เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน รัฐสุนัข

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน รัฐสุนัข


เยี่ยนอิง เป็นเสนาบดีของ รัฐฉี ที่มีมีรูปร่างสันทัด ครั้งหนึ่งเยี่ยนอิงได้รับภารกิจเป็นทูตเดินทางไปยัง รัฐฉู่ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐ ทว่า อ๋องรัฐฉู่กลับมีจิตใจคับแคบ จงใจจะหลู่เกียรติทูตจากรัฐฉีให้อับอายขายหน้า จึงสั่งให้ขุนนางเจาะประตูขนาดสุนัขลอดข้างประตูเมืองใหญ่ พอเยี่ยนอิงเดินทางมาถึง เหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองก็ปิดประตูใหญ่ และเชื้อเชิญเยี่ยนอิงให้คลานเข้าเมืองทางประตูสุนัขลอด

เยี่ยนอิงเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีว่าอ๋องรัฐฉู่จงใจกลั่นแกล้งตนเอง จึงยืนกรานกับเหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองว่าจะไม่คลานเข้าเมืองทางประตูสุนัข พร้อมกล่าวว่า “หากข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้มาสานสัมพันธ์กับรัฐสุนัข ข้าพเจ้าจึงจะยินยอมพร้อมใจเข้าเมืองทางประตูสุนัข แต่วันนี้ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจมายังรัฐฉู่ มิใช่รัฐสุนัข ข้าพเจ้าจึงไม่ควรจะเข้าเมืองฉู่ทางประตูสุนัข”

หลังเข้าเมืองฉู่และถูกเชื้อเชิญไปยังราชวังเพื่อเข้าเฝ้าผู้ครองรัฐฉู่ พอพบเห็นเยี่ยนอิง อ๋องแห่งรัฐฉู่ก็ยังไม่เลิกรา ตรัสถามขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่ารัฐฉีไม่มีคนแล้วหรือ จึงส่งเจ้ามา?” เยี่ยนอิงได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบว่า “เมืองหลวงของรัฐฉี เมืองหลินจือคลาคล่ำไปด้วยผู้คนราวกับเม็ดฝนที่กำลังตก เหตุใดท่านอ๋องจึงกล่าวว่ารัฐฉีไม่มีคน?”

จากนั้นอ๋องรัฐฉู่จึงถามต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงส่งคนอย่างเจ้ามาที่รัฐฉู่?” เยี่ยนอิงก็ตอบว่า “รัฐฉีมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวอยู่ว่า การส่งทูตออกไปยังต่างรัฐจะพิจารณาจากความสามารถของทูต ทูตที่มีความสามารถมากก็จะถูกส่งไปยังรัฐที่เจ้าผู้ครองรัฐมีความสามารถมาก ทูตที่ไร้ความสามารถก็จะถูกส่งไปพบกับเจ้าผู้ครองรัฐผู้ไร้ความสามารถ โดยสำหรับตัวข้าน้อยนั้นในบรรดาขุนนางรัฐฉีถือว่าไร้ความสามารถที่สุดแล้วล่ะจึงถูกมอบหมายให้มาติดต่อกับท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ส่งขุนนาง

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ส่งขุนนาง


นานมาแล้ว มีขุนนางกังฉินแซ่หม่าผู้หนึ่งมีพฤติกรรมชอบรีดนาทาเร้นชาวบ้านร้านช่องอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะไปรับตำแหน่ง ณ ท้องที่ใด ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่ง

ครั้งหนึ่ง ณ เมืองอันห่างไกล ขุนนางแซ่หม่ากำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งลง ด้วยความที่เป็นกังวลว่าจะหอบเอาของที่รีดไถมากลับไปได้ไม่ครบจึงสั่งให้คนรับใช้นำของทั้งหมดมาได้วางเรียงเพื่อเก็บใส่ถุง ใส่กล่อง ใส่หีบ เตรียมออกเดินทางตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นว่าสัมภาระที่ตนกอบโกยมาได้ยังไม่เพียงพอ จึงสั่งให้คนงานขุดดินในบริเวณจวนที่พัก และพื้นที่โดยรอบไปขายเอาเงินมาเข้ากระเป๋าตนเองเพิ่มเติมอีก

เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง ขุนนางแซ่หม่าก็ตั้งขบวนออกจากประตูเมือง พอขี่ม้าพ้นประตูเมืองออกไปกลับพบว่าสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีชาวบ้านคนใดออกมาตั้งแถวส่งตนตามธรรมเนียมเลยสักคน ขณะที่ขุนนางแซ่หม่ากำลังรู้สึกขุ่นข้องหมองใจเตรียมระเบิดอารมณ์อยู่นั้นเอง กลับมีลมพัดมาวูบใหญ่ ทันใดนั้นก็ปรากฎผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมายังขบวน สังเกตว่าในมือของทุกคนต่างถือผลหมากรากไม้ และขนมนมเนยมาเต็มมือ

ขุนนางแซ่หม่าเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ พลางเอ่ยถามคนกลุ่มดังกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใครน่ะ เหตุใดจึงออกมาตั้งขบวนส่งข้า?”

หัวขบวนของคนกลุ่มนั้นจึงรีบตอบกลับมาว่า “พวกข้าเป็นผีร้ายประจำท้องถิ่น ต่างติดหนี้บุญคุณของใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่จนมิอาจทดแทนได้หมด พวกเราต้องขอบคุณใต้เท้าที่สั่งให้คนขุดดินในเมืองไปขายเสียจนเกลี้ยง ขุดจนถึงขุมนรกชั้น 18 ที่พวกข้าน้อยอาศัยอยู่ ทำให้พวกข้าได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวัน ด้วยความซาบซึ้ง วันนี้ข้าน้อยจึงตั้งขบวนมาส่งใต้เท้าโดยพร้อมเพรียง”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ข้อความบนโลงศพ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ข้อความบนโลงศพ


ในอดีตมีป้าแก่แซ่หวัง ชอบอวดเบ่งยกตนข่มท่านไปทั่ว ตลอดชีวิตมักจะกล่าวอ้างว่าตนเองรู้จักขุนนางคนโน้น นายพลคนนี้ เศรษฐีคนนั้น เพื่ออาศัยบารมีของคนเหล่านั้นในการประกอบกิจการต่างๆ

กระทั่งป้าแซ่หวังอายุใกล้ 70 ปี ซึ่งโดยธรรมเนียมจีนโบราณลูกหลานต้องเตรียมจัดทำโลงศพ* ไว้ให้คุณป้าล่วงหน้า ตามประเพณี บนโลงศพนอกจากจะต้องสลักชื่อเจ้าของโลงเอาไว้แล้ว ยังต้องสลักยศถาบรรดาศักดิ์ หรือ ฉายาที่ผู้อื่นกล่าวยกย่องบุคคลผู้นั้นเอาไว้ด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าระหว่างที่มีชีวิตอยู่บุคคลผู้นั้นประกอบคุณงามความดีอะไรทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้ยกย่องชื่นชมบ้าง

อย่างไรก็ตาม ป้าหวังก็เป็นแค่ป้าหวัง นอกจากจะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งใหญ่โตอะไรแล้ว คุณงามความดีอะไรป้าหวังก็ไม่เคยทำ ด้านลูกหลานด้วยความที่เห็นแก่หน้าป้าหวัง เกรงว่าหากไม่สลักอะไรไว้บนโลงศพสักหน่อยจะทำให้ป้าหวังเสียหน้า จึงยัดเงินนักพรตเต๋าคนสลักอักษรบนโลงให้ช่วยคิดหาคำพูดยกยอป้าหวังที่เหมาะที่ควร

ฝ่ายนักพรตแม้จะนั่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็คิดไม่ออกว่าควรจะสลักอะไรคำอะไรไว้บนโลงศพของป้าหวังดี สุดท้ายจึงตัดสินใจสลักข้อความตามหลังชื่อของป้าหวังไว้ดังนี้ “โลงศพของป้าหวัง คนข้างบ้านของเพื่อนดื่มสุราของลูกบัณฑิตฮั่นหลิน!"

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับเสือ

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับเสือ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกวางตัวหนึ่งมันกำลังหากินอย่างเพลิดเพลินอยู่ที่ริมแม่น้ำใกล้ๆชายป่า

ทันใดนั้นกวางก็มองเห็นนายพรานถือหน้าไม้เดินเข้ามาทางพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กับกวางอยู่ ด้วยความตกใจนายพรานถือหน้าไม้เดินเข้ามาทางพุ่มไม้เข้าไปในป่าลึก

ฝ่ายนายพรานได้วิ่งไล่ตามไป กวางเห็นจวนตัวจะหนีไปไหนก็ไม่ทันแล้วจิ่งวิ่งและกระโจนเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำเสือ

ฝ่ายเสือเห็นกวางวิ่งเข้ามาก็ดีใจ แอบหมอบนิ่งเงียบอยู่ปล่อยให้กวางวิ่งลึกเข้าไปจนสุดถ้ำ แล้วเสือก็กระโจนงับคอกวางล้มตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง…ก่อนสิ้นใจกวางร้อนขึ้นว่า อันตรายมีอยู่ทุกหนแห่ง เราหนีคนพันแล้ว ก็ยังพบเสือเข้ามาอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การจะหลีกเสี่ยงอันตราย จะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน ระวังอย่าวิ่งเข้าไปหาอันตรายสิ่งใหม่อีก

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับลูกกวาง

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับลูกกวาง


กวางหัวหน้าฝูงตัวหนึ่งเริ่มแก่ชรา พละกำลังถดถอยลงไปมาก แต่ก็ยังยกขากระทืบพื้นแรง ๆ ให้กวางตัวอื่น ๆ เคารพยำเกรงในความเป็นผู้นำของตนอยู่เสมอ วันหนึ่ง ลูกกวางน้อยตัวหนึ่งเดินเข้าไปถามกวางหัวหน้าฝูงว่า “ในเมื่อท่านมีเขายาวโง้ง และมีกลังมากมายอย่างนี้ ทำไมเวลาได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อมาทีไร จึงได้แต่พาพวกเราวิ่งหนี ไม่รวมพลังกันเข้าต่อสู้ล่ะ” กวางหัวหน้าฝูงก้มหน้าตอบลูกกวางน้อยว่า “ความจริงเดี๋ยวนี้ข้าอ่อนแอลงมากแล้ว แต่ถึงแม้ตอนที่ข้ายังหนุ่มเป็นหัวหน้าฝูงที่แข็งแรง เวลาได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อใกล้เข้ามา ข้าก็ยังขลาดกลัวอยู่ดี”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้อ่อนแอมักแสร้งทำตนเข้มแข็ง แต่ไม่อาจปิดบังความขี้ขลาดที่อยู่ภายในได้

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับเสือโคร่ง

นิทานอีสป เรื่อง กวางกับเสือโคร่ง


กวางตัวหนึ่งหนีการตามล่าของนายพราน กระโจนเผ่นหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อพบถ้ำแห่งหนึ่งก็ลนลานรีบเข้าไปหลบซ่อน โดยไม่ทันได้สำรวจให้ดีเสียก่อนขณะนั้นเสือโคร่งตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในถ้ำ ได้ยินเสียงฝีเท้ากวางก็สะดุ้งตื่น เห็นกวางเดินตื่นกลัวเข้ามา เสือโคร่งก็แสยะยิ้มแยกเขี้ยว นึกในใจว่า
“โอ้โห ! วันนี้โชคดีจริง ๆ จู่ ๆ ก็มีเหยื่อมาให้ขย้ำกินถึงที่”
เสือโคร่งหมอบซุ่มรอให้กวางเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระโจนเข้าตะปบกวางดชคร้ายกินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
จงมีสติ พิจารณาให้รอบคอบก่อนเสมอ

yengo หรือ buzzcity

Cinderella

Cinderella


Once upon a time... there lived an unhappy young girl. Unhappy she was, for her mother was dead, her father had married another woman, a widow with two daughters, and her stepmother didn't like her one little bit. All the nice things, kind thoughts and loving touches were for her own daughters. And not just the kind thoughts and love, but also dresses, shoes, shawls, delicious food, comfy beds, as well as every home comfort. All this was laid on for her daughters. But, for the poor unhappy girl, there was nothing at all. No dresses, only her stepsisters' hand-me-downs. No lovely dishes, nothing but scraps. No nice rests and comfort. For she had to work hard all day, and only when evening came was she allowed to sit for a while
by the fire, near the cinders. That is how she got her nickname, for everybody called her Cinderella. Cinderella used to spend long hours all alone talking to the cat. The cat said,

Miaow, which really meant, Cheer up! You have something neither of your stepsisters have and that is beauty.

It was quite true. Cindaralla, even dressed in rags with a dusty gray face from the cinders, was a lovely girl. While her stepsisters, no matter how splendid and elegant their clothes, were still clumsy, lumpy and ugly and always would be.

One day, beautiful new dresses arrived at the house. A ball was to be held at Court and the stepsisters were getting ready to go to it. Cinderella, didn't even dare ask, "What about me?" for she knew very well what the answer to that would be:

"You? My dear girl, you're staying at home to wash the dishes, scrub the floors and turn down the beds for your stepsisters. They will come home tired and very sleepy." Cinderella sighed at the cat.
"Oh dear, I'm so unhappy!" and the cat murmured "Miaow".

Suddenly something amazing happened. In the kitchen, where Cinderella was sitting all by herself, there was a burst of light and a fairy appeared.

"Don't be alarmed, Cinderella," said the fairy. "The wind blew me your sighs. I know you would love to go to the ball. And so you shall!"

"How can I, dressed in rags?" Cinderella replied. "The servants will turn me away!" The fairy smiled. With a flick of her magic wand... Cinderella found herself wearing the most beautiful dress, the loveliest ever seen in the realm.

"Now that we have settled the matter of the dress," said the fairy, "we'll need to get you a coach. A real lady would never go to a ball on foot!"

"Quick! Get me a pumpkin!" she ordered.

"Oh of course," said Cinderella, rushing away. Then the fairy turned to the cat.

"You, bring me seven mice!"

"Seven mice!" said the cat. "I didn't know fairies ate mice too!"

"They're not for eating, silly! Do as you are told!... and, remember they must be alive!"

Cinderella soon returned with a fine pumpkin and the cat with seven mice he had caught in the cellar.

"Good!" exclaimed the fairy. With a flick of her magic wand... wonder of wonders! The pumpkin turned into a sparkling coach and the mice became six white horses, while the seventh mouse turned into a coachman, in a smart uniform and carrying a whip. Cinderella could hardly believe her eyes.

"I shall present you at Court. You will soon see that the Prince, in whose honor the ball is being held, will be enchanted by your loveliness. But remember! You must leave the ball at midnight and come home. For that is when the spell ends. Your coach will turn back into a pumpkin, the horses will become mice again and the coachman will turn back into a mouse... and you will be dressed again in rags and wearing clogs instead of these dainty little slippers! Do you understand?" Cinderella smiled and said,

"Yes, I understand!"
When Cinderella entered the ballroom at the palace, a hush fell. Everyone stopped in mid-sentence to admire her elegance, her beauty and grace.

