้องทำก็คือ งานล้างจานและรักษาความสะอาดในห้องครัว

กระต่ายพี่น้องช่วยทำงานที่แม่กระต่ายมอบหมายได้สามวัน ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าตนเองทำงานมากกว่าอีกคนหนึ่ง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง

สุดท้ายกระต่ายผู้พี่ก็เอ่ยแนวทางแก้ปัญหาว่า ให้จดรายชื่องานทั้งหมด แล้วแบ่งกันทำให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน กระต่ายน้องชายก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงจดรายชื่องานที่ต้องทำทั้งหมดแล้วตกลงกันว่าใครจะทำสิ่งใด

กระต่ายพี่สาวรับงานจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ส่วนกระต่ายน้องชายบอกว่าจะเก็บกวาดโต๊ะอาหารเอง เมื่อกระต่ายพี่สาวล้างจาน น้องชายก็รับหน้าที่เช็ดจานและเก็บเข้าตู้ นอกจากนั้นยังมีงานจุกจิกมากมายในครัวที่ทั้งสองพยายามแบ่งกันทำ

การแบ่งงานกันทำเช่นนี้ มองผิวเผินแล้วน่าจะเป็นไปด้วยดี แต่พอทำเข้าจริง ๆ กลับไม่สำเร็จตามเวลาที่ควรจะเป็น เพราะกระต่ายน้อยทั้งสองไม่ได้มุ่งมั่นในงานของตน เอาแต่จับตาดูอีกฝ่ายหนึ่งว่ากำลังทำอะไร และทำเต็มที่ตามหน้าที่ของตนเองหรือไม่

“แม่จ๋า” กระต่ายพี่สาววิ่งโร่เข้าไปฟ้องแม่กระต่ายในวันหนึ่ง “มีจานอยู่บนโต๊ะอีกใบหนึ่ง แต่น้องกระต่ายจอมเกียจคร้านไม่ยอมหยิบไปวางที่อ่างล้างจาน อย่างนี้ลูกก็ล้างจานไม่ได้สักทีสิจ๊ะ”

“ลูกก็หยิบไปไว้เองสิจ๊ะ” แม่กระต่ายกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ

“โธ่ แม่จ๋า นั่นไม่ใช่งานของลูกสักหน่อย มันเป็นงานของน้องต่างหาก เราแบ่งหน้าที่กันแล้ว ก็ต้องทำตามที่ตกลงกันไว้สิ”

แล้วชามใบนั้นก็ตั้งอยู่ที่เดิมรอกระต่ายน้องชายมาหยิบมันไป ฝ่ายกระต่ายพี่สาวก็รอจานจากน้องชายอยู่อย่างนั้น กว่าจะได้ล้างจานก็ปรากฏว่า จานของหลายๆ มื้อสุมรวมกันเป็นกองพะเนิน ซึ่งทำให้ต้องล้างจานเป็นจำนวนมากและใช้เวลามากขึ้นด้วย ดังนั้น น้องชายผู้มีหน้าที่เช็ดถ้วยชามก็เลยต้องนั่งรอให้พี่สาวล้างจานให้เสร็จก่อน จึงจะเช็ดจานชามและนำเข้าเก็บในตู้ได้ ซึ่งทำให้กระต่ายน้องชายต้องนั่งเช็ดจนดึกดื่นอยู่บ่อยๆ

นอกจากพี่สาวจะเกี่ยงงานแล้ว กระต่ายน้องชายก็เกี่ยงงานเช่นกัน หากเขากำลังกวาดพื้นครัว และเห็นเศษขยะตกอยู่ในอ่างล้างจาน เขาก็จะกวาดสายตาผ่านไปเหมือนมองไม่เห็น เพราะอ่างล้างจานเป็นความรับผิดชอบของกระต่ายพี่สาว ขยะที่ตกอยู่จึงทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้พ่อกระต่ายต้องมาซ่อมให้อยู่หลายครั้ง

บรรยากาศในบ้านเริ่มเศร้าหมอง เพราะมีแต่เสียงร้องเกี่ยงงานกันจากลูกทั้งสอง พ่อแม่กระต่ายเฝ้ามองพฤติกรรมของลูกอยู่พักหนึ่ง จนเห็นว่าไม่มีอะไรพัฒนาไปในทางที่ดี พ่อกระต่ายจึงส่งสัญญาณให้แม่กระต่ายรู้ว่า ถึงเวลาที่ควรจะจัดการอะไรสักอย่างได้แล้ว

