นิทานสอนใจ : คำอ้อนวอนของโกวิน
โกวิน เป็นพ่อค้าเร่คนหนึ่ง ทุกๆ วันโกวินจะนำสินค้าเบ็ดเตล็ดบรรทุกใส่เกวียนเทียมวัว แล้วนำออกไปเร่ขายตามหมู่บ้านต่างๆ ตั้งแต่เช้ามืด จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินจึงค่อยขับเกวียนกลับบ้าน ความขยันทำให้โกวินมีชีวิตที่เป็นสุข ไม่ขัดสนอดอยาก แม้เขาจะไม่ใช่คนมั่งมีมาแต่กำเนิดก็ตาม
นอกจากขยันทำงานแล้ว โกวินยังชอบทำบุญและนับถือหนุมานเป็นดั่งเทพเจ้าของชีวิต
เย็นวันหนึ่งท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ โกวินจำต้องขับเกวียนสินค้ากลับบ้านก่อนเวลา ระหว่างทางเขาเห็นฤๅษี ตนหนึ่งกำลังสอนสั่งธรรมะแก่ชาวบ้านอยู่ในศาลากลางตลาด จึงเกิดความสนใจอยากจะเข้าไปนั่งฟังบ้าง กอปรกับฝนตกหนักขึ้น โกวินจึงตัดสินใจหยุดเกวียนและเข้าไปนั่งฟังธรรมะจากฤาษีร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ
ในตอนหนึ่ง ฤๅษีสอนว่า “ครั้นเธอได้กระทำทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ยังต้องพบเจอสิ่งที่ทำไม่ไหว ให้เธอภาวนาถึงพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอบูชานับถือ แล้วเธอจะได้รับการช่วยเหลือ”
โกวินได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า “ดีจริงที่เรานับถือหนุมาน อย่างนี้เมื่อเราเดือดร้อน เราก็จะภาวนาถึงท่านเสมอ ท่านจะได้มาช่วยเรา”
ไม่นานนัก ฝนก็หยุดตก แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ฟังฤๅษีตนนี้ต่อ แต่โกวินก็ต้องรีบขับเกวียนกลับบ้านทันที เพราะบ้านของเขาอยู่อีกไกล
ขณะขับเกวียนไปได้เพียงระยะหนึ่ง เกวียนของโกวินก็พบอุปสรรคขับต่อไปไม่ได้ โกวินรีบกระโดดลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าล้อเกวียนทั้งสองล้อตกลงไปในหล่มโคลนที่เริ่มแห้งและจับตัวกันเหนียวข้น
“แย่ล่ะสิ ล้อติดหล่มแบบนี้จะทำอย่างไรได้ นี่ก็เย็นมากแล้ว ตามใครมาช่วยก็คงไม่ทันหรือเราจะต้องนอนในป่าเสียแล้ว แต่หากมีสัตว์ป่ามาทำร้ายเรากับวัวของเราล่ะจะทำอย่างไร” โกวินคิดอย่างกังวล แต่แล้วเขาก็นึกถึงคำสอนของฤาษีตนนั้นได้
“จริงด้วยสิ เมื่อครู่ฤาษีบอกว่าถ้าเจอกับสิ่งที่ทำไม่ไหว ก็ให้ภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาช่วยเรา ใช่แล้ว เราต้องภาวนาถึงท่านหนุมาน”
คิดได้ดังนั้น โกวินก็หลับตาภาวนาถึงหนุมานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนโกวินเริ่มเกิดโทสะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกหลอกเข้าเสียแล้ว โกวินยิ่งเจ็บแค้น เขาวิ่งกลับไปที่ศาลากลางตลาดเพื่อหาฤาษีตนเดิมอีกครั้ง และเมื่อไปถึง โกวินก็พบฤาษีนั่งอยู่ในศาลาดังเดิม แต่ไม่มีชาวบ้านมาห้อมล้อมซักถามธรรมะเหมือนในตอนแรก
ก่อนที่จะได้พูดอะไร ฤๅษีก็ทักเขาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “มาแล้วหรือ อาจารย์กำลังรอเธออยู่เลย”
โกวินมองฤๅษีอย่างเคลือบแคลง “ท่านพูดเหมือนรู้ว่าข้าจะกลับมา”
“แน่นอนสิ อาจารย์รู้ว่าเธอต้องกลับมา ฤๅษีตอบพร้อมรอยยิ้ม”
“อ้อ ใช่สิ ท่านรู้ว่าข้าต้องกลับมาแน่ ต้องมีใครสักคนที่ฟังคำสอนผิดๆ แล้วย้อนกลับมาตำหนิท่านสักคนอยู่แล้ว” โกวินว่าอย่างมีอารมณ์
“ความโกรธมีแต่จะเพิ่มความเขลา ดังนั้น ขอให้เธอจงสงบอารมณ์ลงสักหน่อย แล้วบอกสิ่งที่อาจารย์บังอาจปดเธอมาให้อาจารย์ทราบด้วยเถิด” ฤๅษีกล่าวอย่างสุภาพ และคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นเดิม
“ท่านบอกข้าและทุกคนที่มาฟังท่านว่า ถ้ามีสิ่งใดทำไม่ได้ ก็ให้ภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เมื่อสักครู่ ข้าขับเกวียนไปติดหล่มโคลนอยู่ในป่า ข้านึกเชื่อคำสอนของท่าน จึงกล่าวคำภาวนา และสวดมนต์ขอความช่วยเหลือจากท่านหนุมานที่ข้านับถืออยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เห็นท่านหนุมานจะมาช่วยข้าสักที อย่างนี้แสดงว่าคำสอนของท่านเป็นคำปดทั้งสิ้นใช่หรือไม่” โกวินกล่าวเสียงกระด้าง
