เรื่องสั้นตามคำสอน ฝืนใจฝึกพูดโกหก

เรื่องสั้นตามคำสอน ฝืนใจฝึกพูดโกหก


ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เบิร์ดนั่งตรงข้ามกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาพูดไปตามมารยาทว่า 
“คุณสวยจริงๆ ครับ”

ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่าขอบคุณ เธอพูดออกไปอย่างยโสว่า
“น่าเสียใจ ฉันไม่อาจชมว่าคุณหล่อเหมือนที่คุณชมว่าฉันสวยได้”

เบิร์ดจึงพูดออกไปอย่างสุภาพว่า
“ไม่เป็นไรครับ แต่คุณควรฝืนใจฝึกพูดโกหกเหมือนผมบ้างก็ได้นะครับ”

ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอับอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อคุณป้วนน้ำลายขึ้นฟ้า คนที่เปื้อนอาจเป็นตัวคุณเอง

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน ดาวคณะ

เรื่องสั้นตามคำสอน ดาวคณะ


ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เด็กสาวหน้าตาไม่สวยมาก เธอสมัครเป็นดาวคณะ ตอนที่เธอเดินออกมาแนะนำตัว ต่อหน้าเพื่อนนิสิต เธอบอกว่า “หากเพื่อนๆ เลือกฉัน อีกสิบปีข้างหน้า เพื่อนๆ สามารถอวดกับลูกๆ และสามีได้ว่า ในปีที่แม่เรียนอยู่ แม่สวยกว่าดาวของคณะ”

เมื่อถึงเวลาเลือกดาวคณะ ปรากฏว่าเธอชนะ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การโน้มน้าวให้คนอื่นยอมรับคุณ ไม่จำเป็นต้องบอกความพิเศษ/โดดเด่นของคุณ แต่ควรทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เพราะคุณ พวกเขาจึงมีความพิเศษและโดดเด่นขึ้น

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน เสือสองตัว

เรื่องสั้นตามคำสอน เสือสองตัว


มีเสืออยู่สองตัว ตัวหนึ่งอยู่ในกรง อีกตัวหนึ่งอยู่ในป่า สั้งสองต่างคิดว่า ที่ที่มันอยู่นั้นไม่น่าอยู่เลย ต่างอิจฉาการดำเนินชีวิตของกันและกัน

วันหนึ่ง พวกมันแลกที่อยู่กัน ต่างก็มีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่ ต่อมาไม่นาน เสือทั้งสองตัวก็ตายลง ตัวหนึ่งอดตายอยู่ในป่า อีกตัวหนึ่งตายเพราะซึมเศร้าอยู่ในกรง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรา เรามักไม่ถนอมรักษาในสิ่งที่เรามีอยู่ แต่มักอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี แท้จริงแล้ว สิ่งที่คุณมีนั่นเอง คือสิ่งที่คนอื่นอิจฉา

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน กระต่ายตกปลา

เรื่องสั้นตามคำสอน กระต่ายตกปลา


วันที่ 1 กระต่ายออกไปตกปลา กลับมาตัวเปล่า ไม่ได้ปลากลับมาเลย
วันที่ 2 กระต่ายไปตกปลาอีก แต่ก็กลับมาตัวเปล่าเช่นเคย
วันที่ 3 เมื่อกระต่ายไปถึงบ่อปลา ปลาตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นจากน้ำ และตะโกนว่า “ถ้านายยังเอาแครอทมาเป็นเหยื่ออีก นายก็ต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกแน่”


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คุณให้ในสิ่งที่คุณชอบแก่คนอื่น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ อุทิศให้ในแบบของคุณ ย่อมไม่มีค่า

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน สามีกับภรรยา

เรื่องสั้นตามคำสอน สามีกับภรรยา


ภรรยากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว สามีคอยกำกับอยู่ข้างๆ
“คนเบาๆ ช้าๆหน่อย ระวังหน่อยสิ ไฟแรงไป เร็วๆ รีบพลิกปลาได้แล้ว ตักออกมาสิ น้ำมันเยอะไปนะ คีบเต้าหู้วางให้ตรง ๆ สิ”

ภรรยาสุดทน
“นี่คุณ ฉันทำกับข้าวเป็น พูดอยู่ได้”

ผู้เป็นสามีบอก
“ที่รัก ผมรู้ว่าคุณทำเป็น”

“ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่า เวลาที่ผมขับรถแล้วคุณคอยกำกับ ให้ผมเบรก ให้ผมเร็ว ให้ผมระวัง ให้ผมแซงนั้น ผมรู้สึกยังไง”

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณต้องยืนอยู่ในจุดของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเอง

yengo หรือ buzzcity

เรื่องสั้นตามคำสอน หนูตกถังข้าวสาร

เรื่องสั้นตามคำสอน หนูตกถังข้าวสาร


หนูตัวหนึ่งตกลงไปในถังข้าวสาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ มันดีใจมาก มันคิดว่ามันโชคดี จึงกินขาวสารนั้นอย่างอิ่มหมีพีมัน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เป็นอยู่อย่างนี้หลายวัน

วันหนึ่งตอนที่มันกินจนเห็นพื้นของถังข้าวสาร มันฉุกคิด แต่ข้าวสารในถังก็ยั่วยวนเหลือเกิน มันกินจนข้าวสารหมดถัง

ถึงตอนนี้มันถึงรู้ว่า ปีนออกจากถังไม่ได้อีกแล้ว

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การใช้ชีวิตของเรา แม้ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่แท้ที่จริงมันเต็มไปด้วยกับดักและหลุมพลางที่แยบยล

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ชายชรากับลังเหล็ก

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ชายชรากับลังเหล็ก


กาลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่คนหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มของลุงคนนี้นั้นเค้าได้เป็นถึงหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำมีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงคนนี้ไม่เคยเลยที่จะเก็บเงินเก็บทองมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเคนนี้ป็นคนจิตใจดีใครมาหยิบยืมก็ให้และยัง เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนอยู่เยอะมาก จวบจนกระทั่งคุณลุงคนนี้เกษียณอายุ และปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยบ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น “ทำไมคุณพ่อถึงไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ ”

วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น “รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ก็ทานเสียหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านคนอื่นบ้าง” เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอดเวลา แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า “พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำใจต้องไปช่วยเขาจริงๆ” ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจกันยกใหญ่ ต่างสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป

เมื่อครบกำหนด 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า “ลังอะไรรึพ่อ” คุณลุงตอบกลับไปว่า “เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายแล้วหละก็ พ่อจะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมดเลย” ปรากฏว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบเฟ้นให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาอกเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปีเห็นจะได้ คุณลุงท่านนี้ก็ได้เสียชีวิตลง หลังงานศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็กแล้ว พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า


ถึงลูก ๆ ที่รักทุก ๆ คน ก่อนอื่นพ่อต้องขอขอบคุณก้อนหินทุก ๆ ก้อนในลังเหล็กใบนี้ ที่ได้เลี้ยงดูชีวิตพ่อจนถึงวาระสุดท้าย พ่อขอให้ลูก ๆ แบ่งก้อนหินในถังเหล็กใบนี้คนละเท่า ๆ กัน เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้พวกเจ้าหมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่เวลาพวกเจ้าแก่ตัวลงจะได้ไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชเยี่ยงพ่อ

รักลูก จากพ่อ



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง จำปาสี่ต้น

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง จำปาสี่ต้น


หนังสือผูกเรื่อง จำปาสี่ต้น พบที่ ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จารึกบนใบลานด้วยอักษรไทยน้อย เป็นนิทานเลียนแบบชาดก มีเนื้อเรื่องอยู่ว่า

ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่ง โดยตามภาษาลาวแล้วจะเรียกกันว่า เจ้ามหาชีวิต พระองค์ทรงปกครองเหล่าไพร่ฟ้าด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา โดยพระองค์มีมเหสี 2 องค์ คือ มเหสีฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย อยู่มาวันหนึ่งมีนายพรานได้เข้ามากราบทูลต่อพระองค์วว่า มีโขลงช้างป่าเข้ามาในพระราชอาณาเขต ซึ่งตามปกติแล้วก็มักจะต้องเสด็จออกไปคล้องช้างด้วยพระองค์เอง แต่ในช่วงเวลานั้นพระมเหสีฝ่ายขวากำลังจะประสูติ พระองค์ทรงเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง แต่ในที่สุดแล้วก็ทรงตัดสินพระทัยออกจากพระนครเพื่อไปคล้องช้างป่าโขลงนั้น

หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จไปได้เพียงสามวัน พระมเหสีฝ่ายขวาก็ทรงประสูติโอรสออกมาถึงสี่พระองค์ พระมเหสีฝ่ายซ้ายทราบเรื่องเข้าก็ทรงอิจฉา คิดอุบายโดยสั่งให้คนสนิทไปหาลูกสุนัขที่ออกใหม่มาสี่ตัว แล้วลอบเข้าไปสับเปลี่ยน ส่วนโอรสทั้งสี่นั้นให้เอาไปใส่แพลอยน้ำเสีย
เมื่อเจ้ามหาชีวิตเสด็จกลับมายังพระนครทรงได้ทราบเรื่อง ไม่ได้ทรงสอบสวนเรื่องราว ทรงขับไล่พระมเหสีฝ่ายขวาให้ออกจากพระนครไป เพราะถือว่าเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้น ฝ่ายโอรสทั้งสี่นั้นได้ถูกหญิงชราชื่อว่า แม่คำพา พบเข้าและนำกลับไปเลี้ยงด้วยความยินดีเนื่องเพราะนางไม่มีบุตร นางได้เลี้ยงดูโอรสทั้งสี่เป็นอย่างดีเหมือนกับเป็นลูกของนางเอง
ต่อมาวันหนึ่งมเหสีฝ่ายซ้ายรู้ว่าเด็กทั้งสี่นั้นยังไม่ตาย จึงสั่งให้คนสนิทนำยาพิษไปให้โอรสทั้งสี่กินจนเสียชีวิต นางคำพาเกิดเสียใจเป็นยิ่งนัก นางได้ฝังร่างของโอรสทั้งสี่ไว้ในสวน และในไม่ช้าก็มีต้นจำปาสี่ต้นเจริญเติบโตขึ้นเหนือหลุมฝังศพทั้งสี่

เมื่อมเหสีฝ่ายซ้ายทราบเรื่องต้นจำปาทั้งสี่ นางได้สั่งให้ทหารไปโค่นต้นจำปานั้นลงและสั่งให้เอาไปโยนทิ้งน้ำ ขณะที่ต้นจำปาทั้งสี่ลอยไปตามน้ำ พระภิกษุรูปหนึ่งผ่านมาพบและเห็นว่าต้นจำปายังสดอยู่จึงเก็บเอาขึ้นมาจากน้ำ แต่เมื่อเด็ดดอกจำปาออกจากกิ่งแทนที่จะมีน้ำหรือยางไหลออกมา กลับกลายเป็นเลือดสด ๆ ไหลรินออกมาจากก้าน พระภิกษุองค์นั้นจึงไปหาฤาษีเล่าเรื่องให้ฟัง ฤาษีนั่งทางในก็รู้เรื่องราวโดยตลอด จึงทำน้ำมนตร์รดต้นจำปาทั้งสี่ ต้นจำปานั้นกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ฤาษีก็สั่งสอนศิลปะวิทยาการต่าง ๆให้

เมื่อทั้งสี่เล่าเรียนวิชาสำเร็จแล้วก็กราบลาพระฤาษีออกเดินทางไปหาพระบิดา เมื่อมาถึงพระนครก็ให้คนเข้าไปกราบทูลพระราชาว่าโอรสทั้งสี่ของพระองค์กลับมาแล้ว พระราชากริ้วมาก เพราะยังทรงเข้าพระทัยผิดว่ามเหสีฝ่ายขวาประสูติออกมาเป็นสุนัข จึงมีรับสั่งให้ทหารออกไปจับตัว แต่ไม่มีทหารคนไหนสู้กับโอรสทั้งสี่ได้ ทหารจึงเข้าไปกราบทูลพระราชาทำให้พระองค์ทวีความโกรธมากขึ้น จะเสด็จออกรบด้วยตัวเอง แต่เมื่อเจ้ามหาชีวิตยิงธนู ลูกธนูที่ยิงไปนั้นกลับกลายเป็นขนมไปสิ้น ครั้นชายทั้งสี่ยิงธนู ลูกธนูกลับกลายเป็นดอกไม้ พระราชาเห็นดังนั้นทรงแน่พระทัยว่าชายหนุ่มทั้งสี่นั้นเป็นโอรสของพระองค์เป็นแน่ เทพยดาจึงได้ดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ เมื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ให้คนไปรับมเหสีฝ่ายขวากลับเข้าวัง ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายถูกขับไล่ออกไปอยู่นอกพระนคร ตั้งแต่นั้นทั้งหมดได้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หมอลำจัมโบ้

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หมอลำจัมโบ้


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ณ วัดป่าถ้ำสามพระเณร และ หมู่บ้านโคกอีเต่า โดยมีอยู่วันหนึ่ง เจ้าอาวาสที่วัดป่าถ้ำสามพระเณรได้รับโทรศัพท์จากโยมทางกรุงเทพ มีใจความว่า เดือนหน้าจะทำผ้าป่ามาถวายวัด ซึ่งเจ้าอาวาสก็ยินดีเป็นยิ่งนัก เพราะนานที จะมีผ้าป่ามาทอดที่วัดสักทีหนึ่ง หลังจากนั้นมา ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าอาวาสก็ได้ประชุมกับทางผู้ใหญ่บ้าน ว่าให้เตรียมตัวรับคณะผ้าป่าจากกรุงเทพไว้ โดยได้จัดเตรียมจัดการเตรียมการจ้างหมอลำ และหนัง โดยหนังก็หนัง 2 จอ ทางชาวบ้านก็ไม่พอใจบอกว่าจะเอาคณะใหญ่ๆ แพงๆ ให้สมกับที่เป็นการรอคอยผ้าป่าที่ไม่เคยมีขึ้นเลยในรอบเกือบ 20 ปี เณรก็เลยบอกว่า น่าจะมีลำกลอน ลำเดิน ลำเพลิน ลำซิ่ง ให้ครบไปเลย ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดที่จะหาที่ใดในภาคอีสานเทียบกับงานนี้ได้เลย

และแล้วก็ถึงวันงาน ผู้คนมาดูเที่ยวงานอย่างเนืองแน่น หมอลำคณะต่างๆ ก็พากันเล่นจบไปก่อนคณะผ้าป่า 2 วัน วันที่ 3 คณะผ้าป่าก็มา ผ้าป่าก็ได้ทอดสมใจของผู้มีจิตศรัทธา เณรได้ฉีกซองผ้าป่าออกมานับเงินดูแล้ว ปรากฎว่า ยอดเงินที่คณะผ้าป่านำมาทอดนั้น รวมทั้งหมดเบ็ดเสร็จ 40,512 บาท เจ้าอาวาทรู้เช่นนั้นตกใจจนเป็นลม ฟื้นอีกทีก็ไปฟื้นที่อนามัย ทว่าในใจคิดว่า คงได้ขายวัดชดใช้ค่าหมอลำเป็นแน่ เฮ่อ “หมอลำจัมโบ้” จริงๆ


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง โอ่งวิเศษ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง โอ่งวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้ยากไร้กับภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ชายผู้นี้มีชื่อว่า “อาเหลา” ในบ้านของอาเหลามีปู่อาศัยร่วมอยู่ด้วย คุณปู่อายุมากแล้ว
ไม่มีใครทราบว่าอายุของคุณปู่ อายุเท่าไหร่ แม้ตัวคุณปู่เองก็จำไม่ได้เสียด้วย

บุตรหลานที่ดีควรจะดูแลเลี้ยงดูบรรพบุรุษ แต่อาเหลาและภรรยานั้น
ไม่ได้มีแก่ใจที่จะสนใจดูแล จัดหาอาหารการกินให้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซ้ำยังให้ทำงานหนัก
แม้ว่าคุณปู่จะไร้เรี่ยวแรงแล้วก็ตาม

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาขุดพบโอ่งเก่าในทุ่งนา
“โอ่งใบนี้น่าจะใช้เก็บน้ำได้” อาเหลาคิดอยู่ในใจ จึงได้แบกโอ่งกลับบ้าน
พอถึงบ้านก็ให้ภรรยา ขัดทำความสะอาดโอ่ง พอดีแปรง
หลุดจากมือหล่นลงไปในโอ่ง ในทันใดนั้นเองโอ่งก็มีแปรงเต็มทั้งโอ่ง
ไม่ว่าจะเอาแปรงออกมามากเท่าใดก็ตาม ในโอ่งก็ยังมีแปรงเต็มเสมอ
“เราน่าจะเอาแปรงไปขายที่ตลาด” อาเหลาบอกกับภรรยา

อาเหลาเอาแปรงไปวางขายในตลาด ในไม่นานก็เก็บเงินได้มากมาย
เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็จับจ่ายซื้ออาหารรสเลิศ และเสื้อผ้างดงามต่างๆมากมาย
แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนึกถึงคุณปู่เลยแม้แต่น้อยนิด