"Who can that be?" people asked each other. The two stepsisters also wondered who the newcomer was, for never in a month of Sundays, would they ever have guessed that the beautiful girl was really poor Cinderella who talked to the cat!

When the prince set eyes on Cinderella, he was struck by her beauty. Walking over to her, he bowed deeply and asked her to dance. And to the great disappointment of all the young ladies, he danced with Cinderella all evening.

"Who are you, fair maiden?" the Prince kept asking her. But Cinderella only replied:

"What does it matter who I am! You will never see me again anyway."

"Oh, but I shall, I'm quite certain!" he replied.

Cinderella had a wonderful time at the ball... But, all of a sudden, she heard the sound of a clock: the first stroke of midnight! She remembered what the fairy had said, and without a word of goodbye she slipped from the Prince's arms and ran down the steps. As she ran she lost one of her slippers, but not for a moment did she dream of stopping to pick it up! If the last stroke of midnight were to sound... oh... what a disaster that would be! Out she fled and vanished into the night.

The Prince, who was now madly in love with her, picked up her slipper and said to his ministers,

"Go and search everywhere for the girl whose foot this slipper fits. I will never be content until I find her!" So the ministers tried the slipper on the foot of all the girls... and on Cinderella's foot as well... Surprise! The slipper fitted perfectly.

"That awful untidy girl simply cannot have been at the ball," snapped the stepmother. "Tell the Prince he ought to marry one of my two daughters! Can't you see how ugly Cinderella is! Can't you see?"

Suddenly she broke off, for the fairy had appeared.

"That's enough!" she exclaimed, raising her magic wand. In a flash, Cinderella appeared in a splendid dress, shining with youth and beauty. Her stepmother and stepsisters gaped at her in amazement, and the ministers said,

"Come with us, fair maiden! The Prince awaits to present you with his engagement ring!" So Cinderella joyfully went with them, and lived happily ever after with her Prince. And as for the cat, he just said "Miaow"!

yengo หรือ buzzcity

A Wolf and A Lamb

A Wolf and A Lamb


A wolf carried off a lamb. The lamb said, " I know you are going to eat me, but before you eat me I would like to hear you play the flute. I have heard that you can play the flute better than anyone else, even the shepherd himself."

The wolf was so pleased at this that he took out his flute and began to play.

When he had done, the lamb insisted him to play once more and the wolf played again.

The shepherd and the dogs heard the sound, and they came running up and fell on the wolf and the lamb was able to get back to the flock.

yengo หรือ buzzcity

Gold-tree and Silver-tree

Gold-tree and Silver-tree


Once upon a time there was a king who had a wife, whose name was Silver tree, and a daughter, whose name was Gold tree. On a certain day of the days, Gold-tree and Silver-tree went to a glen, where there was a well, and in it there was a trout.

Said Silver-tree, "Troutie, bonny little fellow, am not I the most beautiful queen in the world?"

"Oh! indeed you are not."

"Who then?"

"Why, Gold-tree, your daughter."

Silver-tree went home, blind with rage. She lay down on the bed, and vowed she would never be well until she could get the heart and the liver of Gold-tree, her daughter, to eat.

At nightfall the king came home, and it was told him that Silver- tree, his wife, was very ill. He went where she was, and asked her what was wrong with her.

"Oh! only a thing--which you may heal if you like."

"Oh! indeed there is nothing at all which I could do for you that I would not do."

"If I get the heart and the liver of Gold-tree, my daughter, to eat, I shall be well."


Now it happened about this time that the son of a great king had come from abroad to ask Gold-tree for marrying. The king now agreed to this, and they went abroad.

The king then went and sent his lads to the hunting-hill for a he- goat, and he gave its heart and its liver to his wife to eat; and she rose well and healthy.

A year after this Silver-tree went to the glen, where there was the well in which there was the trout.

"Troutie, bonny little fellow," said she, "am not I the most beautiful queen in the world?"

"Oh! indeed you are not."

"Who then?"

"Why, Gold-tree, your daughter."

"Oh! well, it is long since she was living. It is a year since I ate her heart and liver."

"Oh! indeed she is not dead. She is married to a great prince abroad."

Silver-tree went home, and begged the king to put the long-ship in order, and said, "I am going to see my dear Gold-tree, for it is so long since I saw her." The long-ship was put in order, and they went away.

It was Silver-tree herself that was at the helm, and she steered the ship so well that they were not long at all before they arrived.

The prince was out hunting on the hills. Gold-tree knew the long- ship of her father coming.

"Oh!" said she to the servants, "my mother is coming, and she will kill me."

"She shall not kill you at all; we will lock you in a room where she cannot get near you."

This is how it was done; and when Silver-tree came ashore, she began to cry out:

"Come to meet your own mother, when she comes to see you," Gold tree said that she could not, that she was locked in the room, and that she could not get out of it.

"Will you not put out," said Silver tree, "your little finger through the key-hole, so that your own mother may give a kiss to it?"

She put out her little finger, and Silver-tree went and put a poisoned stab in it, and Gold-tree fell dead.

When the prince came home, and found Gold-tree dead, he was in great sorrow, and when he saw how beautiful she was, he did not bury her at all, but he locked her in a room where nobody would get near her.

In the course of time he married again, and the whole house was under the hand of this wife but one room, and he himself always kept the key of that room. On a certain day of the days he forgot to take the key with him, and the second wife got into the room. What did she see there but the most beautiful woman that she ever saw.

She began to turn and try to wake her, and she noticed the poisoned stab in her finger. She took the stab out, and Gold-tree rose alive, as beautiful as she was ever.

At the fall of night the prince came home from the hunting-hill, looking very downcast.

"What gift," said his wife, "would you give me that I could make you laugh?"

"Oh! indeed, nothing could make me laugh, except Gold-tree were to come alive again."

"Well, you'll find her alive down there in the room."

When the prince saw Gold-tree alive he made great rejoicings, and he began to kiss her, and kiss her, and kiss her. Said the second wife, "Since she is the first one you had it is better for you to stick to her, and I will go away."

"Oh! indeed you shall not go away, but I shall have both of you."

At the end of the year, Silver-tree went to the glen, where there was the well, in which there was the trout.

"Troutie, bonny little fellow," said she, "am not I the most beautiful queen in the world?"

"Oh! indeed you are not."

"Who then?"

"Why, Gold-tree, your daughter."


"Oh! well, she is not alive. It is a year since I put the poisoned stab into her finger."

"Oh! indeed she is not dead at all, at all."

Silver-tree, went home, and begged the king to put the long-ship in order, for that she was going to see her dear Gold tree, as it was so long since she saw her. The long-ship was put in order, and they went away. It was Silver-tree herself that was at the helm, and she steered the ship so well that they were not long at all before they arrived.

The prince was out hunting on the hills. Gold-tree knew her father's ship coming.

"Oh!" said she, "my mother is coming, and she will kill me."

"Not at all," said the second wife; "we will go down to meet her."

Silver-tree came ashore. "Come down, Gold tree, love," said she, "for your own mother has come to you with a precious drink."

"It is a custom in this country," said the second wife, "that the person who offers a drink takes a draught out of it first."

Silver-tree put her mouth to it, and the second wife went and struck it so that some of it went down her throat, and she fell dead. They had only to carry her home a dead corpse and bury her.

The prince and his two wives were long alive after this, pleased and peaceful.

I left them there.

yengo หรือ buzzcity

Princess and the Pea

Princess and the Pea


Once upon a time there lived a prince who wanted to marry a princess; but she would have to be a 'real' princess. He traveled far and wide to find one but nowhere could he get what he wanted. There were many princesses, but it was hard to decide how far 'real' they were. So he returned home sadly.

One evening a terrible storm rose along with thunder and lightning, and rain poured down heavily. Suddenly a knock was heard at the castle gate. On opening it was found that a princess was standing at the door. But, good gracious! what a sight the whether had done to her.

The water ran down from her hair and clothes; and she was in a very bad condition and "yet
she said that she was a real princess"?!, thought the queen.

We'll soon find that out," thought the old queen. But she said nothing. She went into the bed-room, took all the bedding off the bedstead, and laid a pea on the bottom; then she took twenty mattresses and laid them on the pea, and then twenty eider-down beds on top of the mattresses.

On this the princess had to lie all night. In the morning she was asked how she had slept.
"Oh, very badly!" said she. "I hardly closed my eyes all night. God only knows what was in the bed… I was lying on something hard. It was horrible!"

Now they knew that she was a 'real' princess because she had felt the pea right through the twenty mattresses and the twenty eider-down beds.

Nobody but a real princess could be as sensitive as that.

So the prince took her for his wife, for now he knew that he had a 'real' princess; and the pea was put in the museum, where it may still be seen, provided no one has stolen it!

yengo หรือ buzzcity

Sleeping Beauty

Sleeping Beauty


A long time ago there were a king and queen who were unhappy because they were childless. But it happened that once when the queen was bathing, a frog crept out of the water on to the land, and said to her, "Your wish shall be fulfilled, before a year has gone by, you shall have a daughter."

What the frog had said came true, and the queen had a little girl who was so pretty that the king could not contain himself for joy, and ordered a great feast. He invited not only his kindred, friends and acquaintances, but also the wise women, in order that they might be kind and well disposed towards the child. There were thirteen of them in his kingdom, but, as he had only twelve golden plates for them to eat out of, one of them had to be left at home.

A long time ago there were a king and queen who were unhappy because they were childless. But it happened that once when the queen was bathing, a frog crept out of the water on to the land, and said to her, " Your wish shall be fulfilled, before a year has gone by, you shall have a daughter."

What the frog had said came true, and the queen had a little girl who was so pretty that the king could not contain himself for joy, and ordered a great feast. He invited not only his kindred, friends and acquaintances, but also the wise women, in order that they might be kind and well disposed towards the child. There were thirteen of them in his kingdom, but, as he had only twelve golden plates for them to eat out of, one of them had to be left at home.

The feast was held with all manner of splendor and when it came to an end the wise women bestowed their magic gifts upon the baby - one gave virtue, another beauty, a third riches, and so on with everything in the world that one can wish for.

When eleven of them had made their promises, suddenly the thirteenth came in. She wished to avenge herself for not having been invited, and without greeting, or even looking at anyone, she cried with a loud voice, "The king's daughter shall in her fifteenth year prick herself with a spindle, and fall down dead." And, without saying a word more, she turned round and left the room.

They were all shocked, but the twelfth, whose good wish still remained unspoken, came forward, and as she could not undo the evil sentence, but only soften it, she said, it shall not be death, but a deep sleep of a hundred years, into which the princess shall fall.

The king, who would fain keep his dear child from the misfortune, gave orders that every spindle in the whole kingdom should be burnt. Meanwhile the gifts of the wise women were plenteously fulfilled on the young girl, for she was so beautiful, modest, good-natured, and wise, that everyone who saw her was bound to love her.

It happened that on the very day when she was fifteen years old, the king and queen were not at home, and the maiden was left in the palace quite alone. So she went round into all sorts of places, looked into rooms and bed-chambers just as she liked, and at last came to an old tower. She climbed up the narrow winding staircase, and reached a little door. A rusty key was in the lock, and when she turned it the door sprang open, and there in a little room sat an old woman with a spindle, busily spinning her flax.

"Good day, old mother," said the king's daughter, "what are you doing there?"

"I am spinning," said the old woman, and nodded her head.

"What sort of thing is that, that rattles round so merrily," said the girl, and she took the spindle and wanted to spin too. But scarcely had she touched the spindle when the magic decree was fulfilled, and she pricked her finger with it.
And, in the very moment when she felt the prick, she fell down upon the bed that stood there, and lay in a deep sleep. And this sleep extended over the whole palace, the king and queen who had just come home, and had entered the great hall, began to go to sleep, and the whole of the court with them. The horses, too, went to sleep in the stable, the dogs in the yard, the pigeons upon the roof, the flies on the wall, even the fire that was flaming on the hearth became quiet and slept, the roast meat left off frizzling, and the cook, who was just going to pull the hair of the scullery boy, because he had forgotten something, let him go, and went to sleep. And the wind fell, and on the trees before the castle not a leaf moved again.

But round about the castle there began to grow a hedge of thorns, which every year became higher, and at last grew close up round the castle and all over it, so that there was nothing of it to be seen, not even the flag upon the roof. But the story of the beautiful sleeping Briar Rose, for so the princess was named, went about the country, so that from time to time kings' sons came and tried to get through the thorny hedge into the castle. But they found it impossible, for the thorns held fast together, as if they had hands, and the youths were caught in them, could not get loose again, and died a miserable death.

After long, long years a king's son came again to that country, and heard an old man talking about the thorn hedge, and that a castle was said to stand behind it in which a wonderfully beautiful princess, named Briar Rose,

had been asleep for a hundred years, and that the king and queen and the whole court were asleep likewise. He had heard, too, from his grandfather, that many kings, sons had already come, and had tried to get through the thorny hedge, but they had remained sticking fast in it, and had died a pitiful death.

Then the youth said, "I am not afraid, I will go and see the beautiful Briar Rose." The good old man might dissuade him as he would, he did not listen to his words.

But by this time the hundred years had just passed, and the day had come when Briar Rose was to awake again. When the king's son came near to the thorn hedge, it was nothing but large and beautiful flowers, which parted from each other of their own accord, and let him pass unhurt, then they closed again behind him like a hedge. In the castle yard he saw the horses and the spotted hounds lying asleep, on the roof sat the pigeons with their heads under their wings. And when he entered the house, the flies were asleep upon the wall, the cook in the kitchen was still holding out his hand to seize the boy, and the maid was sitting by the black hen which she was going to pluck.

He went on farther, and in the great hall he saw the whole of the court lying asleep, and up by the throne lay the king and queen. Then he went on still farther, and all was so quiet that a breath could be heard, and at last he came to the tower, and opened the door into the little room where Briar Rose was sleeping.

There she lay, so beautiful that he could not turn his eyes away, and he stooped down and gave her a kiss. But as soon as he kissed her, Briar Rose opened her eyes and awoke, and looked at him quite sweetly.

Then they went down together, and the king awoke, and the queen, and the whole court, and looked at each other in great astonishment. And the horses in the courtyard stood up and shook themselves, the hounds jumped up and wagged their tails, the pigeons upon the roof pulled out their heads from under their wings, looked round, and flew into the open country, the flies on the wall crept again, the fire in the kitchen burned up and flickered and cooked the meat, the joint began to turn and sizzle again, and the cook gave the boy such a box on the ear that he screamed, and the maid finished plucking the fowl.

And then the marriage of the king's son with Briar Rose was celebrated with all splendor, and they lived contented to the end of their days.

yengo หรือ buzzcity

Snow White and the Seven Dwarfs

Snow White and the Seven Dwarfs


Once upon a time in a great castle, a Prince's daughter grew up happy and contented, in spite of a jealous stepmother. She was very pretty, with blue eyes and long black hair. Her skin was delicate and fair, and so she was called Snow White.