ฤๅษียิ้มให้โกวินอย่างใจดี พร้อมอธิบายว่า “อาจารย์พูดเช่นนั้นจริง และอาจารย์ก็มิได้ปดเธอ ถ้าเธอจะทบทวนความทรงจำของเธอให้ดีๆ เธอจะนึกออกว่า อาจารย์ไม่ได้สอนให้เธอสวดมนต์ภาวนาถึงพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเธอแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจารย์สอนให้เธอพยายามอย่างหนักเสียก่อน จึงจะหาญร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ เกวียนของเธอติดหล่มโคลน เธอใช้ความพยายามอะไรบ้างที่จะทำให้เกวียนของเธอหลุดพ้นจากหล่มโคลนนั้น”
โกวินหน้าเผือดลงเมื่อได้ฟังคำของฤๅษีเขายอมรับเสียงอ่อยๆ ว่าไม่ได้พยายามอะไรเลยนอกจากสวดมนต์ภาวนาขอความช่วยเหลืออย่างเดียว
“จงกลับไปยังเกวียนของเธอ ปัญหาของเธอแก้ไม่ยากดอก อาจารย์เชื่อว่าเธอต้องทำได้” ฤๅษีกล่าวพร้อมรอยยิ้มอีกเช่นเคย
โกวินกราบลาฤๅษีมาด้วยความเลื่อมใส หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่เกวียนของตน โดยนึกไปตลอดทางว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และแล้วเขาก็คิดออก
“จริงสิ ถ้าเราออกแรงหน่อยโดยใช้บ่าของเราดันล้อเกวียนขึ้น แล้วตีวัวให้เร่งออกแรงอีกนิด บ่าของเราและแรงของวัวก็อาจช่วยให้ล้อเกวียนหลุดพ้นจากหล่มได้”
โกวินดีใจมาก เขารีบทำตามที่คิดไว้ทันที ในระหว่างที่ออกแรงสุดตัวเพื่อใช้บ่าดันล้อเกวียนนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะอ้อนวอนขอความเมตตาจากหนุมานเพิ่มอีกด้วย แต่ครั้งนี้โกวินมิได้ขอร้องให้หนุมานช่วยยกล้อเกวียนเหมือนครั้งก่อน แต่เขาสวดมนต์ขอให้หนุมานอวยชัยให้เขายกล้อเกวียนสำเร็จได้ด้วยตัวของเขาเอง
ทันใดนั้น โกวินก็รู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งช่วยเขายกล้อเกวียนขึ้นอีกแรง เขารู้สึกว่าบ่าของตนไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมากเหมือนในตอนแรก โกวินจึงอาศัยจังหวะนี้ใช้แส้ตีวัวให้ออกแรงมากขึ้น จนฉุดเกวียนขึ้นมาจากหล่มโคลนได้เป็นผลสำเร็จ
“ขอโทษที่ต้องตีเจ้าเสียแรง แต่ครั้งนี้เราต่างต้องช่วยกันและกัน แล้วข้าจะพาเจ้าไปกินหญ้าเป็นการตอบแทนนะเพื่อน” โกวินพูดกับวัวของเขาอย่างอ่อนโยน และมันก็ส่งเสียงครางเบาๆ เหมือนเป็นคำตอบรับ
จากนั้นโกวินก็ขับเกวียนกลับบ้าน ตลอดทางเขาได้สวดมนต์และร้องเพลงสรรเสริญหนุมานไปด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณที่หนุมานเมตตาเขา ถึงแม้โกวินจะไม่เห็นหนุมาน แต่เขาเชื่อว่าหนุมานมาช่วยเขาจริงๆ เพราะเขาได้พยายามเต็มที่แล้วตามคำสั่งสอนของฤๅษีนั่นเอง
บทสรุปของผู้แต่ง
ชีวิตคนเราเกิดมาแล้วต้องประสบกับปัญหามากมายหลายอย่าง หากมัวแต่รอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้วชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ใครจะอยู่ช่วยเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นไม่ว่ายากหรือง่าย เราต้องพยายามหาทางแก้ปัญหานั้นด้วยตนเองให้ได้เสียก่อน แต่หากพยายามอย่างเต็มที่แล้วยังพ้นจากปัญหาไม่ได้ จึงค่อยมองหาความช่วยเหลือจากมิตรแท้ใกล้ตัว ซึ่งย่อมต้องช่วยเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่ซ้ำเติมทำร้าย
อย่าย่อท้อเมื่ออุปสรรคเข้ามาบ่อนทำลายชีวิตเธอ อุปสรรคเหล่านั้นคือครูคนสำคัญของชีวิต หากต้องเรียนรู้ชีวิตด้วยปัญหาและความผิดพลาด ก็จงเรียนรู้ให้หนัก และผ่านบทเรียนนั้นไปให้ได้ เพราะถ้าทำได้ คงไม่มีสิ่งใดที่เธอจะผ่านไปไม่ได้อีกแล้วในอนาคต
ทีมงานต้องขอขอบคุณ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และผู้ใหญ่ใจดีจากสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ด้วยค่ะที่กรุณาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ สอนใจเหล่านี้ ติดตามนิทานดีๆ ตอนต่อไปกันนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น