วันหนึ่ง แม่กระต่ายจึงเรียกลูกกระต่ายเข้ามาพูดคุยในเรื่องนี้

“การที่ลูกทั้งสองแบ่งงานกันทำเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่วิธีที่ลูกกำลังทำอยู่ตอนนี้ เพราะเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เราต้องรักและช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แบ่งงานกันทำโดยไม่เหลียวแลคนอื่น หากลูกยังทำเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าเราคงต้องจ้างคุณทนายความมาช่วยตัดสินว่าใครจะทำงาน และต้องทำเมื่อไร จะลงโทษเขาอย่างถ้าเขาทำงานบกพร่อง นั่นดูเหมือนว่าเรามีกฎหมายที่ปราศจากความรู้สึก ซึ่งถ้าเป็นสังคมภายนอก เราอาจต้องทำเช่นนั้น แต่นี่คือบ้านของเรา ลูกคือลูกของพ่อแม่และลูกสองคนเป็นพี่น้องกัน เราทุกคนช่วยกันทำงานเพราะเรารักกัน ไม่ดียิ่งกว่าหรือ”

“ถ้าเช่นนั้น ลูกมิต้องทำทุกอย่างหมดเลยหรือ ถ้าลูกคิดเช่นนั้น แต่พี่กระต่ายไม่คิดเช่นลูก แล้วไม่หยิบจับอะไรเลย ลูกก็ต้องทำทุกอย่างคนเดียวสิจ๊ะแม่” น้องชายคร่ำครวญ

“ไม่หรอกลูก ลูกไม่ต้องทำงานหมดทุกอย่าง พี่กระต่ายจะช่วยลูกทำงานทุกอย่าง เพราะพี่รักลูก และไม่อยากให้ลูกทำงานเหนื่อยเกินไป ลูกเองก็จะช่วยพี่เขาเช่นกัน จะไม่มีใครคิดว่า ใครต้องทำงานมากกว่าใคร แต่ลูกต้องคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หรือน้อง ไม่ให้เหนื่อยเกินไปมากที่สุด ถ้าลูกๆ เปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติได้อย่างนี้ งานของลูกก็จะเสร็จเรียบร้อยดีทั้งสองคน”

กระต่ายพี่น้องมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วกระต่ายพี่สาวก็พูดขึ้นว่า

“ก็ได้จ้ะแม่ ลูกจะลองทำงานโดยคิดแบบนั้นดูก็ได้ เพราะลูกก็ไม่อยากทะเลาะกับน้องนักหรอก”

แม่หันไปหาน้องชาย

“ลูกก็เต็มใจที่จะลองดู” กระต่ายน้องชายตอบ

“ดีแล้วลูก” แม่กระต่ายกล่าวพลางโอบกอดลูกทั้งสอง “เราจะปฏิบัติตามวิธีใหม่นี้ คือให้เราช่วยกันทำงานเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ความรักนั้นจำเป็นสำหรับครอบครัวเรามากที่สุด จำไว้เถิดลูกรัก”

ลูกกระต่ายพากันหัวเราะ เป็นเรื่องดีทีเดียวสำหรับครอบครัวกระต่ายที่ได้ยินเด็กทั้งสองหัวเราะอีก

หลังจากนั้นกระต่ายพี่น้องก็ปฏิบัติตามความคิดของแม่กระต่าย และรู้สึกว่าวิธีนี้ช่วยให้พวกเขาทำงานได้สำเร็จเรียบร้อย ทั้งยังรักษาความสุขในครอบครัวไว้ได้อีกด้วย

บทสรุปของผู้แต่ง

เธอทั้งหลาย ว่ากันถึงเรื่องการทำงานแล้ว การแบ่งงานกันทำเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่หากทำเพียงความรับผิดชอบของตน โดยเกี่ยงที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ก็อย่าทำเสียเลยจะดีกว่า เพราะการทำงานแบบนี้ไม่ช่วยให้เธอเรียนรู้อะไรมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เธอกลายเป็นคนใจคอคับแคบมากเกินไป

ลองคิดดูสิว่า การจะสร้างสรรค์ผลงานชั้นดีสักชิ้นหนึ่งนั้น จะต้องเกิดจากองค์ประกอบชั้นดีหลายๆ ประการมาอยู่ร่วมกัน หากเธอมุ่งมั่นในงานของตนเองโดยไม่สนใจช่วยเหลือคนอื่นเลย ถึงเธอจะทำงานส่วนของเธอได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าส่วนอื่นๆ ใช้ไม่ได้ ภาพรวมของงานชิ้นนั้นจะออกมาได้ดีได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เธอจะไม่เสียแรงไปเปล่าๆ หรือ

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า เธอต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยคนอื่นตลอดเวลา แต่หมายความว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ส่วนของตนเองให้ดีที่สุด จนเมื่อเธอพร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นแล้ว เธอจึงค่อยเข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่เขาในส่วนที่เขาต้องการจริงๆ ที่สำคัญคือเธอต้องช่วยเพราะมีใจรักที่จะช่วย มิใช่ช่วยเพราะกลัวคนอื่นกล่าวหาว่าเธอไม่ช่วย หากเธอพยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีและมีใจรักที่จะช่วยผู้อื่นเช่นนี้ งานของเธอก็จะประสบความสำเร็จตามความตั้งใจได้ไม่ยาก

yengo หรือ buzzcity