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาทำแท่งทองหล่นลงไปในโอ่ง แปรงหายวับไปจากโอ่ง
อาเหลาใจหายวาบเมื่อมองเห็นโอ่งว่างเปล่า แต่ทว่าในนาทีถัดมาโอ่งวิเศษก็มีแท่งทอง
เต็มอัดแน่นอยู่แทน อาเหลาตะโกนเรียกภรรยาเสียงหลง “มาดูอะไรนี่ มาดูนี่ นี่ไง”
เมี่อผู้เป็นภรรยามองเห็นทองอัดแน่นอยู่ในโอ่งวิเศษ เธอสุดแสนที่จะดีใจ

อาเหลาขนทองคำออกจากโอ่งวิเศษได้ไม่รู้จบสิ้น อาเหลาสร้างบ้านหลังใหญ่
ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายประดุจเจ้าผู้ครองนครก็ไม่ปาน

อาเหลาบังคับให้ปู่ตักแท่งทองออกจากโอ่งวิเศษเพื่อให้ทองคำ
ขึ้นมาเต็มโอ่งอยู่เสมอ เมื่อใดที่พ่อเฒ่าพักหายใจ
อาเหลาจะตะคอกดุด่าให้ทำงานต่อไป

ต่อมาวันหนึ่ง คุณปู่พลัดตกลงไปในโอ่งวิเศษ ทองแท่งในโอ่งหายวับไป
อีกไม่กี่อึดใจ คุณปู่ก็ค่อยๆปีนออกมาจากโอ่งวิเศษ ทีละคนๆ
เมื่ออาเหลากับภรรยาเห็นดังนั้น ฝ่ายภรรยาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงว่า
“รีบทำอะไรสักอย่างซิ ก่อนจะมีปู่ออกมาอีก”

อาเหลาจึงรีบหยิบพลั่วหวดใส่โอ่งวิเศษอย่างเต็มแรง โอ่งวิเศษแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ก็สายเกินไปแล้ว อาเหลามีคุณปู่ถึง 6 คน ในตอนนี้ แล้วอาเหลาก็ตะคอกดุด่า
คุณปู่ทุกคนด้วยเสียงอันดัง แต่คุณปู่ทั้งหกหาได้เกรงกลัวอาเหลาไม่
คุณปู่ทั้งหกช่วยกันขับไล่สองสามีภรรยาให้ออกไปอยู่นอกบ้าน

อากาศข้างนอกบ้านหนาวมาก อีกทั้งยังมีลมพัดกรรโชกอีก ทำให้หนาวเข้าไปถึงในกระดูก สองสามีภรรยาหนาวสั่น
และเริ่มรู้สึกหวาดกลัว อาเหลาและภรรยาจึงเคาะประตูขอร้องและวิงวอนว่า
“ได้โปรดเถิดคุณปู่ เปิดประตูรับพวกเราด้วย อย่าปล่อยให้เราหนาวตายอยู่ข้างนอกบ้านนี้เลย”

คุณปู่ในบ้านส่งเสียงตอบกลับมาว่า
“มีกี่ครั้งที่ข้าร้องขอความกรุณาจากเจ้า แต่พวกเจ้าไม่เคยรับฟังข้าเลย”

“ได้โปรดเถิดคุณปู่ เราทั้งสองสำนึกผิดแล้วและก็เสียใจในการกระทำนั้นแล้ว ได้โปรดอภัยให้เราสองคนด้วยเถิด”
อาเหลาร้องวิงวอนเสียงกระเส่า

ในท้ายที่สุด คุณปู่ก็เปิดประตูรับทั้งสองเข้าบ้านด้วยความสงสาร

นับจากวันนั้นมา อาเหลากับภรรยากลายเป็นคนใหม่ เอาใจใส่ดูแล
เลี้ยงดูคุณปู่ทั้งหกเป็นอย่างดี

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พระลอ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พระลอ


เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่ เป็นจังหวัดในภาคเหนือของไทยเรานี่เอง ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ของเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า “ นาฏบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสมีพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือเรียกกันสั้นๆว่า “ พระลอ ” มีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกันว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่านว่า เมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “ พรดาราวดี ” และพระองค์ทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า “ พระเพื่อน ” และ “ พระแพง ”

พระเพื่อนและพระแพงได้ยินมาว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงาม ก็ให้ความสนใจยากจะได้ยล พี่เลี้ยงของพระเพื่อนและพระแพงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความปราถนาของนายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาจะจัดการให้นายของตนนั้นได้พบกับพระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมนสรวง และในขณะที่ขับซอนั้นจะไห้นักดนตรีพร่ำพรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อที่จะให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสอง

เมื่อพระลอต้องมนต์ก็ทำใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระแพงเป็นยิ่งนัก พระองค์เกิดความคลั่งไคล้ไหลหลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่กระทั่งเสวยพระกระยาหาร พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพระองค์ ได้ทำให้พระราชชนนีสงสัยว่าจะมีผีมาเข้ามาสิงสู่อยู่แต่ถึงแม้ว่าจะหาหมอผีคนไหนมาทำพิธีขับไล่ก็ไม่มีผลอันใด พระลอก็ยังคงมีพฤติการณ์อย่างเดิมอยู่

เพื่อที่จะได้ยลเจ้าหญิงทั้งสอง พระลอจึงทูลลาพระราชชนนีออกประพาสป่า แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ เพื่อที่จะได้ไปยลเจ้าหญิงแห่งเมืองสรองนั่นเอง จากนั้นพระลอก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสรองพร้อมคนสนิทอีก 2 คน คือ นายแก้ว กับนายขวัญ พร้อมกับไพร่พลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดต้องเดินผ่านป่าผ่าดงจนกระทั่งมาพบแม่น้ำสายหนึ่งมีชื่อว่า “ แม่น้ำกาหลง ”

และที่แม่น้ำกาหลงนี้เอง ที่พระลอได้ตั้งอธิฐานเสี่ยงน้ำเพื่อตรวจดูดวงชะตาของพระองค์เอง ทันทีที่ได้สิ้นคำอธิษฐานนั้น แม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีและไหลเวียนวนผิดปกติ เมื่อพระลอเห็นดังนั้นก็รู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายรออยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เกิดความย่อท้อที่จะได้พบกับเจ้าหญิงที่พระทัยของพระองค์เรียกร้องแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าพระองค์นั้นจะไม่เคยพบนางเลย แต่พระองค์คลั่งไคล้ไหลหลงในตัวนางทั้งสองเป็นยิ่งนัก

ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองรอการเดินทางมาของเจ้าชายรูปงามไม่ได้ และเกรงว่ามนต์เสน่ห์ของปู่เจ้าสมิงพรายจะไม่เห็นผล จึงได้ขอร้องให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยเหลืออีกครั้ง โดยให้ช่วยเนรมิตไก่งามขึ้นตัวหนึ่งให้มีเสียงขันที่ไพเราะ ทั้งสองพระองค์คิดว่าไก่ตัวนั้นจะต้องทำให้พระลอสนพระทัยและติดตามาจนถึงเมืองสรองอย่างแน่นอน

และแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เจ้าหญิงสองคาดไว้ พระลอได้ตามไก่เนรมิตไปจนถึงพระราชอุทยาน และได้พบกับเจ้าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังทรงสำราญอยู่ ในทันทีที่ทั้งสามได้พบกันก็เกิดความรักใคร่กันในบัดดล และก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายแก้วกับนายขวัญ ได้ตกหลุมรักของนางรื่นและนางโรยผู้ซึ่งเปิดหัวใจต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองโดยไม่รีรอเช่นกัน ปรากฏว่าพระลอและบ่าวคนสนิทของพระองค์ลักลอบเข้าไปอยู่ในพระตำหนักชั้นในซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงทั้งสอง

อย่างไรก็ตาม ความลับนี้ได้ถูกเปิดเผยเข้าจนได้ เมื่อข่าวได้ไปถึงพระกรรณของพระราชาจึงได้เสด็จมาไต่สวนในทันที และเมื่อพระลอกราบทูลให้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในความรักของคนทั้งสาม และทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งสามพระองค์ทันที

ด้วยการอ้างเอาพระราชโองการของพระราชโอรสของพระนางคือ ท้าวพระพิชัยวิษณุกร พระเจ้าย่าจึงสั่งให้ทหารล้อมพระลอและไพร่พลเอาไว้ ในขณะที่พระลอกับไพร่พลได้ต่อสู้เอาชีวิตรอด พระนางก็สั่งให้ทหารระดมยิงธนูเข้าใส่ ลูกธนูที่พุ่งเข้าหาพระองค์และไพร่พลประดุจดังห่าฝนก็ไม่ปานจึงทำให้ไม่อาจจะต้านทานไว้ได้อีกต่อไป