Though her stepmother was a wicked woman, she too was very beautiful, and a magic mirror told her this every day, whenever she asked it. "Mirror, mirror on the wall, who is the loveliest lady in the land?" The reply was always; "You are, your Majesty," until the dreadful day when she heard it say, "Snow White is the loveliest in the land." The stepmother was furious and, wild with jealousy, began plotting to get rid of her. Calling one of her servants, she bribed him with a rich reward to take Snow White into the forest, far away from the castle. Then, unseen, he was to put her to death. The greedy servant, attracted to the reward, agreed to do this deed, and he led the sweet little girl away. However, when they came to the fatal spot, the man's courage betrayed him and, leaving Snow White sitting beside a tree, he mumbled an excuse and ran off. Snow White was thus left all alone in the forest.

Night came, but the servant did not return. Snow White, alone in the dark forest, began to cry bitterly. She thought she could feel terrible eyes spying on her, and she heard strange sounds and rustlings that made her heart thump. At last, overcome by tiredness, she fell asleep curled under a tree.

Snow White slept fitfully, wakening from time to time with a start and staring into the darkness round her. Several times, she thought she felt something, or somebody touch her as she slept.

At last, dawn woke the forest to the song of the birds, and Snow White too, awoke. A whole world was stirring to life and the little girl was glad to see how silly her fears had been. However, the thick trees were like a wall round her, and as she tried to find out where she was, she came upon a path. She walked along it, till she came to a clearing. There stood a strange cottage, with a tiny door, tiny windows and a tiny chimney pot. Everything about the cottage was much tinier than it ought to be. Snow White pushed the door open.

"l wonder who lives here?" she said to herself, peeping round the kitchen. "What tiny plates! And spoons! There must be

seven of them, the table's laid for seven people." Upstairs was a bedroom with seven neat little beds. Going back to the kitchen, Snow White had an idea.

"I'll make them something to eat. When they come home, they'll be glad to find a meal ready." Towards dusk, seven tiny men marched homewards singing. But when they opened the door, to their surprise they found a bowl of hot steaming soup on the table. Upstairs was Snow White, fast asleep on one of the beds. The chief dwarf prodded her gently.

"Who are you?" he asked. Snow White told them her sad story, and tears sprang to the dwarfs' eyes. Then one of them said, as he noisily blew his nose:

"Stay here with us!"

"Hooray! Hooray!" they cheered, dancing joyfully round the little girl. The dwarfs said to Snow White:

"You can live here and tend to the house while we're down the mine. Don't worry about your stepmother leaving you in the forest. We love you and we'll take care of you!" Snow White gratefully accepted their hospitality, and next morning the dwarfs set off for work. But they warned Snow White not to open the door to strangers.

Meanwhile, the servant had returned to the castle, with the heart of a roe deer. He gave it to the cruel stepmother, telling her it belonged to Snow White, so that he could claim the reward. Highly pleased, the stepmother turned again to the magic mirror. But her hopes were dashed, for the mirror replied: "The loveliest in the land is still Snow White, who lives in the seven dwarfs' cottage, down in the forest." The stepmother was beside herself with rage.

"She must die! She must die!" she screamed. Disguising herself as an old peasant woman, she put a poisoned apple with the others in her basket. Then, taking the quickest way into the forest, she crossed the swamp at the edge of the trees. She reached the bank unseen, just as Snow White stood waving goodbye to the seven dwarfs on their way to the mine.

Snow White was in the kitchen when she heard the sound at the door: KNOCK! KNOCK!

"Who's there?" she called suspiciously, remembering the dwarfs advice.

"I'm an old peasant woman selling apples," came the reply.

"I don't need any apples, thank you," she replied.

"But they are beautiful apples and ever so juicy!" said the velvety voice from outside the door.

"I'm not supposed to open the door to anyone," said the little girl, who was reluctant to disobey her friends.

"And quite right too! Good girl! If you promised not to open up to strangers, then of course you can't buy. You are a good girl indeed!" Then the old woman went on.

"And as a reward for being good, I'm going to make you a gift of one of my apples!" Without a further thought, Snow White opened the door just a tiny crack, to take the apple.

"There! Now isn't that a nice apple?" Snow White bit into the fruit, and as she did, fell to the ground in a faint: the effect of the terrible poison left her lifeless instantly.

Now chuckling evilly, the wicked stepmother hurried off. But as she ran back across the swamp, she tripped and fell into the quicksand. No one heard her cries for help, and she disappeared without a trace.

Meanwhile, the dwarfs came out of the mine to find the sky had grown dark and stormy. Loud thunder echoed through the valleys and streaks of lightning ripped the sky. Worried about Snow White they ran as quickly as they could down the mountain to the cottage.

There they found Snow White, lying still and lifeless, the poisoned apple by her side. They did their best to bring her alive, but it was of no use.

They wept and wept for a long time. Then they laid her on a bed of rose petals, carried her into the forest and put her in a crystal coffin.

Each day they laid a flower there.

Then one evening, they discovered a strange young man admiring Snow White's lovely face through the glass. After listening to the story, the Prince (for he was a prince!) made a suggestion.

"If you allow me to take her to the Castle, I'll call in famous doctors to waken her from this peculiar sleep. She's so lovely I'd love to kiss her!" He did, and as though by magic, the Prince's kiss broke the spell. To everyone's astonishment, Snow White opened her eyes. She had amazingly come back to life! Now in love, the Prince asked Snow White to marry him, and the dwarfs reluctantly had to bid good bye to Snow White.

From that day on, Snow White lived happily in a great castle. But from time to time, she was drawn back to visit the little cottage down in the forest, to her dwarf friends.

yengo หรือ buzzcity

The Ant and the Grasshopper

The Ant and the Grasshopper


On one fine summer's day in a field a Grasshopper was hopping about in a musical mood. An ant passed by bearing along with great toil an ear of corn he was taking to the nest.

The grasshopper invited the ant to sit for a chat with him. But the ant refused saying that "I’m storing up food for winter". " Why don’t you do the same?" asked the ant to the grasshopper.

" Pooh! Why bother about winter? " said the Grasshopper; we have got enough food at present." But the Ant went on its way and continued its toil.
Finally, when winter came, the Grasshopper found itself dying of hunger, while it saw the ants distributing corn and grain from their storage.

Then the Grasshopper understood that…

It is best to prepare for the days of necessity.

yengo หรือ buzzcity

The Hungry Mouse

The Hungry Mouse


A mouse was having a very bad time. She could find no food at all. She looked here and there, but there was no food, and she grew very thin.
At last the mouse found a basket, full of corn. There was a small hole in the basket, and she crept in. She could just get through the hole.
Then she began to eat the corn. Being very hungry, she ate a great deal, and went on eating and eating. She had grown very fat before she felt that she had had enough.
When the mouse tried to climb out of the basket, she could not. She was too fat to pass through the hole.
" How shall I climb out?" said the mouse. "oh, how shall I climb out?"
Just then a rat came along, and he heard the mouse. "Mouse," said the rat, "if you want to climb out of the basket, you must wait till you have grown as thin as you were when you went in.

yengo หรือ buzzcity

The Sweet Porridge

The Sweet Porridge


There was a poor but good little girl who lived with her mother. They had nothing to eat. One day, the child went into the forest, and there an aged woman met her who was aware of her sorrow.
Sweet Porridge
She gifted her with a little pot, which when she said, "cook, little pot, cook", would cook good, sweet porridge, and when she said, "stop, little pot", it ceased to cook. The girl took the pot home to her mother, and soon they were freed from their poverty and hunger, and ate sweet porridge as often as they chose. Once on a time when the girl had gone out, her mother said, cook, little pot, cook. And it did cook and she ate till she was satisfied, and then she wanted the pot to stop cooking, but did not know the word. So it went on cooking and the porridge rose over the edge, and still it cooked on until the kitchen and whole house were full, and then the next house, and then the whole street, just as if it wanted to satisfy the hunger of the whole world, and there was the greatest distress, but no one knew how to stop it.

At last when only one single house remained, the child came home and just said, stop, little pot, and it stopped and gave up cooking, and whosoever wished to return to the town had to eat his way back!

yengo หรือ buzzcity

The Two Goats

The Two Goats


Over a river there was a very narrow bridge. One day a goat was crossing this bridge. Just at the middle of the bridge he met another goat. There was no room for them to pass.

"Go back," said one goat to the other, " there is no room for both of us ".

" Why should I go back ? ", said the other goat. " Why should not you go back? "

" You must go back ", said the first goat, "because I am stronger than you."

" You are not stronger than I ", said the second goat.

" We will see about that ", said the first goat, and he put down his horns to fight.

" Stop! ", said the second goat. " If we fight, we shall both fall into the river and be drowned. Instead I have a plan- I shall lie down, and you may walk over me."

Then the wise goat lay down on the bridge, and the other goat walked lightly over him. So they passed each other, and went on their ways.

yengo หรือ buzzcity

The Ugly Duckling

The Ugly Duckling


Once upon a time down on an old farm, lived a duck family, and Mother Duck had been sitting on a clutch of new eggs. One nice morning, the eggs hatched and out popped six chirpy ducklings. But one egg was bigger than the rest, and it didn't hatch. Mother Duck couldn't recall laying that seventh egg. How did it get there? TOCK! TOCK! The little prisoner was pecking inside his shell.

" Did I count the eggs wrongly? " Mother Duck wondered. But before she had time to think about it, the last egg finally hatched. A strange looking duckling with gray feathers that should have been yellow gazed at a worried mother. The ducklings grew quickly, but Mother Duck had a secret worry.
The Ugly Duckling "I can't understand how this ugly duckling can be one of mine!" she said to herself, shaking her head as she looked at her last born. Well, the gray duckling certainly wasn't pretty, and since he ate far more than his brothers, he was outgrowing them. As the days went by, the poor ugly duckling became more and more unhappy. His brothers didn't want to play with him, he was so
clumsy, and all the farmyard folks simply laughed at him. He felt sad and lonely, while Mother Duck did her best to console him.

"Poor little ugly duckling!" she would say. "Why are you so different from the others?" And the ugly duckling felt worse than ever. He secretly wept at night. He felt nobody wanted him.

"Nobody loves me, they all tease me! Why am I different from my brothers?"

Then one day, at sunrise, he ran away from the farmyard. He stopped at a pond and began to question all the other birds. "Do you know of any ducklings with gray feathers like mine?" But everyone shook their heads in scorn.

"We don't know anyone as ugly as you." The ugly duckling did not lose heart, however, and kept on making inquiries. He went to another pond, where a pair of large geese gave him the same answer to his question. What's more, they warned him: "Don't stay here! Go away! It's dangerous. There are men with guns around here!" The duckling was sorry he had ever left the farmyard.

Then one day, his travels took him near an old countrywoman's cottage. Thinking he was a stray goose, she caught him.

"I'll put this in a hutch. I hope it's a female and lays plenty of eggs!" said the old woman, whose eyesight was poor. But the ugly duckling laid not a single egg. The hen kept frightening him.

"Just wait! If you don't lay eggs, the old woman will wring your neck and pop you into the pot!" And the cat chipped in: "Hee! Hee! I hope the woman cooks you, then I can gnaw at your bones!" The poor ugly duckling was so scared that he lost his appetite, though the old woman kept stuffing him with food and grumbling: "If you won't lay eggs, at least hurry up and get plump!"

"Oh, dear me!" moaned the now terrified duckling. "I'll die of fright first! And I did so hope someone would love me!"

Then one night, finding the hutch door ajar, he escaped. Once again he was all alone. He fled as far away as he could, and at dawn, he found himself in a thick bed of reeds. "If nobody wants me, I'll hid here forever." There was plenty a food, and the duckling began to feel a little happier, though he was lonely. One day at sunrise, he saw a flight of beautiful birds wing overhead. White, with long slender necks, yellow beaks and large wings, they were migrating south.

"If only I could look like them, just for a day!" said the duckling, admiringly. Winter came and the water in the reed bed froze. The poor duckling left home to seek food in the snow. He dropped exhausted to the ground, but a farmer found him and put him in his big jacket pocket.

"I'll take him home to my children. They'll look after him. Poor thing, he's frozen!" The duckling was showered with kindly care at the farmer's house. In this way, the ugly duckling was able to survive the bitterly cold winter.

However, by springtime, he had grown so big that the farmer decided: "I'll set him free by the pond!" That was when the duckling saw himself mirrored in the water.

"Goodness! How I've changed! I hardly recognize myself!" The flight of swans winged north again and glided on to the pond. When the duckling saw them, he realized he was one of their kind, and soon made friends.

"We're swans like you!" they said, warmly. "Where have you been hiding?"

"It's a long story," replied the young swan, still astounded. Now, he swam majestically with his fellow swans. One day, he heard children on the river bank exclaim: "Look at that young swan! He's the finest of them all!"

And he almost burst with happiness.

yengo หรือ buzzcity

The monkey and Persimmon tree

The monkey and Persimmon tree


One day, a monkey carrying a persimmon seed noticed a crab
with a rice ball in its claw. The monkey was very hungry, and
so asked the crab to trade the rice ball for the seed. The crab
thought this an unfair trade and refused. But the clever monkey
said to the crab, "Once you eat the rice ball it will be gone
forever, but if you plant the persimmon seed, it will grow into
a tree and bear a never-ending supply of fruit." The crab was
persuaded, and the monkey got the rice ball.

The crab planted the persimmon seed in the corner of her
garden. She watered it daily, telling it, "If you don't bud quickly
I'll dig you up with my hoe." The frightened seed quickly
sprouted. Then the crab said, "If you don't hurry up and grow,
I'll snip you in half with these scissors." The bud quickly grew
into a big tree. Finally, the crab threatened the tree, "Bear fruit
or I'll chop you down with an axe." The frightened tree promptly
bore fruit.

By fall most of the persimmons had ripened bright red.
The monkey noticed this and, climbing the tree, began eating
the ripest fruit. Soon the crab came along and, unable to climb
the tree, asked the monkey to bring some persimmons down
to her. "Sure!" said the monkey, but instead, he grabbed a
hard, unripe fruit and threw it down at the crab's head,
injuring her. The crab was laid up in bed for many days.

Before long, the crab's children became worried about their
bedridden mother and cried so much that, unable to stand it
any longer, a bee, a chestnut, a sewing needle and a stone
mortar got together and agreed to help the baby crabs get
revenge on the monkey.

While the monkey was away from his house, they formed a
plan of revenge: the chestnut hid in the ashes of the monkey's
fireplace, the baby crabs in the water tub in the kitchen, the
bee in the bucket of miso paste, a traditional seasoning made
with soy beans, the needle in the monkey's bed, and the mortar
above the doorway. Then they waited for the monkey to return.

In the evening, the monkey came home. "I'm so cold," he
exclaimed, and just as he plopped down next to the fire, the
chestnut burst up from the ashes, scalding the monkey's
behind. The monkey ran yelping into the kitchen and dunked
his hands in the tub to gather water to dowse his burning pain.
The baby crabs jumped out and snapped at him with their claws.
At this, the monkey dropped the jug and picked up the pail of
soft miso to spread over his burn. The bee sprung out promptly
and stung him left and right. The helpless monkey then retreated
to his bed, but jumping into it, he was poked all over by the needle
buried under the covers. Screaming "Ouch! Ouch!" the monkey
finally made to flee the house, but just as he got through the
doorway, the mortar clanged down on his head.

