นิทานสอนใจ : ราชาหัวใจลำพอง
พระราชาพระองค์หนึ่งทรงมีทรัพย์สมบัติในครอบครองมากมาย อีกทั้งราชอาณาจักรของพระองค์ก็ขยายเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล ใครๆ ก็รู้จักพระองค์ในฐานะ “พระราชาผู้ครอบครองดินแดนทั่วหล้า และมหาทรัพย์ทั่วแผ่นดิน” การเลื่องลือนามของพระองค์ในแง่นี้ ทำให้ความเย่อหยิ่ง ลำพองตนเข้าเกาะกุมหัวใจของพระราชาอย่างง่ายดาย
นับวันความลำพองตนของพระราชาจะสะสมพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ความถือพระองค์ว่าเป็นที่หนึ่ง ทำให้พระราชาปฏิเสธที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับบ้านเมืองอื่น ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีบ้านเมืองใดยิ่งใหญ่และคู่ควรพอที่พระองค์จะติดต่อด้วย ครั้งมีราชทูตจากเมืองไกลมาขอเข้าเฝ้า พระองค์ก็จะรับสั่งผ่านมหาดเล็กว่า
“ไปบอกทูตเมืองนั้นว่าเราไม่สนใจราชสาสน์ของกษัตริย์แห่งเขา เราเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่างพอที่จะอ่านข้อความเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นหรอก”
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นานวันเข้าจึงไม่มีใครส่งราชฑูตมาเจริญสัมพันธไมตรีอีก รวมทั้งตัดขาดการติดต่อทางด้านการค้าไปด้วย พระราชาไม่ทรงแยแสเรื่องนี้ แต่ทรงลืมนึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นเมืองท่า ประชาชนส่วนใหญ่จึงมีอาชีพค้าขาย และส่วนหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองของพระองค์มั่งคั่งร่ำรวยได้ก็เพราะภาษีที่เก็บได้จากการค้าขายกับต่างแดน
เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างกลัวพระอาญา จึงไม่มีใครกล้าทูลพระราชาเกี่ยวกับวิกฤตนี้ ประชาชนจำต้องก้มหน้าก้มตารับความข้นแค้นขัดเคืองอย่างน่าสงสาร
กระทั่งวันหนึ่ง มีนักบุญท่านหนึ่งเดินทางผ่านราชอาณาจักรของพระราชาผู้ทรงลำพองตน นักบุญรู้สึกแปลกใจที่อาณาจักรแห่งนี้ไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน ประชาชนก็ดูอดอยากและมีแต่ความเศร้าหมอง นักบุญจึงสอบถามความจากชาวเมืองคนหนึ่ง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าพระราชา
แม้พระราชาจะทรงลำพองในความยิ่งใหญ่ของตนมากแค่ไหน แต่พระองค์ไม่เคยปฏิเสธนักแสวงบุญ ดังนั้น เมื่อทรงทราบว่า มีนักบุญพเนจรมาขอเข้าเฝ้า พระราชาก็รับสั่งให้ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แต่นักบุญบอกว่า ตนเองไม่ต้องการการต้อนรับที่เอิกเกริก เพียงแต่มีคำถามที่อยากทราบจากพระโอษฐ์ของพระราชาเท่านั้น เมื่อพระราชาทรงทราบความต้องการของนักบุญท่านนี้ พระองค์ก็เสด็จมาที่ท้องพระโรงทันที
“ผู้ทรงศีล..ท่านมีคำถามอันใดเร่งด่วนนักหรือ จึงปฏิเสธการต้อนรับ ซึ่งน้อยคนนักจะได้จากเรา เพียงเพื่อต้องการทราบคำตอบนั้น” พระราชาตรัสถามทันทีที่พบหน้านักบุญ นักบุญมิได้ตอบคำถามของพระองค์ แต่กลับพูดขึ้นว่า
“มหาราชา พระราชอาณาจักรของพระองค์ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียยิ่งกว่าอาณาจักรใดๆ ที่ข้าพเจ้าเคยสัญจรผ่าน ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ในความปรีชาของพรองค์โดยแท้..มหาราชา”
“ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ทรงศีล” พระราชาแย้มพระโอษฐ์กว้าง และตรัสด้วยเสียงทะนงตนว่า “ตัวเรายังมีทรัพย์สมบัติทั้งแก้วแหวนเงินทองอีกเป็นร้อยเป็นพันโกฏิเก็บไว้ในท้องพระคลังอีกด้วย”
นักบุญยิ้ม และกล่าวว่า “พระองค์ทรงภาคภูมิใจในราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองเหล่านี้เสียเหลือเกินสินะ มหาราชา”
“แน่แท้ผู้ทรงศีล..จะมีสิ่งใดแสดงความเป็นมหาราชาได้ดีเท่าความกว้างใหญ่ไพศาลของเขตแดนประเทศ และทรัพย์สมบัติที่พระราชาผู้นั้นมีไว้ในครอบครองอีกเล่า”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอบังอาจถามอะไรพระองค์สักหน่อยเถิด” นักบุญกล่าว
“ถามมาเถิด เรายินดีตอบท่านผู้นำสิริมาให้” พระราชาตรัสอนุญาต นักบุญจึงถามพระองค์ว่า
“พระองค์คิดว่าบ้านเมืองของพระองค์มีค่ามากเท่าไร”
พระราชาสนเท่ห์ที่นักบุญถามเช่นนั้น และไม่มีคำตอบที่จะตอบ เพราะพระองค์มิเคยประเมินค่าบ้านเมืองของพระองค์มาก่อน นักบุญเห็นพระราชานิ่งเงียบไปจึงถามต่อว่า