และเพื่อที่ปกป้องชีวิตของชายคนรักพระเพื่อนกับพระแพงจึงเข้าขวางโดยใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังให้พระลอ ทั้งสามจึงต้องมาสิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลางศพของบ่าวไพร่ ณ ที่ตรงนั้นเอง ทันใดนั้นทั้งสองเมืองก็ต้องตกอยู่ในความวิปโยคต่อการจากไปของทั้งสามพระองค์ผู้บูชาในรักแท้

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ขุนช้างขุนแผน

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ขุนช้างขุนแผน


มีนิทานเล่าขานกันมาว่า มีครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายที่รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี โดยมีลูกชายด้วยกันชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวต่อมาคือครอบครัวของขุนศรีวิชัย เป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก มีภรรยาชื่อ นางเทพทอง มีลูกชายชื่อว่า ขุนช้าง ซึ่งมีหัวล้านมาแต่เกิด และสุดท้ายเป็นครอบครัวของพันศรโยธา เป็นพ่อค้า มีภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ นางพิมพิลาไลย

อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา ต้องการที่จะล่าควายป่า จึงได้สั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมเอาไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกตื่นไม่ยอมเข้าไปในคอก ในครั้งนั้นขุนไกรได้ใช้หอกแทงควายตายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนควายป่าที่รอดชีวิตอยู่ก็หนีเข้าป่า สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวเข้าจึงรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี

ทางเมืองสุพรรณบุรี ได้มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาได้เดินทางไปทำการค้าขายที่ต่างเมือง พอกลับมาก็เป็นไข้ป่าตายไป

ครั้นเมื่อพลายแก้วอายุได้ ๑๕ ปี ก็ได้บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย กาลต่อมาที่วัดป่าเลไลยได้จัดเทศน์มหาชาติขึ้น เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมเลื่อมใสเณรพลายแก้วเป็นอันมากถึงกับเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม อธิฐานขอให้ได้นางมาเป็นภรรยา ทำให้นางพิมโกรธมาก ต่อมาเณรพลายแก้วก็สึกออกมาแล้วให้แม่ของตนซึ่งก็คือนางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมและแต่งงานกัน

ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ได้เมืองเชียงทองแตกแล้ว ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งตอนนั้นได้รับราชการอยู่จึงเล่าถึงสามาราถของพลายแก้ว เพราะหวังที่จะพรากพลายแก้วไปจากนางพิม สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมาแล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้นำชัยชนะกลับมา นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้ทำการสิ่งใดให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้ไปเป็นภรรยาของพลายแก้ว

ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีไปออกทัพได้ไม่นานนักก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดป่าเลไลยได้แนะนำให้ไปเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงค่อยหาย ขุนช้างได้ทำอุบายหลอกนางวันทองโดยนำหม้อใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดู พลางบอกว่าพลายแก้วตายแล้วและได้ขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไปเป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย นางวันทองไม่เชื่อคำขุนช้างว่า แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างนั้นเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานไปกับขุนช้าง นางวันทองจำใจต้องทำตามแม่ แต่นางไม่ยอมเข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วได้กลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็นแผนแสนสะท้าน จากนั้นได้พานางลาวทองกลับไปที่สุพรรณบุรีนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็ด่าทอนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวกับขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหมากจึงพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็นภรรยาของขุนช้างไป

ต่อมาขุนช้างและขุนแผนได้เข้าไปรับราชการในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวกับขุนแผนว่า นางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ในตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างเท็จทูลไปว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหาเมีย สมเด็จพระพันวษาโกรธมากจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมาขังไว้ในวัง ส่วนขุนแผนนั้นให้ไปตระเวนด่านห้ามเข้าวังอีก จึงทำให้ขุนแผนแค้นขุนช้างเป็นยิ่งนัก จึงคิดช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา จึงออกตามหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง และม้าสีหมอก ขุนแผนเดินทางไปจนถึงซ่องโจรของหมื่นหาญก็ได้สมัครเข้าเป็นสมุน วันหนึ่งได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตายเอาไว้ได้ หมื่นหาญจึงยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้ไปเป็นภรรยาของขุนแผน ต่อมาหมื่นหาญรู้ว่าขุนแผนมีวิชาอาคมที่สูงกว่าตนก็คิดกำจัด โดยสั่งให้นางบัวคลี่วางยาฆ่าขุนแผน แต่พรายของขุนแผนมาบอกให้รู้ตัวก่อน คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนจึงผ่าท้องนางและควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกให้เป็นกุมารทอง ต่อจากนั้นก็ทำพิธีตีดาบฟ้าฟื้นและได้ไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ ม้าสีหมอก แล้วขุนแผนก็เข้าไปที่บ้านของขุนช้างแล้วสะกดคนให้หลับจนหมดแล้วขึ้นไปบนบ้านแต่ไปเข้าห้องผิด จึงได้พบกับนางแก้วกิริยาและได้นางเป็นภรรยาในที่สุด หลังจากนั้นก็ไปปลุกนางวันทองพาขึ้นม้าแล้วหนีเข้าป่าไป ขุนช้างไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์ทรงให้ทหารตามจับตัวขุนแผนมา แต่ถูกขุนแผนฆ่าตายเสียซะส่วนใหญ่ ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนอยู่ในป่าจนนางตั้งท้องขึ้นมาจึงพากันออกมามอบและสู้คดีจนชนะคดี ขุนแผนนางวันทอง และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุข แต่ขุนแผนได้นึกถึงนางลาวทองจึงได้ขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ให้ขอตัวนางจากสมเด็จพระพันวษาทำให้พระองค์โกรธขุนแผนว่ากำเริบจึงสั่งให้จำคุกขุนแผนเอาไว้ นางแก้วกิริยาก็ตามไปปรนนิบัติขุนแผน ส่วนนางวันทองนั้นพักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างได้พาพวกมาฉุดนางวันทองไปเป็นภรรยาอีกครั้ง ต่อมานางได้คลอดลูกชาย แล้วตั้งชื่อให้ว่าพลายงาม เมื่อขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกตนก็เกลียดชังเป็นหนักหนา วันหนึ่งจึงหลอกพาเข้าไปในป่าแล้วทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้ พรายของขุนแผนมาช่วยได้ทัน นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรีพลายงามได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อจนเชี่ยวชาญ ขุนแผนจึงได้พาไปฝากไว้กับหมื่นศรี เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ

ทางฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้สั่งให้ทหารไปชิงเอาตัวนางสร้อยทองที่เป็นธิดาของพระเจ้าล้านช้างในระหว่างการเดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา เพราะพระเจ้าล้านช้างต้องการเป็นไมตรีด้วยจึงได้ส่งธิดามาถวายตัว และพระเจ้าเชียงอินทร์ได้ส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย พลายงามเห็นโอกาสจึงอาสาออกไปรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกด้วย เพื่อจะได้ช่วยทำศึก ขุนแผนจึงพ้นโทษได้ ในขณะที่กำลังเตรียมทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดลูกออกมาเป็นลูกชาย ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า พลายชุมพล แล้วขุนแผนกับพลายงามก็คุมทัพมุ่งสู่เชียงใหม่ ขุนแผนได้แวะไปเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งได้เคยให้ความช่วยเหลือตน เมื่อตอนที่ขุนแผนกับนางวันทองเข้ามอบตัวกับทางการ พลายงามจึงได้พบกับนางศรีมาลาและได้นางเป็นภรรยา จากนั้นก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่แล้วได้ชัยชนะกลับมา ครั้นเมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนแผนได้เป็นพระสุรินฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี พลายงามได้เป็นจมื่นไวยวรนาถ และสมเด็จพระพันวษาก็ยกนางสร้อยฟ้าที่เป็นธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพร้อม ๆ กับนางศรีมาลา

พระไวยอยากให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงได้ไปลักพาตัวนางวันทองมา ขุนช้างโกรธแค้นเป็นยิ่งนักจึงไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา จึงได้มีการไต่สวนคดีกันอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดสมเด็จพระพันวษาก็ถามนางว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางนั้นตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงว่านางว่าเป็นหญิงสองใจจึงสั่งให้นำตัวไปประหารเสีย พระไวยขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามไม่ทัน