Groaning with pain, the monkey cried,
"I promise I'll never misbehave again!"

yengo หรือ buzzcity

The Mouse's Marriage

The Mouse's Marriage


Once upon a time, there lived a wealthy mouse family. Their only daughter
was a good-natured young mouse, and Father Mouse and Mother Mouse
were very proud of her.

One day Father Mouse said to Mother Mouse,"Wouldn't we want our daughter
to marry the best person in the world? Who could be the greatest in all the
world?" Mother Mouse replied, "It must be Mr. Sun. He lights up the whole
world from high up in the sky."

So Father Mouse and Mother Mouse visited Mr. Sun and said, "Mr. Sun, Mr. Sun,
we beg you. You are the greatest person in the world. Will you marry our
precious daughter? Our only daughter is most good-natured, and we want her
to wed the very best groom."

But Mr. Sun answered, "Hmm. The greatest person in the world is surely not
myself but Mr. Cloud. However hard I may try to light up the world, I am
easily hidden away when Mr. Cloud comes out."

So the two went on to see Mr. Cloud. "Mr. Cloud, we have been told that you
are the greatest person in the world. Please do take our dearest daughter as
your bride," they asked.

"Oh no, there is someone greater than myself," replied Mr. Cloud.
"It's Mr. Wind. However hard I may try to cover the sky, Mr. Wind can blow
me away with a single puff."

"I see," Father Mouse and Mother Mouse said, and went off to Mr. Wind.

"Mr. Wind, as you are the greatest person in the world, we would like you to
marry our only daughter."

"Well, thank you, but there is someone who is greater than myself."

"Who is that?"

"It's Mr. Wall. However hard I blow, I just can't blow him down."

Finally, Father Mouse and Mother Mouse went to see Mr. Wall.

"Mr. Wall, please wed our daughter. We want our daughter to marry the
greatest person in the world and lead a happy life."

"Ho-ho, Father Mouse and Mother Mouse, you are quite mistaken. If you mice
nibble on me, I'm full of holes. The greatest ones in the world must be mice."

"Now, that never occurred to us. So we are the greatest in the world!"

Father Mouse and Mother Mouse went back home smiling. "Why, we mice are
the best after all. Well then, Chusuke Mouse next door gets along well with our
daughter. If the two are happy to do so, it must be best for them to marry."

So Chusuke Mouse and Daughter Mouse were happily wed. Their wedding
celebrations went on for three days and three nights, and they lived happily
ever after.

yengo หรือ buzzcity

The Rabbit and the Raccoon

The Rabbit and the Raccoon


Long long ago there lived a kind-hearted old farmer and his wife.
The two made friends with a rabbit that lived in the mountains nearby,
and came to love it as if it were their own daughter. In the same area there
also lived a mean raccoon, who constantly destroyed the old man's field.
This became so disturbing to the old man that one day he captured him.

Some days later, the rabbit dressed up in pretty clothes and lay in wait for
the raccoon. When the raccoon appeared,
she said to him: "I need to carry this firewood to the mountains but my legs
are hurting. Would you be so kind as to carry it for me?" The raccoon decided
to show off to the rabbit and hoisted the load onto his back.

The rabbit then began to strike her flint. The raccoon, unable to see because
of the heavy load on his back, asked, "Hey, what's that scratching noise?"
The rabbit replied, "It's the sound of the screechy birds from the screechy
mountain." Finally, the rabbit ignited the flame and lit the firewood.
The fire whooshed upward in a roar.

The raccoon asked, "Hey, rabbit, what is that cackling sound?"
The rabbit answered, "It's the sound of the cackling birds from the cackling
mountain."

At last, the flame burned through the wood and reached the raccoon's back.
"Ah! Help me!" cried the raccoon. Frightened and scorched, he turned and fled.

The next day the rabbit, appearing in a disguise, prepared a batch of soy bean
paste containing red hot peppers. Soon the burn-blistered raccoon came along.

The rabbit called out: "This medicine is excellent for burns. Let me rub some
on for you." The raccoon was elated and asked the rabbit to apply some to
his back.

But when the red peppers touched his burns, he screamed: "Ah, Ah, that hurts!"
He rolled around on the ground in agony, legs flailing in the air.

After the raccoon's burns healed, the rabbit put on yet another disguise and
called him over. "Would you like to go fishing?"
"Fishing?" responded the raccoon,
"Mm, that sounds good!" The rabbit then said,
"Let's build a couple of boats. I'm light so I'll build my boat out of light wood.
You're heavy so you need to make yours out of heavy mud." The greedy
raccoon was fooled again and did as he was told.

When the boats were finished they set them in the water.
The rabbit, leading the way, floated farther and farther down the river.
Soon the raccoon's boat became water-logged and started to fall apart.

"Ah, save me!" he cried. But far from saving the raccoon, the rabbit began
to hack at the boat with her oar. "This is in revenge for killing the old woman!"
Helpless, the evil raccoon sank to the bottom of the river.

yengo หรือ buzzcity

"Shiro" The Puppy

"Shiro" The Puppy

Once upon a time in a remote mountain village in Japan there lived an honest
old man and his wife.

The old man was out plowing his field one day when a little white puppy
came fleeing toward him, crying. The puppy had been mistreated by the
greedy old man who lived in the next field over. "Oh, you poor thing."
exclaimed the old man, and taking him in, gave the puppy the name
"Shiro." ("Shiro" in Japanese means white)

The old man and his wife loved Shiro very much. Shiro, in turn, became
devoted to the old couple, and helped the old man with his work in the field
every day. Shiro ate and ate, and quickly grew into a big dog.
One day, Shiro led the old man up a nearby mountain. When they reached
the top, Shiro barked, "Arf Arf - Dig here! Arf Arf - Dig here!" As the old man
began to dig, to his amazement, sparkling gold coins started pouring up from
the ground.

"Let me borrow Shiro!" The greedy old man heard about this and, grabbing
Shiro, forced him to take he and his wife to the mountain.

"Where's the gold?" the old man demanded.
Frightened, Shiro began to whimper. "Ah, so it's here," said the old man,
and he began to dig. But instead of gold coins, garbage began pouring up
from the ground.

"How dare you!" exclaimed the old man. Furious, they killed Shiro.

When the honest old couple found out about this, they were overcome with
grief. They decided to dig a grave for Shiro. Upon burying Shiro, a sapling
sprouted from the ground above his grave. By the next day, it had grown
into a towering tree.

"Shiro liked steamed rice cakes," recalled the old man.

"Let's make some to take to his grave." He chopped down the tree that had
sprung from Shiro's grave and made a mortar. Then he and his wife began
to prepare the rice cakes. As the old man pounded the rice into the mortar,
it began to turn into gold coins.

Upon seeing this, the greedy old couple rushed over.
"Give us that mortar." Stealing the mortar, they returned to their house and
began to make rice cakes. When they pounded rice,

however, it turned into black mud right before their eyes.
"What on earth?" cried the old man. Furious, he took an axe and chopped
the mortar to pieces. Then he tossed the pieces of wood into the stove
and burned them.

The honest old man was disheartened. He gathered up the ashes from
the mortar, put them in a box, and carried the box carefully back to his house.

"Let's sprinkle these ashes over the field and grow the radish that Shiro loved
so much." When the old man sprinkled the ashes, a wind swirled up and blew
the ashes into a dead tree.

Amazingly, the dead tree began to bloom beautiful cherry blossoms. He then
went and happily sprinkled ashes onto one dead tree after another, each which
thereafter bloomed brilliant cherry flowers.

News of the old man's miracle reached the town and before long, even the
ears of the king, who promptly sent for the old man.

The old man was brought to the king, carrying his box of ashes. "Now I'll
make the flowers bloom." He sprinkled the ashes onto the nearby trees,
and immediately, beautiful white cherry flowers appeared.

"Splendid!" exclaimed the king, who was very pleased. "Well done.
You are the greatest flower bloomer in all of Japan. You will be rewarded."

At that moment,
the greedy old man came running, carrying the leftover ashes which he
had gathered from the stove. "Wait! I'm the greatest flower bloomer in Japan.
" With that, he began to sprinkle his ashes. Instead of landing on the flowers,

however, the ash flew into the eyes and nose of the king, choking him.
"You impudent!" the king stormed, and promptly threw the greedy old man
into prison.

yengo หรือ buzzcity

เจ้าชายกับนักพับกระดาษ

เจ้าชายกับนักพับกระดาษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่ง เป็นคนที่มีความสามารถในการพับอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ครอบครัวของเด็กน้อยคนนี้จะเป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่ตัวเขาก็หวังว่าสักวันหนึ่ง พรอสวรรค์น้อยๆ ของเขาจะช่วยให้พ่อแม่มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นได้บ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายองค์น้อยซึ่งเป็นโอรสของพระราชา ทรงนึกอยากได้ของเล่นแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นของขวัยวันเกิด พระราชา ผู้เป็นพ่อจึงป่าวประกาศให้ประชาชนนำของเล่นสุดวิเศษมาประกวดประขันกัน ซึ่งหากของเล่นของใครเป็นที่ถูกใจเจ้าชายมากที่สุด พระราชาก็จะปูนบำเหน็จให้แก่คนคนนั้นเป็นรางวัลอย่างงาม

เมื่อวันประกวดของเล่นมาถึง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างก็นำของเล่นที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาให้เจ้าชายทรง ตัดสิน แต่หลังจากที่เจ้าชายทรงทดลองเล่นของเล่นจนเกือบครบทุกชิ้นแล้ว สายตาของทุกๆ คนในงานต่างก็จับจ้องไปที่เจ้าของของเล่นชิ้นสุดท้าย ซึ่งก็คือเด็กน้อยที่ยืนกอดกระดาษแผ่นใหญ่เอาไว้แนบอก

ผู้เข้าร่วมงานเกือบทุกคนพา กันหัวเราะเยาะเมื่อทราบว่า กระดาษที่เด็กน้อยกอดอยู่นั้น ก็คือของเล่นที่เด็กน้อยตั้งใจจะส่งเข้าประกวด แต่ทันทีที่เด็กน้อยลงมือพับกระดาษของเขา กระดาษที่แสนธรรมดาก็กลายสภาพเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึง

เด็กน้อยเริ่มแสดงฝีมือด้วย การพับกระดาษเป็นดอกไม้ จากนั้น เขาก็คลี่กระดาษออกแล้ว เปลี่ยนดอกไม้ให้กลายเป็นผีเสื้อและเพียงชั่วพริบตาเดียวหลังจากนั้น เด็กน้อยก็เปลี่ยนผีเสื้อให้กลายเป็นนก แล้วเขาก็จัดการดัดแปลงนกจนเกิดเป็นมังกรมีปีกที่ดูสง่างามได้อย่างน่าพิศวง

เด็กน้อยพับกระดาษอย่างไม่ยอมหยุดพัก ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ต่างก็พากันอ้าปากค้างต่อสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเขาได้เห็นอยู่ตรงหน้า

และแล้ว...เวลาในการตัดสินก็ มาถึง เจ้าชายทรงถูกใจของเล่นของเด็กน้อยมากที่สุด พระองค์ทรงชอบที่กระดาษแผ่นเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามจินตนาการได้ ไม่รู้จบ ในที่สุด พระราชาก็มอบรางวัลมูลค่ามหาศาลให้แก่เด็กน้อย ตามที่พระองค์ได้สัญญาเอาไว้

เด็กน้อยนำรางวัลทั้งหมดมอบ ให้พ่อกับแม่ของเขา แต่โอกาสในการแสดงความสามารถของเด็กน้อยยังไม่สิ้นสุด ลงเพียงเท่านี้ เพราะเจ้าชายยังคงขอให้เด็กน้อยมาเป็นผู้สอนการพับกระดาษแบบใหม่ ๆ ให้แก่พระองค์อยู่เสมอ และเมื่อเจ้าชายได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระบิดา พระองค์ไม่ลืมที่จะแต่งตั้ง "เพื่อนนักพับ" ของพระองค์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง "ของเล่น" เพื่อให้นักพับกระดาษ ระดับโลกผู้นี้มีโอกาสได้ใช้พรสวรรค์น้อยๆ ของเขา บันดาลความสุขและสร้างสรรค์จินตนาการให้เกิดขึ้นแก่เด็กทุกคน เฉกเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงได้สัมผัสมาด้วยตัวของพระองค์เอง

yengo หรือ buzzcity

ลูกเป็ดกับพรวิเศษ

ลูกเป็ดกับพรวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเป็ดน้อยตัวหนึ่ง เป็นลูกเป็ดที่มีขนสีขะมุกขะมอมแลดูไม่น่ารัก เจ้าเป็ดน้อยไม่ชอบสีสันของตัวเองเลย มันอยากจะเป้นลูกเป็ดที่ดูงามสง่ามากกว่าเป็ดตัวไหนๆ อยู่มาวันหนึ่งมีนางฟ้าตัวจิ๋วถูกสายลมพัดปลิวมาตกที่กลางบึงบ้านของเป็ด น้อย เมื่อลูกเป็ดเห็นนางฟ้ากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก มันจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยนางฟ้าตัวจิ๋วทันที

เมื่อนางฟ้า ตัวจิ๋วรอดพ้นจากอันตราย เธอจึงนึกอยากขอบคุณเป็ดน้อยที่มีน้ำใจให้ความช่วยเหลือนางฟ้ามอบพรวิเศษ 7 ประการให้เจ้าเป็ดเป็นของขวัญ ซึ่งเป็ดน้อยเองก็มีความสุขมากที่มันได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้

แน่นอน สิ่งที่ลูกเป็ดปรารถนาก็คือการมีขนที่งดงามกว่าเป็ดตัวอื่นๆ ดังนั้น เป็ดน้อยจึงอธิษฐานขอให้ขนของมันกลายเป็นสีขาวที่ดูแวววาวราวไข่มุก

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ลูกเป็ดก็กลายสภาพเป็นเป็ดขาวตัวน้อยที่ดูน่ารักขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เจ้าเป็ดมองเงาของตัวเองในน้ำด้วยความภาคภูมิใจ มันมีความสุขเหลือเกินที่ความฝันของมันเป็นจริงขึ้นมาได้

ในขณะนั้นเอง เจ้าลูกเป็ดนึกสนุกคิดอยากจะมีลวดลายเฉพาะตัวที่พิเศษมากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ เป็ดน้อยจึงใช้พรวิเศษที่เหลือลองแต่งแต้มลวดลายให้ตัวเองโดดเด่นมากขึ้น

ลูกเป็ดใช้พรข้อที่สอง เนรมิตให้มันมีจุดสีดำกระจายอยู่ตามตัวคล้ายกับสุนัขดัลเมเชี่ยน แต่เมื่อแปลงกายเสร็จ มันก็กลับไม่ชอบใจจุดสีดำเหล่านั้นนัก "จุดสีดำดูสกปรกจังเลย ถ้าเป็นสีที่ดูอ่อนหวานก็น่าจะดีกว่านี้อีกเยอะ" เจ้าเป็ดใช้พรข้อที่สาม เนรมิตจุดสีดำให้กลายเป็นลายดอกไม้แสนสวย แม้ลายดอกไม้จะน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่สำหรับเจ้าเป็ดน้อยตัวผู้ มันก็ดู ออกจะหวานแหววเกินไปสักหน่อย