“แล้วแก้วแหวนเงินทองมากมายที่กองอยู่ในท้องพระคลังเหล่านั้น มีค่าเท่าไร”
พระราชาทรงส่ายพระพักตร์ “คำถามของท่านยากที่จะตอบ” ทรงตรัสแก่นักบุญ “เพราะเราไม่เคยตีราคาราชอาณาจักรของเรา และไม่เคยนับทรัพย์สมบัติที่เรามี แต่ท่านแน่ใจเถิดว่า สิ่งเหล่านั้นมีค่ามากเกินกว่าจะนับออกมาเป็นจำนวนที่เที่ยงแท้ได้ และก็ไม่มีอาณาจักรใดจะมีมากเท่าที่เรามีอีกแล้ว”
นักบุญยิ้ม และถามต่อไปว่า “สมมติพระองค์เดินหลงทางอยู่ในทะเลทรายโดยไม่มีทั้งอาหาร ไม่มีน้ำติดตัว โชคดีมีคนพเนจรผู้ตระหนี่เดินผ่านมา ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเพียงน้ำบริสุทธิ์เพียงแก้วเดียว พระองค์ยินดีที่จะจ่ายให้เขาเท่าไร เพื่อแลกกับน้ำแก้วนั้น และชีวิตของพระองค์เอง”
พระราชานิ่งตรึกตรอง ก่อนจะตอบว่า “เราอาจจะยกราชอาณาจักรของเราให้เขาสักครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับน้ำแก้วนั้นกระมัง”
นักบุญถามต่อว่า “แล้วถ้าพระองค์ประชวรด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ ทุกวันต้องทรงร้องครวญครางด้วยความทรมานจากพิษของโรคนั้น แต่แล้ว พระองค์ก็ทรงทราบว่า ทั่วแผ่นดินนี้มียาอยู่เม็ดหนึ่งที่สามารถรักษาพระอาการประชวรนั้นได้ แน่ล่ะว่า เจ้าของยาคงไม่มอบยาที่มีสรรพคุณวิเศษเช่นนี้ให้แก่พระองค์โดยง่าย เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์จะมอบสิ่งใดแก่เขาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่คู่ควรกับยาหนึ่งเม็ดนั้นเล่า”
พระราชาตรัสตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “จะมีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตของคนเราอีก หากเราต้องเป็นดังเช่นท่านว่า เราก็จะยอมแบ่งทรัพย์สมบัติของเราให้แก่เขา อย่าว่าแต่ครึ่งหนึ่งเลย แม้หมดท้องพระคลังเราก็จะยกให้ ถ้ายาของเขาวิเศษจริง”
สิ้นคำตรัสของพระราชา นักบุญก็หัวเราะเสียงดังก้องท้องพระโรง พระราชาไม่ทรงเข้าพระทัย ตรัสถามว่า “ท่านหัวเราะทำไม มีเรื่องใดน่าขันอย่างนั้นหรือ”
นักบุญตอบว่า “ข้าพเจ้าหัวเราะเพราะในตอนแรกพระองค์บอกว่า ราชอาณาจักรและทรัพย์สินที่พระองค์มีเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าราชอาณาจักรและทรัพย์สมบัติของพระองค์ มีค่าเพียงแค่น้ำหนึ่งแก้วและยาหนึ่งเม็ดเท่านั้น..นั่นเองล่ะ คุณค่าของมัน”
กล่าวจบนักบุญก็เดินหัวเราะออกไปจากท้องพระโรง ทิ้งให้พระราชาต้องทรงขบคิดถึงบทเรียนสำคัญที่เขาทิ้งไว้
บทสรุปของผู้แต่ง
คนเรามักเข้าใจว่า คุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์อยู่ที่ว่าใครมีสมบัติในครอบครองเท่าไร อันที่จริงถ้านั่นคือผลจากความขยันหมั่นเพียรจนทำให้เขาก่อร่างสร้างตัวได้สำเร็จ ก็ไม่ผิดเสียทีเดียวที่เราจะยกย่องให้เขาเป็นคนมีคุณค่าคนหนึ่ง
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งและส่วนน้อยกระจิริด ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเอามาวัดได้ว่าใครมีคุณค่ามากมายแค่ไหน เว้นแต่จิตใจของเรา สมบัติอื่นๆ ล้วนไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง แม้กระทั่งกายของเรา อันที่จริงก็ไม่ใช่ของของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่อยู่กับใครคนใดคนหนึ่งไปตลอด ถึงแม้คนๆ นั้นใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อค้นหามัน ด้วยเหตุนี้หากใครเอาเงินทองมาวัดความยิ่งใหญ่ สุดท้ายเขาจะตายไปโดยไม่เหลือคุณค่าใดๆ เพราะเมื่อถึงเวลาที่แผ่นดินกลบหน้า ใครเล่าจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอีก
ดังนั้น คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์จึงควรอยู่ที่คุณธรรมประจำใจของเขา อยู่ที่ความดี อยู่ที่การเสียสละ อยู่ที่ความรับผิดชอบ อยู่ที่ความคิดว่าจะเอื้อเฟื้อผู้อื่นได้มากเท่าไร มิใช่ทำอย่างไรจึงจะเอามาเป็นของตนให้ได้มากที่สุด
บางคนยิ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งทำลาย บางคนยากจนแต่มีใจช่วยเหลือ ใครมีคุณค่าคู่ควรที่จะเป็นมนุษย์บนโลกนี้ คงคิดออกกันใช่ไหม
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น