ในส่วนของครอบครัวพระไวยไม่สู้ราบรื่นนัก เพราะนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง จึงมักจะมีการทะเลาะกันอยู่เนื่องๆ นางสร้อยฟ้าเจ็บใจจึงให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักนาง แล้วนางสร้อยฟ้าก็หาเรื่องให้พระไวยตีนางมาลา พลายชุมพลเข้าไปห้ามก็ถูกตีไปด้วย พลายชุมพลถึงกับน้อยใจจึงหนีออกจากบ้านไปหาพ่อและแม่ที่กาญจนบุรีแล้วเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด แล้วไปหายายที่สุโขทัย และได้บวชเณรและเล่าเรียนอยู่ที่นั้น ฝ่ายขุนแผนรีบไปที่บ้านของพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยหาได้เชื่อไม่ กลับหาว่าพ่อเล่นกลให้ดู และพูดลำเลิกบุญคุณที่ตนช่วยพ่อออกมาจากคุก ขุนแผนแค้นเป็นอันมากประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วกลับกาญจนบุรีทันที

พลายชุมพลเรียนวิชาจนสำเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผนจะแก้แค้นพระไวย โดยพลายชุมพลสึกออกจากเณรแล้วปลอมเป็นมอญ ใช้ชื่อ สมิงมัตรา ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาถึงสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษา ให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึกไว้ แต่ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถูกจับ พระไวยจึงต้องยกทัพออกไปและต่อสู้กับพลายชุมพล ระหว่างที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อเข้าก็ตกใจหนีไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาพระองศ์จึงให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยได้ขอหมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ได้ แล้วขุดเอารูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไว้ใต้ดินขึ้นมาเสน่ห์ที่ทำไว้จึงคลายลง ตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วสะเดาะโซ่ตรวนหนีไป ในการไต่สวนคดีนางสร้อยฟ้านั้น นางไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำเสน่ห์ และได้ใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน จนในที่สุดก็ต้องมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟนางสร้อยฟ้าแพ้ถูกไฟลวกจนพุพองทั้วตัว ส่วนนางศรีมาลานั้นไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้ จึงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม ในระหว่างการเดินทางก็พบเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงเดินทางไปด้วยกัน กลับถึงเชียงใหม่ได้ไม่นานนักนางก็ให้กำเนิดลูกชาย ชื่อ พลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร

พระเจ้าเชียงอินทร์ ตั้งเถรขวาด เป็นพระสังฆราชเพื่อเป็นการตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้ากลับมาบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดยังมีความแค้นต่อพลายชุมพล จึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา แล้วแปลงกายเป็นจระเข้เที่ยวอาละวาดฆ่าคนและสัตว์ไปเป็นจำนวนมาก พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ ได้ตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธิ์ นับจากนั้นเป็นต้นมาทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุข

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เขาสมิง2

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เขาสมิง2


ในดินแดนแห่งหนึ่งอยู่บริเวณเขาที่ทอดตัวเหยียดยาวที่กั้นดินแดนไทยและขอมออกจากกัน มีชายชาวขอมคนหนึ่ง ชื่อ สมิง ได้เรียนวิชาอาคมจนแก่กล้า และเพื่อทดลองวิชาที่ได้เรียนมาจึงเดินทางเข้าไปในป่า จนวันหนึ่งมาพบเข้ากับเสือโคร่งที่กินคนมาแล้วมากมาย อาคมของสมิงใด ๆ ไม่สามารถที่จะสะกดมันได้ จึงเป็นครั้งแรกที่สมิงพ่ายแพ้ แม้จะสูญเสียร่ายกายไปภายใต้คมเขี้ยว แต่วิญญาณอันกล้าแข็งของสมิงทำให้สามารถครอบงำวิญญาณของเสือร้ายตัวนั้นได้ในที่สุด คงความเป็นอมตะอยู่ในร่างกายของเสือตัวนั้น ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในป่าลึก จึงเร่ร่อนไปเพื่อหาเพื่อนมนุษย์ แต่ทว่าดังต้องสาป มนุษย์ที่เขาได้พบในป่ากลับถูกเขากินเพื่อประทังความหิว
ในที่สุดสมิงก็ได้เดินทางมาถึงฝั่งน้ำเขียว ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีเทือกสวนไร่นา มีสวนดอกไม้ และมีผู้คนที่เป็นมิตร ตรงกันข้ามกับฝั่งที่สมิงอาศัยอยู่ ซึ่งมีแต่ป่าทึบและเสียงสัตว์กู่ก้องร้องคำรามหาเหยื่อ สมิงจึงเดินทางข้ามเถาสะบ้าที่ทอดตัวข้ามฝั่งคลอง และปรากฏตัวในคืนที่คืนพระจันทร์เต็มดวง ด้วยรูปลักษณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำ ถือไต้อันใหญ่ไว้ในมือ พวกชาวบ้านต้อนรับสมิงอย่างอบอุ่นในวงเหล้า และมีคนสังเกตเห็นว่าสมิงวางไต้ที่ดับแล้วไว้ข้างตัวตลอดเวลา แม้ในยามที่ออกไปรำวง เขาก็ไม่ลืมคว้าไต้แล้วขัดไว้ที่ผ้าขาวม้าที่คาดพุงอยู่ ตกดึกทุกคนหลับใหล สมิงจึงได้จากไป ในร่างของชายใส่ชุดดำไร้เงาจากแสงเดือน
สมิงไม่มีเงา เขาต้องถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอเมื่อมาปรากฏตัวที่หมู่บ้าน ในบางครั้งเสียงหัวเราะของเขาดังมากเกินกว่าเสียงคน บางครั้งก็กลิ่นสาบรุนแรงเมื่อเขาขยับตัว สมิงต้องเดินข้ามเถาสะบ้า เขาไม่มีเรือเหมือนคนอื่น และไม่เคยมีใครเคยเห็นบ้านของสมิงที่ฟากโน้น ชาวบ้านทุกคนรับรู้ในความผิดปกติ แต่ทุกคนก็ชอบสมิง
เพราะตั้งแต่ที่สมิงมาที่หมู่บ้านนี้ ได้พืชผลมากกว่าที่เคย บางปีหากมีฝนตกหนักน้ำป่าหลาก สมิงจะเตือนชาวบ้านให้รู้ล่วงหน้า และบางปีหากแล้งสมิงจะบอกให้เตรียมกักเก็บน้ำไว้ให้มากเป็นพิเศษ สมิงห่วงใยชาวบ้านเหมือนเป็นครอบครัวของตน แต่เขากำชับว่าห้ามตัดเถาสะบ้าใหญ่เด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนสมิงจะโกรธมากและจะไม่กลับมา
ในวันหนึ่ง มีเรือสำเภาที่นำสินค้าไปขายที่หมู่บ้านข้างบน เสากระโดงเรือได้ติดเข้ากับเถาสะบ้า คนบนเรือสำเภาจึงช่วยกันตัดเถาสะบ้าจนขาด เพื่อให้เรือสามารถที่จะผ่านไปได้ ในทันที่ที่เถาสะบ้าขาด บรรยากาศรอบข้างได้มืดลงอย่างรวดเร็ว ลมไม่พัดใบไม้ไม่ไหว ทุกสิ่งนิ่งสงัด และแล้วก็มีเสียงคำรามค่อย ๆ ดังขึ้น ๆ พร้อมกับลมที่ก่อตัวแรงขึ้น จนพัดเอาเสากระโดงเรือโอนเอน พัดน้ำในคลองเป็นคลื่นใหญ่จนเรือโคลงเครงอย่างรุนแรง น้ำถูกหอบเป็นคลื่นสูง ซัดสาดลำเรือและผู้คนบนนั้น สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เสียงลมฝนและน้ำในลำคลองคำรามก้องท้องทุ่ง
ในเช้าวันรุ่งขึ้น น้ำในคลองนิ่งสนิท ปราสจากร่องรอยพายุร้าย ไม่มีเรือสำเภา ไม่มีซากศพ ไม่มีอะไรแปลกปลอม และไม่มี…สมิง มีแต่เพียงเสียงคำรามต่ำอย่างแผ่วเบาแว่วมาจากป่าฝั่งโน้น ชาวบ้านต่างรักและอาลัย สมิง ชายหนุ่มรูปงามที่ไม่มีเงา ไม่เคยปรากฏตัวในตอนกลางวัน และไร้บ้าน ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างศาลหลังเล็ก ๆ บนตลิ่งสูง และทำพิธีบวงสรวงเชิญวิญญาณสมิงให้สิงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เขาสมิง1