"แบบนี้คงต้องโดนล่อแน่ๆ เปลี่ยนลายที่ดูเท่ๆ ดีกว่า" เป็ดน้อยใช้พรข้อที่สี่ เนรมิตตัวเองให้มีขนสีเหลืองสลับกับลายจุดสีน้ำตาลคล้ายกับผิวของยีราฟ แต่ทันทีที่แปลงกายเสร็จ เป็ดน้อยกลับรู้สึกว่ามันดูแย่มากกว่าเดิมเสียอีก "ลวดลายของสัตว์สี่ขาคงไม่เข้ากับเราสักเท่าไหร่ ลองใช้ลายของพวกเดียวกันบ้างดีกว่า เจ้าเป็ดใช้พรข้อที่ห้าเนรมิต ให้ตัวเองมีขนสีเขียวแซมด้วยลวดลายคล้ายกับหางนกยูงแสนสวน แม้สีสัของหางนกยูงจะงดงามยิเงนัก แต่มันกลับดูไม่เข้าท่าเมื่ออยู่บนตัวของเจ้าเป็ดน้อย

"สีแบบนี้ดูแก่จังเลข เปลี่ยนเป็นสีที่ดูสดใสอีกหน่อยดีกว่า" เป็ดน้อยใช้พรข้อที่หก เนรมิตให้ตัวเองกลายเป็นเป็ดน้อยเจ็ดสีเลียนแบบสีของรุ้งกินน้ำ ลูกเป็ดสายรุ้งดูสวยสะดุดตาชนิดที่หาเป็ดตัวใดเทียบเทียมได้ยาก ซึ่งเจ้าเป็ดน้อยเองก็ชื่นชอบสีขนและลวดลายของมันในตอนนี้มาที่สุด

ในขณะที่ลูกเป็ดกำลังชื่นชม กับขนสีรุ้งของตัวนั้น จู่ ๆ เจ้าเป็ดน้อยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนและฝูงสุนัขวิ่งตรงมายังบึงซึ่ง เป็นบ้านของมันเพื่อที่จะจับลูกเป็ดแสนสวยเอาไว้ในครอบครองให้จงได้

ลูกเป็ดตกใจมากเมื่อเห็นปืน ยาวและเขี้ยวขาวๆ ที่ดาหน้ากันเข้ามา มันจึงรีบดำผุดดำว่ายเพื่อหาที่หลบภัยอย่างไม่คิดชีวิต อนิจจา!แม้เป็ดน้อยจะพยายามหาที่ซ่อนตัวตามดงอ้อกอหญ้าสักเท่าไรแต่ด้วยสีสันที่แสน สดใสของมันก็ทำให้การซ่อนตัวนั้นไม่อาจจะเป็นไปได้

ในที่สุด เจ้าเป็ดน้อยก็ค้นพบคุณค่าของขนขะมุกขะมอมที่มันเคย รังเกียจมันตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการใช้พรข้อที่เจ็ด เนรมิตให้ตัวเองกลับกลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ดังเดิม แล้วรีบว่ายน้ำเข้าไปซ่อนตัวในกอกกที่รกทึบ เพร้อมกับซุ่มตัวพรางตนให้กลมกลืนกับดินเลนแถวๆ นั้น โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าลูกเป็ดซึ่งกำลังกลัวจนตัวสั่น และเมื่อผู้รุกรานทั้งหลายจากไป เจ้าเป็ดน้อยก็ค่อยๆ ออกจากที่ซ่อนของมันอย่างระแวดระวังเป็นที่สุด และแล้ว...ลูกเป็ดตัวน้อยก็อยู่รอดปลอดภัยด้วยขนที่แสนขะมุกขะมอมของมันนั้นเอง

yengo หรือ buzzcity

ลิงโง่กับปลาโลมา

ลิงโง่กับปลาโลมา


ในสมัยก่อน เวลาที่มนุษย์จะเดินทางไปไหนมาไหนก็จะนำลูกสุนัข หรือลิงตัวเล็ก ๆ ติดตัวไปด้วยเสมอ ในการเดินทางโดยทางทะเลครั้งหนึ่ง มนุษย์ได้พาลิงไปด้วย ในระหว่างการเดินทาง ได้เกิดพายุขึ้ จนเรือไปเกยหินโสโครกและอับปางลง มนุษย์พากันกระโดดลงทะเลเพื่อเอาชีวิตรอด

ลิงก็กระโดดตามไปด้วยปลาโลมาซึ่งว่ายน้ำอยู่ใกล้ ๆ กับเรืออับปางเห็นลิงลอยคออยู่ในน้ำ จึงเข้ามาช่วย เพราะคิดว่าเป็นมนุษย์ แล้วพาขี่หลังว่ายน้ำเข้าสู่ฝั่งด้วยความเข้าใจผิดขณะเข้าใกล้ท่าปิเรอุชเมืองท่าของกรุงเอเธนส์ ปลาโลมาก็ถามลิงขึ้นว่า เป็นชาวกรุงเอเธนส์หรือเปล่า 

ลิงตอบว่า " ใช่ " แล้วยังคุยโวขึ้นอีกว่า " ข้าน่ะ มาจากตระกูลที่เก่าแก่เชียวนะ "

ปลาโลมาพูด " ถ้าเช่นนั้น ท่านก็รู้จักปิเรอุชน่ะสิ "

ลิงได้ฟังดังนั้นก็นึกว่าปลาโลมาพูดถึงมนุษย์

จึงตอบออกไปว่า " อ๋อ แน่นอนสิ ข้ารู้จักเขาเป็นอย่างดีทีเดียวละ เขาเป็นเพื่อนสนิทของข้าเอง "

ปลาโลมาได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกเกลียดชังในความโง่เขลาของลิงเป็นอย่างยิ่ง มันสะบัดร่างลิงที่อยู่บนหลัง จนตกลงไปในทะเลถึงแก่ความตายทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การคุยโตโอ้อวด กลับทำให้ตัวเองตกต่ำ และเป็นที่เกลียดชังของผู้อื่นเสมอ

yengo หรือ buzzcity

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย


นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล

และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว
วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า

" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ " ต้นไม้ถาม
" ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น " เด็กน้อยตอบ
"ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย
...ต้นไม้ดูเศร้า......

วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ " ต้นไม้ถาม
" ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม "

" ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน "
ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข

อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....
วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมาต้นไม้ดีใจมาก
" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ " ต้นไม้ถาม
"เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม "
" ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ต้นไม้ตอบ

ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก

" ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว"

"ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ

" ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย "

" ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว "

" รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย....."

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้
หวังเพียงเรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่า " เด็กน้อย " ในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?

........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???

yengo หรือ buzzcity

หมาป่ากับหมาจิ้งจอก

หมาป่ากับหมาจิ้งจอก


หมาป่า กับ หมาจิ้งจอก ในป่าสูงแห่งหนึ่งนั้น เมื่อมันได้สาบานตัวเป็นเพื่อนตาย ไม่ทำอันตรายต่อกันและช่วยกันทำมาหากิน โดยหมาจิ้งจอกมีหน้าที่ไล่ต้อนสัตว์ป่าที่จะมาเป็นอาหาร ส่วนหมาป่าร่างใหญ่ ก็คอยจับสัตว์ป่าเหล่านั้น แล้วแบ่งกันกินอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวันไป สมเป็นเพื่อนตายโดยแท้

แต่อยู่มาไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลอันบังเกิดความแห้งแล้งกันดารทั่วไปในป่านั้น
บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายเดือดร้อนเหลือประมาณ เพราะอาหารหายากยิ่งขึ้นทุกวัน
หมาป่า กับหมาจิ้งจอกนั้น ถึงกับอดอาหารสองวันสามวันบ่อยๆ ตลอดมา

ในที่สุดหมาป่าไม่สามารถทนหิวได้ จึงกระโจนเข้ากัดหมาจิ้งจอก
เพื่อนตายของมันเพื่อหวังกินเป็นอาหารจะได้พ้นจากความตายเพราะไม่มีอะไรจะกิน
หมาจิ้งจอกก็ดิ้นร้องขึ้น ก่อนจะกลายเป็นอาหารของหมาป่า ว่า...

"เจ้าเพื่อนตายของข้า คำสาบานของเจ้าเอาไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า?"

"เจ้าหน้าโง่ เจ้าเคยเห็นคำสาบานหรือไฉน...
ใครบอกเจ้าว่าโลกนี้มีคำสาบาน
คำสาบานเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ครั้นพูดออกไปแล้วก็ไม่มีตัวตน
หรือแม้แต่เงาก็ไม่มี"

ว่าแล้วหมาป่าก็กินหมาจิ้งจอก เป็นอาหารแก้หิวในมื้อนั้นเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " ไม่มีคำมั่นสัญญาในหมู่โจร "

yengo หรือ buzzcity

หนูกัดเหล็ก

หนูกัดเหล็ก


นานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ได้แต่ใช้จ่ายทรัพย์ เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่นึกทำมาหากิน พ่อแม่จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟังในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตุ่มอย่าง
ละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทำมา ส่งผลให้เศรษฐี
ไปเกิดเป็นเทวดา

ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกำเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลัง
ก็หายหน้าไปทีละคน

อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัว
ลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไป
ร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ข้างทาง
แล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้นั้น ได้กลิ่น
เนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป
เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า กา...กา...

พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถาง
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก

ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอายตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมั่งมีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้า
ล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง

ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า

"นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทอง
เมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัวและทำตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย" เข้าฝัน

ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิม
จะตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้รับคำสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง

พอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัว
พอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อนที่เคยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน

ลูกเศรษฐียังจำวันที่เพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืม วันหนึ่งลูกเศรษฐีเห็นได้โอกาส จึงชวนเพื่อน
มากินเลี้ยงกันอีก เหมือนเมื่อยังร่ำรวยหนก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่
กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆ เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดู
พลางพูดขึ้นว่า

" อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คืนเดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง "

เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคำเชื่อตามคำพูด บางคนก็ประสมโรงพูดว่า
" จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมันร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด "
เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า " ใช่ๆ " คนละคำสองคำ

เชื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่หนูมันกัด

ลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า

" ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดไม่มีน้ำหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ
แต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สำคัญ คนย่อมยอมรับเชื่อถือ "

yengo หรือ buzzcity

เต่ากับงู

เต่ากับงู


ในกาลครั้งหนึ่งหลายร้อยปีผ่านมาแล้ว มีเต่าและงูอาศัยอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งเต่าและงูต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกันเนื่องจากต่างก็แย่งกันเป็นใหญ่ ต้องการจะเป็นราชา แห่งลุ่มน้ำนี้ งูพยายามอยู่เสมอที่จะฉกเต่าให้ตาย แต่เต่าก็จะรีบหดหัว หดขาเข้ากระดองไปทุกครั้ง งูจึงได้แต่ฉกกัดกระดองที่แข็งซึ่งไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้แก่เต่าเลย เต่าจึงหัวเราะเสียงดัง ฮ่าๆๆ แล้วกล่าวว่า

"เห็นไหม ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้ ข้าเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้ ฮ่าๆๆ"

งูโกรธมากจึงถามขึ้นว่า "ท่านทำอย่างไรจึงได้แข็งแรงอย่างนี้"

เต่าตอบว่า "ข้าแข็งแรง เพื่อนๆของข้าก็แข็งแรง ทั้งนี้เพราะพวกเราต้องตัดศีรษะของพวกเรา
ในเวลากลางคืนทุกวัน"

"เอ๊ะ น่าสนใจดีนี่ ถ้าข้าจะชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยท่านจะแสดงการตัดศีรษะให้พวกข้าดูด้วยได้ไหม"

"อ๋อ ได้ซิ" เต่าตอบตกลง

ดังนั้น ทั้งงูและเต่าต่างก็ชวนเพื่อนฝูงและครอบครัวมากันอย่างมากมาย
พวกเต่าจะอยู่ที่ฝั่งด้านหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนงูนั้นคอยเฝ้าดูอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

เต่าตัวแรกจะถือท่อนไม้แข็งไว้ และแสดงท่าเหมือนกำลังจะ
ตัดศีรษะเต่าอีกตัว ส่วนเต่าตัวอื่นๆก็ทำตาม แต่พวกเต่าไม่ได้
ตัดศีรษะจริงๆ เพียงแต่พวกมันหดศีรษะเข้าไปในกระดองเท่านั้น

พวกงูทั้งหลายหลงเชื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าสนใจ ดังนั้นในตอนสายๆ
ของวันรุ่งขึ้น มันจึงเดินทางมาหาเต่าแล้วพูดว่า

"พวกข้าต้องการตัดศีรษะทุกๆคืน จะได้แข็งแรงอย่างพวกท่าน แต่พวกเราไม่มีมือ ไม่มีเท้า
จึงอยากให้พวกท่านช่วย"

"อ๋อ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง" เต่ารีบอาสาทันทีพร้อมยิ้มอยู่ในใจ

พอตกกลางคืน เต่าทุกๆตัวต่างก็ถือท่อนไม้แข็งไว้ และใช้ท่อนไม้นี้
ตัดศีรษะของงูทุกๆตัว แต่งูไม่มีกระดองที่จะหดศีรษะไว้ข้างในได้
ดังนั้นงูจึงถูกเต่าใช้ท่อนไม้แข็งตีศีรษะจนตายทุกตัว เต่ากับงู

เมื่อพวกงูตายหมดแล้ว พวกเต่าก็ได้เป็นใหญ่
เต่าตัวที่เป็นเจ้าของความคิดก็กลายเป็นราชา
แห่งลุ่มน้ำนี้อย่างไม่มีคู่แข่งตลอดไป

yengo หรือ buzzcity

กำเนิดปลาดาว

กำเนิดปลาดาว


นานมาแล้วตั้งแต่ครั้งที่ท้องทะเลยังมีสัตว์อาศัยอยู่เพียงไม่กี่ชนิด

ในคืนที่มืดแสนมืดคืนหนึ่ง บนฟ้าไม่มีพระจันทร์ออกมาทักทายเหมือน

เช่นเคยจึงมองเห็นดาวน้อยใหญ่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า

ช้างฝูงหนึ่งกำลังพากันเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหลังจากอาหารค่ำ

ลูกช้างน้อยๆตัวหนึ่ง แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางทะเลดวงดาวทั้งหมดนั้น

มีอยู่ดวงนึงเป็นที่ดาวดวงใหญ่สวยงามกว่าดาวดวงอื่นๆ

แล้วลูกช้างน้อยก็พูดว่า “ชั้นอยากขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อหยิบดาวดวง

นั้นลงมา” ช้างทุกตัวเห็นด้วยกับเธอ

พวกเขาจึงช่วยกันคิดหาวิธีเอื้อมขึ้นไปให้ถึงดวงดาวอย่างหนัก

คิด..คิด..คิดจนปวดหัวกันไปเลย

ในที่สุดลูกช้างก็พูดขึ้นว่า “ชั้นรู้แล้ว ตามชั้นมา เราจะไปที่หน้าผาสูงกัน เพื่อขึ้นไปให้สูงที่สุด”

ฝูงช้างพากันเดินขึ้นไปบนหน้าผาที่สูงชันที่สุด ซึ่งหน้าผานี้ชะโงกยื่นล้ำไปบนท้องทะเล

ลูกช้างพูดว่า “เราต้องยืนบนหลังกันนะขี่คอกันให้สูงเลย” และแล้วภาพที่เกิดขึ้นก็คือมีช้าง

ตัวหนึ่งยืนอยู่บนหลังของช้างอีกตัวหนึ่ง แล้วก็อีกตัวหนึ่ง แล้วก็อีกตัวหนึ่งต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ

โดยมีช้างน้อยอยู่ชั้นบนสุด แล้วเธอยื่นงวงออกไปแตะดวงดาวได้สำเร็จ

“ดู! ดูนี่ซิเห็นมั้ย! ชั้นจับดาวได้แล้ว” ช้างน้อยร้องอย่างดีใจ วินาทีนั้นเอง ดวงดาวก็พลัด

หล่นลงไปในทะเล “โอว ไม่นะ ฉันทำดาวหล่นน้ำไป ดาวจมน้ำไปแล้ว ”

ในทะเล ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งเห็นดาวสวยงามตกลงมา มันรีบว่ายน้ำตรงเข้ามาทันที

เจ้าปลาฮุบกินเอาดวงดาวเข้าไปในท้อง แล้วทันใดนั้นเอง..ตัวของเจ้าปลา

ก็ค่อยๆหดเล็กลง หดเล็กลง ส่วนครีบ, หัวและหาง ก็แหลมขึ้นและกลาย

เป็นรูปร่างเหมือนดาวไปเลย

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในท้องทะเลก็จึงมีปลาดาวมาจนถึงทุกวันนี้

yengo หรือ buzzcity

อัศวินหนูผู้กล้า

อัศวินหนูผู้กล้า


ในโรงนาแห่งหนึ่งที่มีหนูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และที่นี่ยังมีเจ้าแมวแก่จอมโหดตัวหนึ่งที่คอยไล่จับหนูกินตามอำเภอใจ

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แมวโหดตัวนี้ก็แก่ตัวลง เริ่มไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะวิ่งไล่จับหนูอีก เจ้าแมวแก่จึงครุ่นคิดหาวิธีจับหนูกินโดยไม่ต้องออกแรง

วันหนึ่ง แมวเฒ่าเจ้าเล่ห์ได้เรียกหนูทั้งโรงนามาประชุมเพื่อขอสงบศึก ” หนูทั้งหลายนับแต่นี้ต่อไป ข้าสัญญาว่าจะเลิกไล่ตะครุบพวกเจ้ากินเสียที แต่ขอให้พวกเจ้าสำนึกบุญคุณที่ข้าไว้ชีวิต พวกเจ้าต้องเดินแถวเรียงหนึ่งผ่านหน้าข้าทั้งเช้าและเย็น พร้อมทั้งเอามือแตะไว้ที่หน้าผากแล้วก้มหัวต่ำๆเพื่อเป็นการแสดงความเคารพข้าด้วย ตกลงไหม ”

พวกหนูต่างดีใจกันยกใหญ่ที่จะไม่โดนจับกินอีกแล้ว พวกหนูรีบตกลงทำตามอย่างไม่สงสัย เมื่อถึงเวลา พวกหนูก็เดินเรียงแถวพร้อมทั้งทำความเคารพเจ้าแมว ซึ่งก็แกล้งนอนหมอบนิ่ง แต่ทันที่ที่หนูตัวสุดท้ายเดินเกือบพ้นแมวไป เจ้าแมวแก่ก็ตระครุบจับกิน โดยที่หนูตัวอื่นไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่ก้มหัวต่ำ เจ้าแมวแก่จอมเจ้าเล่ห์ใช้วิธีนี้จับหนูกินเรื่อยมา

จนกระทั่งวันหนึ่งหนูสองตัวคู่หู โจอี้ กับ ปีเตอร์ สังเกตเห็นว่าจำนวนประชากรหนูลดลงทุกวัน ทั้งสองเริ่มสงสัยเจ้าแมวแก่จึงวางแผนเพื่อสืบหาความจริงเรื่องนี้ แผนการมีอยู่ว่า ต่อไปนี้การออกไปหาอาหารทุกครั้งให้หนูปีเตอร์ และโจอี้เป็นเดินตัวแรกและตัวสุดท้ายปิดท้ายขบวนเสมอ และตลอดการเดินหนูคู่หูทั้งสองก็จะตะโกนเรียกชื่อกันและกันอยู่เสมอ

ปีเตอร์ “โจอี้ นายเป็นยังไงบ้าง”
ฝ่ายโจอี้ก็ร้องตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยปีเตอร์”
ทำเช่นนี้ก็จะรู้ว่าหนูทุกตัวยังอยู่ครบและปลอดภัยดี

ฝ่ายแมวแก่เจ้าเล่ห์เมื่อเจอวิธีแบบนี้เข้าก็ไม่สามารถหาช่องทางจับหนูกินได้ เพราะนอกจากจะคุมแถวแล้วโจอี้กับปีเตอร์ยังเตือนให้เหล่าหนูคอยระวังอย่าไว้ใจเจ้าแมวแก่อีกด้วย เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไปหลายวันแมวแก่หิวโซจนทนไม่ไหวเมื่อขบวนหนูเดินผ่านมาอีกครั้ง แมวแก่ก็กระโดดเข้าตะปบขบวนหนูอย่างบ้าคลั่งแต่พวกหนูระวังตัวอยู่แล้วจึงวิ่งหนีลงรูได้ทุกตัว จากนั้นไม่นานเจ้าแมวแก่ก็อดตาย

และสองหนูคู่หูโจอี้กับปีเตอร์ ก็ได้รับการยกย่องเป็น
“อัศวินหนูผู้กล้าหาญ” ของบรรดาหนูโรงนาตั้งแต่นั้นมา

yengo หรือ buzzcity

กบสาวแต่งงาน

กบสาวแต่งงาน


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งแต่งงานอยู่ด้วยกันมานานแต่พวกเขาก็ไม่มีลูก พวกเขาอยากมีลูกมากจึงสวดมนต์ต่อเทวดาวิงวอนขอให้ได้ลูกสักคน และแล้ววันหนึ่งความฝันของทั้งคู่ก็เป็นจริงเมื่อทั้งสองเปิดประตูบ้านในตอนเช้า ก็พบตระกร้าเล็กๆใบหนึ่งวางอยู่หน้าบ้าน

ในตะกร้านั้นมีกบน้อยตัวหนึ่งนอนตาใสแป๋วอยู่ สองสามีภรรยานึกเอ็นดูจึงเลี้ยงดูกบตัวนั้นเป็นลูกสาวและดูแลสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำ ให้แก่เธอ กบสาวเธอชอบร้องเพลงมาก ที่น่ามหัศจรรย์คือเธอมีน้ำเสียงไพเราะ หวานใส จนทำให้ผู้คนละแวกนั้นพากันคิดว่าเจ้าของเสียงต้องเป็นหญิงสาวแสนสวยแน่ๆ

อยู่มาวันหนึ่งมีเจ้าชายรูปงามขี่ม้าผ่านมา เจ้าชายได้ยินเสียงเพลงของกบสาวเข้า พระองค์ตกหลุมรักเจ้าของเสียงนั้นทันที เจ้าชายหยุดม้าลงมาพบกับสองสามีภรรยาเพื่อขอแต่งงานกับลูกสาวของพวกเขา

กบสาวที่แอบดูอยู่ก็หลงรักเจ้าชายในทันทีเช่นกันจึงรีบซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่าน และส่งเสียงตอบไปว่า “หม่อมฉันยินดีแต่งงานกับเจ้าชาย แต่มีข้อแม้ว่าจะปรากฏตัวให้พระองค์เห็นในห้องที่จัดเตรียมไว้เป็นการส่วนตัวเท่านั้นเพคะ”

เมื่อวันแต่งงานมาถึง เจ้าสาวกบก็นั่งรถที่ปิดมิดชิดมายังปราสาท เจ้าชายตกใจแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่าเจ้าสาวของพระองค์คือกบ พระองค์จึงจับกบสาวโยนทิ้งออกไปนอกปราสาททันที แต่ทว่าพระองค์ไม่สามารถตัดใจจากเสียงอันไพเราะของกบสาวได้ พระองค์จึงตัดสินใจขอเธอแต่งงานใหม่อีกครั้ง

คราวนี้กบสาวใช้ไก่โต้งเทียมรถเปิดประทุนของเธอ ขับไปยังปราสาท ระหว่างทางมีนางฟ้าสององค์กำลังช่วยกันหาวิธีเอาก้างปลาซึ่งติดคอเพื่อนนางฟ้าอีกองค์ออกอยู่ เมื่อนางฟ้าองค์นั้นเหลือบเห็นเจ้าสาวกบขับรถ เทียมไก่โต้งแล่นตะบึงผ่านไปก็หัวเราะ เสียงดัง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ๋า จนก้างปลากระเด็นหลุดจากคอ

นางฟ้าทั้งสามดีใจมากที่กบสาวมีส่วนสำคัญในการช่วยพวกนาง จึงให้รางวัลแก่กบสาว

นางฟ้าผู้สวมชุดสีชมพู พูดว่า “ฉันจะเนรมิตรรถม้าสีทองคันงามให้แก่เธอนะจ๊ะ” แล้วรถของกบสาวก็กลายเป็นรถสีทองหรูหราสวยงามที่สุด

นางฟ้าผู้สวมชุดสีฟ้า พูดว่า “ฉันจะเนรมิตรชุดเจ้าสาวที่สวยที่สุดให้แก่เธอ” ทันใดชุดที่กบสาวสวมอยู่ก็กลายเป็นชุดเจ้าสาวแสนสวย

และนางฟ้าผู้สวมชุดสีเหลือง ซึ่งเป็นองค์ที่ก้างติดคอ พูดว่า “ส่วนฉันผู้ที่เธอได้ช่วยเหลือมากที่สุด ฉันก็จะมอบสิ่งที่วิเศษที่สุดให้แก่เธอเช่นกัน” แล้วนางฟ้าก็โบกคทาดาว ประกายระยิบระยับพร่างพรมลงมาบนตัวของกบสาว แล้วกบสาวก็กลายร่างเป็นหญิงสาวผิวเข้มที่สวยบาดตาบาดใจไปในทันที

เมื่อกบสาวไปถึงพระราชวังเจ้าชายแทบจะไม่เชื่อสายตาว่าเจ้าสาวกบของพระองค์กลายร่างเป็นหญิงสาวที่สวยงามขนาดนี้และที่สำคัญเธอมีเสียงเพลงไพเราะที่ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังมีความสุข

yengo หรือ buzzcity

ลูกกวางน้อยกับจระเข้

ลูกกวางน้อยกับจระเข้


นานมาแล้วในป่าใหญ่แห่งแอฟริกา มีจระเข้ใจร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับฝูงที่แม่น้ำสายกว้างใหญ่ เจ้าจระเข้ร้ายคอยจ้องจับลูกกวางน้อยตัวหนึ่งกินมานานแล้วแต่ก็จับไม่ได้สักที เพราะเจ้าลูกกวางตัวนี้ฉลาดเฉลียวและว่องไวอย่าบอกใคร

จนมาวันหนึ่ง ลูกกวางอยากจะข้ามแม่น้ำสายนี้ไปเพื่อกินหญ้าอ่อนเพิ่งขึ้นใหม่ๆที่ทุ่งหญ้าอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ กวางน้อยรู้ดีว่าในแม่น้ำมีจระเข้อาศัยอยู่ และมันก็ไม่รู้ว่าจะผ่านเจ้าจระเข้ร้ายนี้ไปได้อย่างไร เจ้าลูกกวางพยายามครุ่นคิดอย่างหนักจนคิดแผนดีๆขึ้นมาได้ในที่สุด

กวางน้อยเดินไปริมฝั่งแม่น้ำแล้วก็ตะโกนเรียกจระเข้ด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่มันจะตะโกนได้ เจ้าจระเข้ได้ยินเสียงก็รีบโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำทันทีด้วยความอยากกิน “แหม แหม เจ้าลูกกวางน้อยกระดูกอ่อน วันนี้เจ้าช่างใจกล้านักที่มาร้องเรียกข้า เจ้าไม่กลัวข้าจะลากเจ้าไปกินแล้วเรอะ”

ลูกกวางน้อยแกล้งทำเป็นตัวสั่นด้วยความกลัว ดัดเสียงให้สั่นเครือแล้วพูดว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าป่า ให้มานับจำนวนจระเข้ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ เพื่อเชิญไปงานเลี้ยงใหญ่ค่ำวันนี้น่ะ ท่านช่วยบอกให้เพื่อนๆของท่านลอยตัวขึ้นมาเรียงต่อกันให้ครบทุกตัวนะ ข้าจะได้นับได้ถูกต้องครบถ้วนเดี๋ยวจัดอาหารไม่พอล่ะก็ข้าจะโดนท่านเจ้าป่าทำโทษเอาได้ อ้อ!! แล้วพวกท่านอย่าได้คิดกินข้าเชียวนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกท่านทั้งหมดจะต้องอดไปงานเลี้ยงแน่ๆ” พวกจระเข้หลงเชื่อพากันเรียกพวกพ้องขึ้นมาลอยตัวเรียงกันทอดเป็นแถวยาวจากฝั่งแม่น้ำด้านนี้ไปจนถึงฝั่งแม่น้ำด้านตรงข้ามเลยทีเดียว

เจ้าลูกกวางมองเห็นสะพานทอดตัวพร้อมให้ข้ามไปแล้ว ก็กระโดดไปบนหลังของจระเข้ทีละตัว แล้วก็ตะโกนนับไปด้วยดังๆว่า “ตัวที่ 1, ตัวที่ 2, ตัวที่ 3 .......ตัวที่ 24 จนกระทั่งมันขึ้นไปบนฝั่งด้านตรงข้ามได้สำเร็จตามแผน เจ้าลูกกวางน้อยก็หันหลังกลับมาหัวเราะยั่วเย้าฝูงจระเข้ว่า “ขอบใจนะจ๊ะลุงจระเข้ทั้ง 24 ตัว ที่ใจดีช่วยเป็นสะพานให้ข้าข้ามแม่น้ำได้สบายๆ แถมยังไม่ต้องถูกกินด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ฝ่ายจระเข้ทั้งหลายเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกก็หัวเสียมากๆฟาดหัวฟาดหางไปมาจนน้ำกระจาย และตำหนิเจ้าจระเข้ใจร้ายตัวนั้นที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนๆเสียหน้าเสียรู้ให้แก่กวางน้อย

yengo หรือ buzzcity

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก นาฬิกา

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก นาฬิกา


ในขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับสบายอยู่นั้น ยังมีเสียงดัง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก แว่วมา เสียงของใครกันนะ นั่นเป็นเสียงของ “คุณตัวกลม”นาฬิกาปลุกสีแดงที่ยังเดินแผ่วๆอยู่ในความมืด ท้องฟ้าใก้ลสว่างแล้วซินะ นาฬิกาน้อยแสนขยันทำหน้าที่ของตัวเองมาตลอดทั้งคืน อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาสั่นกระดิ่ง ปลุกด.ญ.สายไหมแล้ว นาฟิกาน้อยตื่นเต้นขึ้นทุกขณะที่เข็มเดินไปข้างหน้า