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เขาสมิง1


ในบริเวณเขาสมิง จะมีภูเขาลูกเตี้ย ๆ อยู่ลูกหนึ่ง เป็นที่อยู่ของผู้แก่กล้าวิชาอาคมผู้หนึ่ง ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาจนสามารถแปลงเป็นเสือได้ มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
นายยอด เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงแต่ตามตัวมีแผลหลายแห่ง และที่น่าแปลกประหลาดก็คือ ที่ก้นของเขาได้มีหางงอกออกมามีความยาวประมาณหนึ่งคืบ ซึ่งไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิดแต่มีขึ้นภายหลัง พ่อของนายยอดได้พาเขาไปฝากกับสมภารที่มีวิชาอาคมตอนใกล้อายุ 16 ปี เพราะท่านมีวิชาสามารถเรียกเสือมาให้ดูได้และใช้เสือไปไหน ๆ ได้ตามใจของท่านเหมือนกับสุนัขที่เลี้ยงไว้จนรู้ภาษาด้วยน้ำมันสมิง นายยอดเป็นเด็กฉลาด ว่านอนสอนง่ายจึงเป็นที่รักของสมภาร เมื่อเวลาสมภารจะไปที่อื่นถ้านายยอดไม่ได้ไปด้วย ท่านจะกำชับว่าไม่ให้ไปรื้อค้นอะไรที่พานหัวนอนท่านเป็นอันขาด วันหนึ่งสมภารไม่อยู่ ด้วยความอยากรู้ว่าที่หัวนอนมีอะไรจึงต้องสั่งเป็นพิเศษ ที่พานข้างหมอนเห็นตลับ ๆ หนึ่ง เมื่อเปิดดูเห็นเป็นขี้ผึ้งสีเขียว ๆ นึกว่าเป็นขี้ผึ้งเมตตาของอาจารย์จึงควักออกมาทาคิ้วทาปาก ทันใดนั้นเองก็เกิดขนขึ้นตามตัวเป็นสีเหลือง ๆ ดำ ๆ ทั่วไป แท้ที่จริงแล้วขี้ผึ้งที่ทานั้นเป็นน้ำมันสมิง หากใครทาเข้าก็จะกลายเป็นเสือสมิงไปในทันที นายยอดเมื่อกลายร่างเป็นเสือแล้วก็วิ่งกระโดดลงจากวัดคลานสี่ขาเหมือนเสือเข้าป่าไป เมื่อสมภารท่านกลับมาไม่พบนายยอด จึงนึกสังหรณ์ใจตรงเข้าไปที่ห้องเห็นตลับน้ำมันสมิงเปิดทิ้งอยู่จึงรู้ว่านายยอดกลายเป็นเสือสมิงไปแล้ว จากนั้นท่านจึงสั่งพระลูกวัดและพ่อของนายยอดว่า ท่านจะทาน้ำมันสมิงเพื่อออกตามหานายยอด ถ้ามีเสือเข้ามาที่วัดให้เอาไม้คานตีเสือนั้น แล้วท่านก็กลายร่างเป็นเสือออกตามหานายยอด เวลาผ่านไปประมาณ 6 เดือนกว่าๆ เย็นวันหนึ่งพระลูกวัดเห็นมีเสือ 2 ตัวที่แปลกกว่าเสือธรรมดา คือ เสือที่มามีหางสั้นก็เข้าใจว่าเป็นสมภารและนายยอดศิษย์ท่านกลับมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอาไม้คานไปตีตามที่ท่านอาจารย์สั่งไว้ พระจึงไปตามบิดาของนายยอดมา นายยอดเชื่อว่าเป็นลูกของตนจึงเอาไม้คานตีเสือนั้นตัวละ 1 ที ทันใดนั้นขนก็หลุออกไปหมดแต่หางยังคงอยู่ พระลูกวัดเห็นว่าเป็นพระอาจารย์จึงได้นำจีวรมาห่มให้ ท่านจึงเล่าให้บิดานายยอดฟังว่าท่านออกเดินทางตามหาถึง 7 วัน จนพบเสือป่า ถามได้ความว่าสมิงยอดข้ามเขาไป จึงตามไปจนถึงเขาลูกหนึ่ง หลังเขาลูกนั้นมีหมู่บ้านที่เลี้ยง วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ จำนวนมาก ท่านไปพบสมิงยอดกำลังกินหมูชาวบ้านอยู่ พอสมิงยอดเห็นอาจารย์เข้าก็รีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว ไปจนมุมที่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เคราะห์ดีที่สมิงยอดไม่กินเนื้อมนุษย์เพราะหากกินเนื้อมนุษย์เข้าไปก็คงไม่ยอมกลับมาง่าย ๆ และจะดุร้ายมากกว่านี้ จึงเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

yengo หรือ buzzcity

ตำนานแหลมงอบ เกาะช้าง

ตำนานแหลมงอบ เกาะช้าง


ตำนานของแหลมงอบตำนานแรก ได้เล่าว่า มีหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อ ยายม่อม มีคอกควายอยู่ที่สลักคอก วันหนึ่งควายของยายม่อมได้หายไป ยายม่อมจึงออกตามหาควาย และได้จมน้ำทะเลตายกลายเป็นโขดหินชื่อ ยายม่อม ส่วนงอบของยายม่อมกลายเป็นแหลมงอบ ควายของยายม่อมกลายเป็นโขดหินเล็ก ๆ เช่นกัน ส่วนตำนานของเกาะช้างตำนานแรก เล่าว่า เดิมเกาะนี้มีเสืออยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีชาวญวนคนหนึ่งชื่อ องค์โด้ ได้ทำพิธีขว้างก้อนหินลงไปในทะเลและสาบว่า ถ้าหินนี้ไม่ผุดขึ้นมาให้คนเห็น เกาะช้างจะไม่มีเสืออีกต่อไป เกาะช้างจึงไม่มีเสือมาจนทุกวันนี้ นิทานเรื่องนี้ นายติ้น ที่เป็นคนที่อยู่เกาะช้างได้เล่าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวง ต้นสกุล สลักเพชรุ้ง นอกจากนี้ยัง มีตำนานแหลมงอบ เกาะช้าง ซึ่งมีผู้เขียนไว้อีกว่า มีความเกี่ยวข้องกับชื่อของหมู่เกาะช้าง ชื่อสถานที่ และเหตุที่เกาะช้างไม่มีช้าง มีอยู่สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้สร้างตำหนักเลี้ยงช้างอยู่ที่เกาะช้าง มีช้างพลายอยู่เชือกหนึ่งเป็นจ่าโขลง มีชื่อว่า อ้ายเพชร และมีสองตายายคอยเลี้ยงดู ตาชื่อ ตาบ๋าย ยายชื่อ ยายม่อม วันหนึ่ง อ้ายเพชรจ่าโขลงเกิดตกมันเตลิดเข้าในป่า ไปผสมพันธุ์กับนางช้างป่า ตกลูกมา 3 เชือก เมื่อพระโพธิสัตว์รู้เรื่องเข้า จึงได้ทรงสั่งให้ตายายติดตามหาอ้ายเพชร โดยให้ตาไปทางหนึ่ง ยายไปอีกทางหนึ่ง อ้ายเพชรหนีไปจนสุดเกาะด้านเหนือจึงว่ายน้ำมาขึ้นฝั่งซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า บ้านธรรมชาติ ส่วนลูกทั้งสามที่ตามมาด้วย ว่ายน้ำยังไม่เป็น จึงจมน้ำตายแล้วกลายเป็นหิน 3 กอง อยู่บริเวณอ่าวคลองสน จนชาวบ้านพากันว่า “หินช้างสามลูก” ในขณะที่อ้ายเพชรว่ายน้ำไปถึงกลางร่องทะเลลึก ได้ถ่ายมูลทิ้งไว้กลายเป็นกองหินอยู่ตรงนั้น เรียกว่า “หินขี้ช้าง” ปัจจุบันมีประภาคารบนหินกองนี้ เมื่อสามารถขึ้นฝั่งได้แล้ว อ้ายเพชรได้เดินเลียบไปตามชายฝั่งทิศใต้ ตาบ๋ายเห็นว่าไปไกลแล้วตามไปไม่ทันจึงเดินทางกลับ ปล่อยให้ยายติดตามไปผู้เดียว ยายม่อมตามไปจนทันช้างขึ้นฝั่งแต่ไม่กล้าเข้าไปในป่าเพราะกลัวว่าสัตว์จะทำร้ายเอา ในที่สุดก็ตกลงไปในโคลนไม่สามารถขึ้นมาได้ จนถึงแก่ความตายอยู่ตรงนั้นเอง ร่างกายของแกกลายเป็นหินอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า “หินยายม่อม” ส่วนงอบที่สวมไว้ได้หลุดลอยไปติดอยู่ที่ปลายแหลม และกลายเป็นหิน ชาวบ้านเรียกว่า “แหลมงอบ” ตรงบริเวณที่ตั้งประภาคารในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากงอบของยายม่อมที่ลอยไปติดชายฝั่งนั่นเอง เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบว่า อ้ายเพชรมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ จึงเข้าใจว่าอ้ายเพชรจะต้องไปที่เกาะอีก จึงเกณฑ์คนให้ทำคอกดักไว้จนเกือบถึงท้ายเกาะด้านใต้ ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณแถบนี้ว่า “บ้านคอก” และเกาะซึ่งเกิดจากลิ่มและสลักที่ทำคอกนั้น เรียกว่า “เกาะลิ่ม” “เกาะสลัก” ส่วนมากจะเรียกรวมกันว่า “บ้านสลักคอก” ฝ่ายอ้ายเพชรนั้น เมื่อเดินเลียบชายฝั่งมาจนถึงท้ายเกาะ ก็ข้ามไปยังเกาะตามที่คาดไว้ พอว่ายน้ำไปได้สักครู่หนึ่งก็ถ่ายออกมากลายเป็น “หินกอง” ทุกวันนี้น้ำในบริเวณนั้นลึกมาก แต่ไม่ได้เป็นเส้นทางเดินเรือ จึงไม่ได้มีการสร้างประภาคารขึ้นที่บริเวณนี้ เมื่ออ้ายเพชรไปถึงแล้วแทนที่จะเข้าคอกไป กลับเดินเลียบฝั่งอ้อมแหลมเข้าไปทางอ่าวด้านนอก พระโพธิสัตว์จึงได้สั่งให้คนไปช่วยกันสกัดให้กลับมาเข้าคอก ชาวบ้านจึงเรียกที่ ๆ ไปสกัดข้างนี้ว่าไปสลักหน้า และเรียกหมู่บ้านบริเวณนี้ว่า “บ้านสลักเพชร” ซึ่งหมายถึง สลักหน้าอ้ายเพชร โดยเหตุที่เกิดความยุ่งยากนี้ พระโพธิสัตว์จึงฝังอาถรรพ์ไว้ตามเกาะต่าง ๆ มิให้ช้างอาศัยอยู่อีกต่อไป นับแต่นั้นมา เกาะต่าง ๆ จึงไม่มีช้างอาศัยอยู่จนปัจจุบันนี้