จะมีใครรู้ไหมหนอ ว่าเหล่านาฬิกาเขาตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองแค่ไหน เพื่อจะไม่ให้เดินผิดพลาดไปแม้สักนาทีเดียว คติของพวกนาฬิกาก็คือ แม้ว่าตัวเองจะเป็นแค่เครื่องจักรเล็กๆ แต่ก็จะไม่ยอมทำงานผิดพลาดเลย “พวกเรานาฬิกา รักษาเวลา ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้เราตัวเล็ก แต่ก็สำคัญ เดินผิดพลาดนั้น ทำคนวุ่นวาย”

โอ๊ยมัวแต่ร้องเพลงเชียร์เพลินเลยเรา ถึงเวลาปลุกแล้ว กรี๊งงงงงง เสียงนาฬิกาดังขึ้น ด.ญ.สายไหม พลิกตัวแล้วค่อยๆยืดแขนขึ้นไปจับนาฬิกากดปุ่มปิดเสียงอย่างงัวเงีย ห้าว...เช้าแล้วซิ เด็กสาวตากลม ผมสั้นลุกขึ้นจากเตียงนอนไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงเรียนเหมือนทุกวัน “ขอบใจนะจ๊ะคุณตัวกลมที่ปลุกฉัน” คุณตัวกลมยิ้ม..เราโชคดีจังที่เป็นนาฬิกาของสายไหม

ณ บ้านติดกันนั้นก็ยังมีนาฬิการูปอุลต้าแมน สุดเท่ กำลังร้องเพลงปลุกดังสนั่น แต่ในใจของนาฬิกาอุลต้าแมนนั้นหวาดกลัวมาก เพราะเขาเป็นนาฬิกาปลุกของตังเม เด็กชายจอมกวนที่ปิดเสียงนาฬิกาด้วยการขว้างมันลงพื้นทุกวันน่ะซี นั่นๆ ตังเมพลิกตัวแล้ว กลิ้งมาทางนี้แล้ว เค้าจับชั้นแล้ว โอ๊ย..อย่านะ อั่ก เสียงนาฬิกาถูกขว้างลงบนพื้นตามเคย นาฬิกาอุลต้าแมนจุกจนต้องเงียบเสียงลงในที่สุด เฮ้อทำไมเราต้องมาเป็นนาฬิกาของนายตังเมจอมโหดด้วยนะ

วันนี้นาฬิกาอุลต้า รู้สึกว่าเข็มยาวของเขาเดินขยับผิดปกติแล้ว มันออกแรงยกมากขึ้นเพื่อหมุนเข็มให้ขยับเดินต่อไป แต่ก็ทำได้ไม่ดีพอ แย่แล้วซิเรา วันต่อๆไปอาการของเข็มยาวก็ยิ่งชัดเจนขึ้นหลังถูกขว้างๆ ๆ ๆ จนในที่สุดคืนก่อนวันสอบของด.ช.ตังเม นาฬิกาอุลต้า ผืนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาเดินช้าลงถึง 1 ชม. ซึ่งนั่นก็ทำให้ตังเมตื่นสายกว่าปกติ แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว จนไปถึงโรงเรียน ปรากฏว่าเพื่อนๆในห้องเริ่มทำข้อสอบกันแล้ว มาสายซะแล้วซี เป็นไปได้ไงเนี่ย

เขาแปลกใจมาก เมื่อรู้ว่าสาเหตุเพราะนาฬิกาของเขาเดินช้าลงมาก จึงรีบเอาไปซ่อมและคุณช่างก็เตือนว่าอย่าทำให้นาฬิกาตกพื้นบ่อยๆนะเครื่องจะรวนเสียหายแบบนี้แหละ
ด.ช.ตังเม ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะไม่ขว้างนาฬิกาอุลต้าแมนอีกแล้วเพราะเขาเข็ดแล้วไม่อยากไปโรงเรียนสายอีก

yengo หรือ buzzcity

ดอกเข็มหลงผิด

ดอกเข็มหลงผิด


ณ สวนดอกไม้ที่สวยงามมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง ตลอดทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมความงามของสวนนี้ไม่เคยขาด เป็นเพราะเจ้าของสวนและคนทำสวนเอาใจใส่ดูแลจัดแต่งดอกไม้, ต้นไม้ ด้วยความรัก ทำให้สดชื่นสวยงามอยู่เสมอ มีทั้งดอกกุหลาบ พิทูเนีย รักเร่ ทิวลิป ดอกไม้แต่ละแปลงก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดีบานสลับสีเหลือง แดง ม่วง ขาว สวยงามบาดตา

อยู่มาวันหนึ่งดอกเข็มที่ถูกปลูกไว้เป็นแนวริมทางเดินในสวนก็เกิดน้อยใจขึ้นมา เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาในสวน ก็พากันไปถ่ายรูปกับดอกไม้สวยๆ ไม่เคยมีใครอยากมาถ่ายรูปกับพวกตนบ้างเลย

ดอกเข็มดอกหนึ่งพูดขึ้นว่า “นี่พวกเราดูซิ ที่แปลงกุหลาบนั่นมีคนเข้าคิวรอถ่ายรูปอีกแล้ว ทำไมไม่มีใครมาสนใจเราบ้างเลย เราเป็นดอกไม้ไร้คุณค่าจริงๆ”

ดอกเข็มอีกดอกเสริมขึ้น “ใช่ๆ ชั้นก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ขนาดชูดอกก็แล้วพยายามโบกไหวก็แล้ว ไม่มีใครมาถ่ายรูปพวกเราเลย น่าน้อยใจจริงๆ” แล้วพวกดอกเข็มก็พากันร้องไห้ด้วยความน้อยใจและอิจฉาดอกไม้อื่นๆ

ดอกเข็มอีกดอกพูดว่าชั้นคิดแผนการออกแล้ว เราขอให้พวกแมลงช่วยดีกว่า แล้วเหล่าดอกเข็มในแปลงก็ตกลงกับฝูงแมลงว่าขอให้แมลงไปวางไข่ไว้ที่ดออกไม้อื่นๆให้ทั่วสวน ถ้าคุณแมลงตกลงพวกเราดอกเข็มจะให้น้ำหวานแสนอร่อยเป็นรางวัล

พวกแมลงก็ตกลงรับงานนี้เพราะใครๆก็รู้ว่าน้ำหวานจากดอกเข็มนั้นอร่อยมากๆ พวกแมลงพากันไปวางไข่ไว้ที่ดอกไม้ต่างๆทั่วทั้งสวน ผ่านไปเพียง 7 วันลูกหนอนเล็กๆก็ฟักออกจากไข่พร้อมกันดอกไม้ทุกดอกในสวนต่างมีหนอน เหล่าหนอนก็กัดกินดอกไม้ด้วยความหิวและโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนดอกไม้ที่เคยสวยงามกลับมีแต่ดอกไม้กลีบแหว่ง ใบขาด บางต้นก็ถึงกับตายไปเลย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวมาชมสวนอีกเลย เจ้าของสวนจึงขาดรายได้นานเข้าก็ต้องปลดคนทำสวนออกและปิดกิจการลงในที่สุด

เมื่อประตูของสวนปิดลงอย่างถาวร ไม่มีดอกไม้สวยๆบานอยู่ในสวนอีกต่อไป เหลือเพียงดอกเข็มเท่านั้นไม่มีคู่แข่งอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครมาเที่ยวชมสวนแล้วเช่นกัน ถึงตอนนี้ดอกเข็มทั้งหลายก็เข้าใจแล้วว่าการที่ตนวางแผนทำร้ายคนอื่นนั้น มันย่อมส่งผลร้ายมาถึงตัวเองด้วย

นิทานเรื่องนี้ ตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ดังนั้นเด็กดีต้องไม่คิดร้ายต่อผู้อื่นนะคะ

yengo หรือ buzzcity

The Man and the Wooden God (ชายคนหนึ่ง กับ รูปเทพเจ้าสลักด้วยไม้)

The Man and the Wooden God (ชายคนหนึ่ง กับ รูปเทพเจ้าสลักด้วยไม้)


ในสมัยโบราณ คนเรามักจะทำการกราบไหว้บูชารูปปั้นดินเผา หรือรูปแกะสลักหินหรือรูปภาพในศาลเจ้าต่างๆ โดยอ้อนวอนให้เทพเจ้าเหล่านั้นประทานพรประทานความโชคดีแก่ตน

เรื่องมันมีอยู่ว่า

มีชายผู้หนึ่งมักจะสวดอ้อนวอนต่อรูปบูชาไม้ ซึ่งเขาได้รับตกทอดมาจากบิดา อยู่เสมอ ๆ แต่โชคชะตาของเขาก็มิได้เปลี่ยนแปลงดีขึ้นแต่ประการใด เขาสวดอ้อนวอนวันแล้ววันเล่า แต่เขาก็ยังคงเป็นคนอับโชคอยู่ร่ำไป 

วันหนึ่ง ด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด เขาได้ย่างสามขุมเข้าไปหาเทพเจ้าไม้ของเขา แล้วก็เอาท่อนไม้หวดอย่างแรงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็ทำให้มันล้มลงมาจากฐานที่ตั้ง รูปบูชานั้นก็แตกหักออกเป็นสองท่อน เขาเห็นอะไรรึ ? มีเงินเหรียญจำนวนมากมาย ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณนั้น

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน ฝืนใจฝึกพูดโกหก

เรื่องสั้นตามคำสอน ฝืนใจฝึกพูดโกหก


ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เบิร์ดนั่งตรงข้ามกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาพูดไปตามมารยาทว่า 
“คุณสวยจริงๆ ครับ”

ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่าขอบคุณ เธอพูดออกไปอย่างยโสว่า
“น่าเสียใจ ฉันไม่อาจชมว่าคุณหล่อเหมือนที่คุณชมว่าฉันสวยได้”

เบิร์ดจึงพูดออกไปอย่างสุภาพว่า
“ไม่เป็นไรครับ แต่คุณควรฝืนใจฝึกพูดโกหกเหมือนผมบ้างก็ได้นะครับ”

ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอับอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อคุณป้วนน้ำลายขึ้นฟ้า คนที่เปื้อนอาจเป็นตัวคุณเอง

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน ดาวคณะ

เรื่องสั้นตามคำสอน ดาวคณะ


ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เด็กสาวหน้าตาไม่สวยมาก เธอสมัครเป็นดาวคณะ ตอนที่เธอเดินออกมาแนะนำตัว ต่อหน้าเพื่อนนิสิต เธอบอกว่า “หากเพื่อนๆ เลือกฉัน อีกสิบปีข้างหน้า เพื่อนๆ สามารถอวดกับลูกๆ และสามีได้ว่า ในปีที่แม่เรียนอยู่ แม่สวยกว่าดาวของคณะ”

เมื่อถึงเวลาเลือกดาวคณะ ปรากฏว่าเธอชนะ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การโน้มน้าวให้คนอื่นยอมรับคุณ ไม่จำเป็นต้องบอกความพิเศษ/โดดเด่นของคุณ แต่ควรทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เพราะคุณ พวกเขาจึงมีความพิเศษและโดดเด่นขึ้น

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน เสือสองตัว

เรื่องสั้นตามคำสอน เสือสองตัว


มีเสืออยู่สองตัว ตัวหนึ่งอยู่ในกรง อีกตัวหนึ่งอยู่ในป่า สั้งสองต่างคิดว่า ที่ที่มันอยู่นั้นไม่น่าอยู่เลย ต่างอิจฉาการดำเนินชีวิตของกันและกัน

วันหนึ่ง พวกมันแลกที่อยู่กัน ต่างก็มีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่ ต่อมาไม่นาน เสือทั้งสองตัวก็ตายลง ตัวหนึ่งอดตายอยู่ในป่า อีกตัวหนึ่งตายเพราะซึมเศร้าอยู่ในกรง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรา เรามักไม่ถนอมรักษาในสิ่งที่เรามีอยู่ แต่มักอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี แท้จริงแล้ว สิ่งที่คุณมีนั่นเอง คือสิ่งที่คนอื่นอิจฉา

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน กระต่ายตกปลา

เรื่องสั้นตามคำสอน กระต่ายตกปลา


วันที่ 1 กระต่ายออกไปตกปลา กลับมาตัวเปล่า ไม่ได้ปลากลับมาเลย
วันที่ 2 กระต่ายไปตกปลาอีก แต่ก็กลับมาตัวเปล่าเช่นเคย
วันที่ 3 เมื่อกระต่ายไปถึงบ่อปลา ปลาตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นจากน้ำ และตะโกนว่า “ถ้านายยังเอาแครอทมาเป็นเหยื่ออีก นายก็ต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกแน่”


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คุณให้ในสิ่งที่คุณชอบแก่คนอื่น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ อุทิศให้ในแบบของคุณ ย่อมไม่มีค่า

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน สามีกับภรรยา

เรื่องสั้นตามคำสอน สามีกับภรรยา


ภรรยากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว สามีคอยกำกับอยู่ข้างๆ
“คนเบาๆ ช้าๆหน่อย ระวังหน่อยสิ ไฟแรงไป เร็วๆ รีบพลิกปลาได้แล้ว ตักออกมาสิ น้ำมันเยอะไปนะ คีบเต้าหู้วางให้ตรง ๆ สิ”

ภรรยาสุดทน
“นี่คุณ ฉันทำกับข้าวเป็น พูดอยู่ได้”

ผู้เป็นสามีบอก
“ที่รัก ผมรู้ว่าคุณทำเป็น”

“ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่า เวลาที่ผมขับรถแล้วคุณคอยกำกับ ให้ผมเบรก ให้ผมเร็ว ให้ผมระวัง ให้ผมแซงนั้น ผมรู้สึกยังไง”

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณต้องยืนอยู่ในจุดของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเอง

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน หนูตกถังข้าวสาร

เรื่องสั้นตามคำสอน หนูตกถังข้าวสาร


หนูตัวหนึ่งตกลงไปในถังข้าวสาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ มันดีใจมาก มันคิดว่ามันโชคดี จึงกินขาวสารนั้นอย่างอิ่มหมีพีมัน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เป็นอยู่อย่างนี้หลายวัน

วันหนึ่งตอนที่มันกินจนเห็นพื้นของถังข้าวสาร มันฉุกคิด แต่ข้าวสารในถังก็ยั่วยวนเหลือเกิน มันกินจนข้าวสารหมดถัง

ถึงตอนนี้มันถึงรู้ว่า ปีนออกจากถังไม่ได้อีกแล้ว

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การใช้ชีวิตของเรา แม้ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่แท้ที่จริงมันเต็มไปด้วยกับดักและหลุมพลางที่แยบยล

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ชายชรากับลังเหล็ก

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ชายชรากับลังเหล็ก


กาลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่คนหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มของลุงคนนี้นั้นเค้าได้เป็นถึงหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำมีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงคนนี้ไม่เคยเลยที่จะเก็บเงินเก็บทองมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเคนนี้ป็นคนจิตใจดีใครมาหยิบยืมก็ให้และยัง เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนอยู่เยอะมาก จวบจนกระทั่งคุณลุงคนนี้เกษียณอายุ และปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยบ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น “ทำไมคุณพ่อถึงไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ ”

วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น “รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ก็ทานเสียหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านคนอื่นบ้าง” เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอดเวลา แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า “พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำใจต้องไปช่วยเขาจริงๆ” ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจกันยกใหญ่ ต่างสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป

เมื่อครบกำหนด 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า “ลังอะไรรึพ่อ” คุณลุงตอบกลับไปว่า “เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายแล้วหละก็ พ่อจะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมดเลย” ปรากฏว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบเฟ้นให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาอกเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปีเห็นจะได้ คุณลุงท่านนี้ก็ได้เสียชีวิตลง หลังงานศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็กแล้ว พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า


ถึงลูก ๆ ที่รักทุก ๆ คน ก่อนอื่นพ่อต้องขอขอบคุณก้อนหินทุก ๆ ก้อนในลังเหล็กใบนี้ ที่ได้เลี้ยงดูชีวิตพ่อจนถึงวาระสุดท้าย พ่อขอให้ลูก ๆ แบ่งก้อนหินในถังเหล็กใบนี้คนละเท่า ๆ กัน เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้พวกเจ้าหมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่เวลาพวกเจ้าแก่ตัวลงจะได้ไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชเยี่ยงพ่อ

รักลูก จากพ่อ



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง จำปาสี่ต้น

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง จำปาสี่ต้น


หนังสือผูกเรื่อง จำปาสี่ต้น พบที่ ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จารึกบนใบลานด้วยอักษรไทยน้อย เป็นนิทานเลียนแบบชาดก มีเนื้อเรื่องอยู่ว่า

ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่ง โดยตามภาษาลาวแล้วจะเรียกกันว่า เจ้ามหาชีวิต พระองค์ทรงปกครองเหล่าไพร่ฟ้าด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา โดยพระองค์มีมเหสี 2 องค์ คือ มเหสีฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย อยู่มาวันหนึ่งมีนายพรานได้เข้ามากราบทูลต่อพระองค์วว่า มีโขลงช้างป่าเข้ามาในพระราชอาณาเขต ซึ่งตามปกติแล้วก็มักจะต้องเสด็จออกไปคล้องช้างด้วยพระองค์เอง แต่ในช่วงเวลานั้นพระมเหสีฝ่ายขวากำลังจะประสูติ พระองค์ทรงเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง แต่ในที่สุดแล้วก็ทรงตัดสินพระทัยออกจากพระนครเพื่อไปคล้องช้างป่าโขลงนั้น

หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จไปได้เพียงสามวัน พระมเหสีฝ่ายขวาก็ทรงประสูติโอรสออกมาถึงสี่พระองค์ พระมเหสีฝ่ายซ้ายทราบเรื่องเข้าก็ทรงอิจฉา คิดอุบายโดยสั่งให้คนสนิทไปหาลูกสุนัขที่ออกใหม่มาสี่ตัว แล้วลอบเข้าไปสับเปลี่ยน ส่วนโอรสทั้งสี่นั้นให้เอาไปใส่แพลอยน้ำเสีย
เมื่อเจ้ามหาชีวิตเสด็จกลับมายังพระนครทรงได้ทราบเรื่อง ไม่ได้ทรงสอบสวนเรื่องราว ทรงขับไล่พระมเหสีฝ่ายขวาให้ออกจากพระนครไป เพราะถือว่าเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้น ฝ่ายโอรสทั้งสี่นั้นได้ถูกหญิงชราชื่อว่า แม่คำพา พบเข้าและนำกลับไปเลี้ยงด้วยความยินดีเนื่องเพราะนางไม่มีบุตร นางได้เลี้ยงดูโอรสทั้งสี่เป็นอย่างดีเหมือนกับเป็นลูกของนางเอง
ต่อมาวันหนึ่งมเหสีฝ่ายซ้ายรู้ว่าเด็กทั้งสี่นั้นยังไม่ตาย จึงสั่งให้คนสนิทนำยาพิษไปให้โอรสทั้งสี่กินจนเสียชีวิต นางคำพาเกิดเสียใจเป็นยิ่งนัก นางได้ฝังร่างของโอรสทั้งสี่ไว้ในสวน และในไม่ช้าก็มีต้นจำปาสี่ต้นเจริญเติบโตขึ้นเหนือหลุมฝังศพทั้งสี่

เมื่อมเหสีฝ่ายซ้ายทราบเรื่องต้นจำปาทั้งสี่ นางได้สั่งให้ทหารไปโค่นต้นจำปานั้นลงและสั่งให้เอาไปโยนทิ้งน้ำ ขณะที่ต้นจำปาทั้งสี่ลอยไปตามน้ำ พระภิกษุรูปหนึ่งผ่านมาพบและเห็นว่าต้นจำปายังสดอยู่จึงเก็บเอาขึ้นมาจากน้ำ แต่เมื่อเด็ดดอกจำปาออกจากกิ่งแทนที่จะมีน้ำหรือยางไหลออกมา กลับกลายเป็นเลือดสด ๆ ไหลรินออกมาจากก้าน พระภิกษุองค์นั้นจึงไปหาฤาษีเล่าเรื่องให้ฟัง ฤาษีนั่งทางในก็รู้เรื่องราวโดยตลอด จึงทำน้ำมนตร์รดต้นจำปาทั้งสี่ ต้นจำปานั้นกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ฤาษีก็สั่งสอนศิลปะวิทยาการต่าง ๆให้

เมื่อทั้งสี่เล่าเรียนวิชาสำเร็จแล้วก็กราบลาพระฤาษีออกเดินทางไปหาพระบิดา เมื่อมาถึงพระนครก็ให้คนเข้าไปกราบทูลพระราชาว่าโอรสทั้งสี่ของพระองค์กลับมาแล้ว พระราชากริ้วมาก เพราะยังทรงเข้าพระทัยผิดว่ามเหสีฝ่ายขวาประสูติออกมาเป็นสุนัข จึงมีรับสั่งให้ทหารออกไปจับตัว แต่ไม่มีทหารคนไหนสู้กับโอรสทั้งสี่ได้ ทหารจึงเข้าไปกราบทูลพระราชาทำให้พระองค์ทวีความโกรธมากขึ้น จะเสด็จออกรบด้วยตัวเอง แต่เมื่อเจ้ามหาชีวิตยิงธนู ลูกธนูที่ยิงไปนั้นกลับกลายเป็นขนมไปสิ้น ครั้นชายทั้งสี่ยิงธนู ลูกธนูกลับกลายเป็นดอกไม้ พระราชาเห็นดังนั้นทรงแน่พระทัยว่าชายหนุ่มทั้งสี่นั้นเป็นโอรสของพระองค์เป็นแน่ เทพยดาจึงได้ดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ เมื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ให้คนไปรับมเหสีฝ่ายขวากลับเข้าวัง ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายถูกขับไล่ออกไปอยู่นอกพระนคร ตั้งแต่นั้นทั้งหมดได้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หมอลำจัมโบ้

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หมอลำจัมโบ้


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ณ วัดป่าถ้ำสามพระเณร และ หมู่บ้านโคกอีเต่า โดยมีอยู่วันหนึ่ง เจ้าอาวาสที่วัดป่าถ้ำสามพระเณรได้รับโทรศัพท์จากโยมทางกรุงเทพ มีใจความว่า เดือนหน้าจะทำผ้าป่ามาถวายวัด ซึ่งเจ้าอาวาสก็ยินดีเป็นยิ่งนัก เพราะนานที จะมีผ้าป่ามาทอดที่วัดสักทีหนึ่ง หลังจากนั้นมา ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าอาวาสก็ได้ประชุมกับทางผู้ใหญ่บ้าน ว่าให้เตรียมตัวรับคณะผ้าป่าจากกรุงเทพไว้ โดยได้จัดเตรียมจัดการเตรียมการจ้างหมอลำ และหนัง โดยหนังก็หนัง 2 จอ ทางชาวบ้านก็ไม่พอใจบอกว่าจะเอาคณะใหญ่ๆ แพงๆ ให้สมกับที่เป็นการรอคอยผ้าป่าที่ไม่เคยมีขึ้นเลยในรอบเกือบ 20 ปี เณรก็เลยบอกว่า น่าจะมีลำกลอน ลำเดิน ลำเพลิน ลำซิ่ง ให้ครบไปเลย ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดที่จะหาที่ใดในภาคอีสานเทียบกับงานนี้ได้เลย

และแล้วก็ถึงวันงาน ผู้คนมาดูเที่ยวงานอย่างเนืองแน่น หมอลำคณะต่างๆ ก็พากันเล่นจบไปก่อนคณะผ้าป่า 2 วัน วันที่ 3 คณะผ้าป่าก็มา ผ้าป่าก็ได้ทอดสมใจของผู้มีจิตศรัทธา เณรได้ฉีกซองผ้าป่าออกมานับเงินดูแล้ว ปรากฎว่า ยอดเงินที่คณะผ้าป่านำมาทอดนั้น รวมทั้งหมดเบ็ดเสร็จ 40,512 บาท เจ้าอาวาทรู้เช่นนั้นตกใจจนเป็นลม ฟื้นอีกทีก็ไปฟื้นที่อนามัย ทว่าในใจคิดว่า คงได้ขายวัดชดใช้ค่าหมอลำเป็นแน่ เฮ่อ “หมอลำจัมโบ้” จริงๆ


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง โอ่งวิเศษ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง โอ่งวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้ยากไร้กับภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ชายผู้นี้มีชื่อว่า “อาเหลา” ในบ้านของอาเหลามีปู่อาศัยร่วมอยู่ด้วย คุณปู่อายุมากแล้ว
ไม่มีใครทราบว่าอายุของคุณปู่ อายุเท่าไหร่ แม้ตัวคุณปู่เองก็จำไม่ได้เสียด้วย

บุตรหลานที่ดีควรจะดูแลเลี้ยงดูบรรพบุรุษ แต่อาเหลาและภรรยานั้น
ไม่ได้มีแก่ใจที่จะสนใจดูแล จัดหาอาหารการกินให้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซ้ำยังให้ทำงานหนัก
แม้ว่าคุณปู่จะไร้เรี่ยวแรงแล้วก็ตาม

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาขุดพบโอ่งเก่าในทุ่งนา
“โอ่งใบนี้น่าจะใช้เก็บน้ำได้” อาเหลาคิดอยู่ในใจ จึงได้แบกโอ่งกลับบ้าน
พอถึงบ้านก็ให้ภรรยา ขัดทำความสะอาดโอ่ง พอดีแปรง
หลุดจากมือหล่นลงไปในโอ่ง ในทันใดนั้นเองโอ่งก็มีแปรงเต็มทั้งโอ่ง
ไม่ว่าจะเอาแปรงออกมามากเท่าใดก็ตาม ในโอ่งก็ยังมีแปรงเต็มเสมอ
“เราน่าจะเอาแปรงไปขายที่ตลาด” อาเหลาบอกกับภรรยา

อาเหลาเอาแปรงไปวางขายในตลาด ในไม่นานก็เก็บเงินได้มากมาย
เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็จับจ่ายซื้ออาหารรสเลิศ และเสื้อผ้างดงามต่างๆมากมาย
แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนึกถึงคุณปู่เลยแม้แต่น้อยนิด

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาทำแท่งทองหล่นลงไปในโอ่ง แปรงหายวับไปจากโอ่ง
อาเหลาใจหายวาบเมื่อมองเห็นโอ่งว่างเปล่า แต่ทว่าในนาทีถัดมาโอ่งวิเศษก็มีแท่งทอง
เต็มอัดแน่นอยู่แทน อาเหลาตะโกนเรียกภรรยาเสียงหลง “มาดูอะไรนี่ มาดูนี่ นี่ไง”
เมี่อผู้เป็นภรรยามองเห็นทองอัดแน่นอยู่ในโอ่งวิเศษ เธอสุดแสนที่จะดีใจ

อาเหลาขนทองคำออกจากโอ่งวิเศษได้ไม่รู้จบสิ้น อาเหลาสร้างบ้านหลังใหญ่
ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายประดุจเจ้าผู้ครองนครก็ไม่ปาน

อาเหลาบังคับให้ปู่ตักแท่งทองออกจากโอ่งวิเศษเพื่อให้ทองคำ
ขึ้นมาเต็มโอ่งอยู่เสมอ เมื่อใดที่พ่อเฒ่าพักหายใจ
อาเหลาจะตะคอกดุด่าให้ทำงานต่อไป

ต่อมาวันหนึ่ง คุณปู่พลัดตกลงไปในโอ่งวิเศษ ทองแท่งในโอ่งหายวับไป
อีกไม่กี่อึดใจ คุณปู่ก็ค่อยๆปีนออกมาจากโอ่งวิเศษ ทีละคนๆ
เมื่ออาเหลากับภรรยาเห็นดังนั้น ฝ่ายภรรยาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงว่า
“รีบทำอะไรสักอย่างซิ ก่อนจะมีปู่ออกมาอีก”

อาเหลาจึงรีบหยิบพลั่วหวดใส่โอ่งวิเศษอย่างเต็มแรง โอ่งวิเศษแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ก็สายเกินไปแล้ว อาเหลามีคุณปู่ถึง 6 คน ในตอนนี้ แล้วอาเหลาก็ตะคอกดุด่า
คุณปู่ทุกคนด้วยเสียงอันดัง แต่คุณปู่ทั้งหกหาได้เกรงกลัวอาเหลาไม่
คุณปู่ทั้งหกช่วยกันขับไล่สองสามีภรรยาให้ออกไปอยู่นอกบ้าน

อากาศข้างนอกบ้านหนาวมาก อีกทั้งยังมีลมพัดกรรโชกอีก ทำให้หนาวเข้าไปถึงในกระดูก สองสามีภรรยาหนาวสั่น
และเริ่มรู้สึกหวาดกลัว อาเหลาและภรรยาจึงเคาะประตูขอร้องและวิงวอนว่า
“ได้โปรดเถิดคุณปู่ เปิดประตูรับพวกเราด้วย อย่าปล่อยให้เราหนาวตายอยู่ข้างนอกบ้านนี้เลย”

คุณปู่ในบ้านส่งเสียงตอบกลับมาว่า
“มีกี่ครั้งที่ข้าร้องขอความกรุณาจากเจ้า แต่พวกเจ้าไม่เคยรับฟังข้าเลย”

“ได้โปรดเถิดคุณปู่ เราทั้งสองสำนึกผิดแล้วและก็เสียใจในการกระทำนั้นแล้ว ได้โปรดอภัยให้เราสองคนด้วยเถิด”
อาเหลาร้องวิงวอนเสียงกระเส่า

ในท้ายที่สุด คุณปู่ก็เปิดประตูรับทั้งสองเข้าบ้านด้วยความสงสาร

นับจากวันนั้นมา อาเหลากับภรรยากลายเป็นคนใหม่ เอาใจใส่ดูแล
เลี้ยงดูคุณปู่ทั้งหกเป็นอย่างดี

yengo หรือ buzzcity