yengo หรือ buzzcity

ตำนานเขาบายศรี

ตำนานเขาบายศรี


ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีภูเขายังไม่มีชื่อ ในคืนของวันขึ้น 15 ค่ำ มักมีคนได้ยินเสียงดนตรีลอยมาจากภูเขาลูกนี้ จนคืนหนึ่งมีเทพยดามาเข้าฝันชาวบ้านคนหนึ่ง โดยชาวบ้านคนนี้ต้องการที่จะทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์แต่ยังขาดถ้วยชามที่สวยงาม เทพยดาจึงมาเข้าฝันเป็นเทพสังหรณ์ว่าให้ไปที่ภูเขาลูกนี้ แล้วจุดธูปอธิษฐานที่ปากถ้ำ เพื่อที่จะขอยืมถ้วยโถโอชาชามจากเทพ ปากถ้ำก็จะเปิดออก เมื่อเสร็จงานให้เอาถ้วยชามไปคืน นางพลอยจึงปฏิบัติตามที่ตนฝัน ซึ่งก็ได้ผลตามฝันทุกประการ ต่อมาเพื่อนบ้านได้ยินเรื่องนั้นเข้าจึงการความโลภอยากได้บ้าง จึงปฏิบัติตามชาวบ้านคนแรก แต่ด้วยความโลภจึงไม่ยอมนำถ้วยชามไปส่งคืน จนพอถึงวันเพ็ญ 15 ค่ำเสียงดนตรีที่ภูเขานั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะอย่างมากสำหรับคนอื่นๆที่ได้ยิน แต่สำหรับครอบครัวที่เอาชามไปแล้วไม่นำมาคืน กลับเป็นเสียงที่รบกวนโสตประสาทอย่างมาก คล้ายกับเจ้าของต้องการทวงถ้วยชามคืน วันรุ่งขึ้นชาวบ้านคนนั้นรวมทั้งลูกหลานจึงได้ช่วยกันทำบายศรีใบตองสด บรรจุข้าวสุก ไข่ต้มและเครื่องเซ่นบูชาอื่นๆ จุดธูปอธิษฐานขอสมาลาโทษที่ปากถ้ำ ขอคืนถ้วยชามที่ยืมไป จึงได้อยู่อย่างปกติสุขดังเดิม ชาวบ้านจึงเรียกเขาลูกนี้ว่าเขาบายศรีกันต่อๆ มา ภายหลังมีผู้คนเพิ่มขึ้นก็เรียก บ้านเขาบายศรี เมื่อชาวบ้านพากันสร้างวัดประจำหมู่บ้านก็ตั้งชื่อว่า วัดเขาบายศรี และตั้งเป็น ตำบลเขาบายศรี ในเวลาต่อมา

yengo หรือ buzzcity

ตำนานสระแก้ว

ตำนานสระแก้ว


สระแก้ว เป็นชื่อของหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ ต.เขาพลอยแหวน อ.ท่าใหม่ มีวัดประจำหมู่บ้าน โดยเรียกวัดนี้ว่า วัดสระแก้ว โดยวัดนี้มีประวัติเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ณ ที่นี้มีภูเขาเตี้ยๆ อยู่ลูกหนึ่ง บนยอดเขามีสระน้ำ โดยน้ำในสระที่เขานั้นมีความใสสะอาด และมีตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่บริเวณตีนเขา โดยสองคนตายายเป็นคนยากจนและเป็นโรคเรื้อนที่มีแผลพุพองอยู่ทั่วร่างกาย วันหนึ่งตาได้ออกไปล่ากระต่ายและตามรอยเลือดของกระต่ายไปจนถึงยอดเขา พบว่ากระต่ายตัวนั้นได้กระโดดลงไปในสระน้ำแห่งนั้น และเมื่อกระต่ายขึ้นมาบาดแผลของกระต่ายตัวนั้นก็หายไป ตาเห็นจึงลงไปแช่ในสระบ้าง แผลพุพองต่างๆที่เกิดจากโรคเรื้อนของตนก็หายไป จึงไปบอกยายให้มาแช่น้ำ บาดแผลของยายก็หายเช่นเดียวกันกับตา ไม่นานข่าวเรื่องของการค้นพบสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไปถึงหูของพระเจ้าแผ่นดิน จึงกำหนดให้ใช้นำ้ในสระนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีสำคัญๆ (บางคนก็ว่าเพราะน้ำในสระนี้ใสมากเหมือนแก้ว บ้างก็ว่าเพราะเคยมีแก้วรัตนชาติอยู่ในสระนี้)

yengo หรือ buzzcity

ตำนานพระเจ้าใหญ่วัดหงส์

ตำนานพระเจ้าใหญ่วัดหงส์


มีตำนานเล่าว่าในสมัยก่อนนั้นท้าวศรีปาก ท้าวเหลือสะท้าน ท้าวไกรสร เสนาบดีเมืองสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันอยู่ในเขต จ.มหาสารคาม) ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายลาวพร้อมด้วยบริวาร ชอบเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ในเขตลุ่มน้ำลำพังชู ตลอดไปจนถึงลุ่มน้ำชี (ในเขต จ.ชัยภูมิ) กล่าวกันว่าการล่าแรดเพื่อเอานอมาทำยานั้น ถ้าพบแรดในเขตพุทไธสงจะไล่ล่าได้ในเขตชัยภูมิ และถ้าพบในเขตชัยภูมิจะไล่ล่าได้ในเขตพุทไธสง ครั้งหนึ่งทั้งสามได้นกขนาดใหญ่สวยงามมากตัวหนึ่งที่บริเวณบึงสระบัว ซึ่งนกตัวนั้นมีชื่อเรียกกันว่า นกหงส์ นกตกตัวนั้นบินมาตกบริเวณป่ารกด้านทิศตะวันออก จึงออกตามหานกตัวนั้นในป่าดังกล่าว แต่กลับได้พบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ด้วยความดีใจจึงเลิกหานกและต่างพากันสำรวจโดยรอบ จึงได้พบกับเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมที่บริเวณด้านหลังองค์พระพุทธรูป และยังพบหนองน้ำขนาดย่อมด้านหน้าองค์พระ และยังพบหัวแรดที่ตายมานานแล้วอยู่ในหนองน้ำนั้น มีต้นตาลเรียงรายอยู่รอบ ๆ มีเถาวัลย์พันอยู่อย่างรุงรัง ไม่มีหมู่บ้านคนในบริเวณนั้น จึงกลับไปบ้านเมืองของตนและได้ชักชวนญาติพี่น้องมาอยู่ที่นี่ แล้วได้ตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า บ้านหัวแรด โดยมีท้าวศรีปาก เป็นเจ้าเมือง เรียกว่า อุปฮาดราชวงศ์ และได้ช่วยกันบูรณพระพุทธรูปและสร้างเป็นวัด ชื่อว่า วัดหงส์ ตามชื่อนกที่ตกบริเวณนี้

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง วังนาคินทร์คำชะโนด

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง วังนาคินทร์คำชะโนด


ได้มีตำนานเล่าขานสืบกันมาว่า มีพญานาค อยู่สองตนได้ปกครองเมืองหนองกระแส โดยครึ่งหนึ่งเป็นของ สุทโธนาค (เจ้าพระยาศรีสุทโธ) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค พญานาคทั้งสองปกครองเมืองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่มีข้อตกลงกันว่า ถ้าหากมีฝ่ายใดออกไปหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะมีเรื่องกัน และอาหารที่หามาได้นั้น ให้นำมาแบ่งกันอย่างละครึ่ง
เมื่อถึงคราวสุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์ ได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้สุทโธนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่าเป็นเนื้อช้างจริง อีกครั้งที่สุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นกลับมาเป็นอาหาร จึงได้นำเนื้อและขนของเม่นไปมอบให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับไม่พอใจ เพราะเมื่อดูจากขนของเม่นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง แต่ปริมาณเนื้อนั้นกลับมีน้อยกว่ามากนัก จึงคิดว่าสุวรรณนาคไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณนาคพยายามที่จะอธิบายแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงเกิดสงครามขึ้นมาระหว่างนาคทั้งสอง
พระอินทร์ทรงทราบเรื่องเข้า จึงหาวิธีที่จะทำให้พญานาคทั้งสองตนหยุดทำต่อสู้กัน โดยให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย หากใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีก ทำให้แม่นำ้โค้งไปโค้งมา จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียด และใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย ได้แก่ แม่น้ำน่าน
สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จก่อน จึงมีปลาบึกเข้ามาอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้ขอทางขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ไว้ 3 แห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งจะมีต้นชะโนดขึ้นอยู่ที่นั่น และให้สุทโธนาคพร้อมด้วยบริวารสามารถที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ (พญาศรีสุทโธ) และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนด เมื่อข้างขึ้น 15 วัน อีก 15 วันข้างแรม ให้กลายเป็นนาค อาศัยอยู่เมืองบาดาล (พญานาคราชศรีสุทโธ)

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ทุ่งกุลาร้องไห้

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ทุ่งกุลาร้องไห้


เมื่อหลายพันปีมาแล้วบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันเป็นทะเลมาก่อน ในทะเลแห่งนี้มีได้สัตว์น้ำน้อยใหญ่อาศัยอยู่มากมาย ได้มีเมืองจำปานาคบุรี ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลแห่งนี้

เจ้านครจำปานาคบุรี มีธิดาชื่อว่า นางแสนสี และยังมีหลานสาวอายุไล่เลี่ยกันชื่อว่า นางคำแพง หญิงสาวทั้งสองมีรูปร่างหน้าที่สวยสดงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจของชายทั้งหลาย ท้าวนครจำปานาคบุรี ได้จัดให้มีคนคอยเผ้าดูแลอย่างดี ผู้ดูแลชื่อว่า จ่าแอ่น ซึ่งจะคอยตามติดอยู่ทุกฝีก้าวไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม และในเมืองจำปานาคบุรีแห่งนี้ ได้มีนาคที่มีอิทธิฤทธิ์สูงอยู่ตนหนึ่ง ซึ่งหากมีชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนก็จะให้ความช่วยเหลือ จนเมืองนี้ได้ชื่อว่า นาคบุรี

ในครั้งนั้นมีเมืองอยู่อีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อว่าบูรพานครตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเล ท้าวผุ้ครองนครมีโอรสชื่อว่า ท้าวฮาดคำโปง และมีหลานชายชื่อว่า ท้าวอุทร ทั้งสองได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่อสู้มา จึงจะลองวิชาโดยจะไปต่อสู้กับนาคที่เมืองจำปานาคบุรีตามคำสั่งของอาจารย์ เมื่อทั้งสองได้เดินทางไปถึงเมืองจำปานาคบุรียังไม่ทันได้ลองวิชา ทั้งสองหนุ่มกลับไปสนใจธิดาและหลานสาว ทั้งสองจึงพยายามที่จะติดต่อกับนางทั้งสองแต่ก็ถูกกีดกันจากจ่าแอ่นผู้ดูแล แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ยังคงพยายามต่อไป และได้รู้มาว่าทุกๆเจ็ดวันนางทั้งสองจะออกมาเล่นน้ำที่ทะเล

ต่อมาหญิงทั้งสองก็ออกไปเล่นน้ำ พร้อมด้วยบริวารตามปกติ ชายทั้งสองเห็นเป็นโอกาสอันดีจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้เป็นหงส์ทองไปขวางเรือไว้ นางอยากได้จึงให้จ่าแอ่นพายเรือตามไปเก็บ ยิ่งตามยิ่งลึกเข้าไปในทะเลแต่ก็ยังไม่สามารถจับ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่กลางทะเลเสียแล้ว ท้าวทั้งสองเห็นจึงเอานางทั้งสองและบริวารขึ้นเรือของตนไป

เมื่อเจ้าเมืองจำปานาคบุรีทราบเรื่องเข้าจึงได้ไปขอให้นาคช่วย นาคจึงบรรดาลให้พื้นทะเลสูงตัวขึ้น น้ำทะเลเหือดแห้งไป เรือของท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรไม่สามารถที่จะแล่นต่อไปได้ จึงเอาจ่าแอ่นไปซ่อนในป่า บริเวณดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกว่า ดงจ่าแอ่น เอานางแสนสีไปซ่อนไว้อีกที่หนึ่ง จึงเรียกว่า ดงแสนสี และเอาหญิงหลานเจ้าเมืองไปซ่อนอีก จึงเรียกบริเวณนั้นว่า ดงป่าหลาน เมื่อน้ำในทะเลทั้งหมดแห้งเหือดไปสัตว์ต่าง ๆ ในทะเลก็พากันตายหมด นกทั้งหลายพากันไปกินซาก ซึ่งกินอยู่ประมาณครึ่งเดือนกว่า กุ้งหอยปูปลาในทะเลก็หมด ก็ได้พากันขี้ทิ้งกองรวมกันไว้เป็นกองใหญ่มาก จนเรียกบริเวณนั้นว่า โพนขี้นก

ท้าวฮาดคำโปง ท้าวอุทร นางแสนสีและนางคำแพง ติดอยู่กลางทะเลที่แห้งเหือดนั้น แต่ชายทั้งสองเกิดหลงรักนางแสนสี จึงเกิดการต่อสู่ขึ้น ท้าวฮาดคำโปงแพ้ถูกฆ่าตาย จึงกลายเป็นผีเฝ้าทุ่ง ในเวลากลางคืนจะกลายเป็นแสงไฟลอยตามหานางแสนสี ชาวบ้านแทบทุ่งกุลาร้องไห้เรียกว่า ผีโป่ง หรือ ผีทุ่งศรีภูมิ

ฝ่ายเจ้าเมืองจำปานาคบุรีเกิดความเห็นใจทั้งธิดาของตนและท้าวอุทรที่ต้องรอนแรมอยู่กลางทุ่งที่แห้งแล้ง จึงอภัยให้ท้าวอุทรหลังจากที่โกรธมานาน จึงมอบไพล่พลไปสร้างดงเท้าสาร หรือ เมืองเท้าสาร และยอมยกนางแสนสีให้เป็นมเหสีของท้าวอุทร

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พื้นเมืองเวียงจันทร์

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พื้นเมืองเวียงจันทร์


ในอดีตกาลนานมา เวียงจันทน์กับไทยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ไทยยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์เสียหลายครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้สักทีทั้งที่ไทยนั้นมีกำลังมากกว่า นั่นก็เพราะว่าเวียงจันทน์มีพระยานาคมาช่วยเหลือ คือเมื่อเจ้าเมืองตีกลองขึ้นมา
พระยานาคก็จะโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วก็พ่นพิษใส่ทหารไทยจนทหารไทยตายเสียหมด

กษัตริย์ไทยทรงทราบเรื่องราวนั้นจึงได้ให้เชียงเมี่ยง ที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม
ปลอมเป็นหมอมอ(หมอโหร) เข้าไปในเมืองเวียงจันทน์ เมื่อสบโอกาสได้เข้าพบกับเจ้าอนุ
เจ้าเมืองเวียงจันทร์ หมอมอเชียงเมี่ยงจึงได้ทำนายว่าเจ้าอนุวงศ์จะได้รับมรดกที่เป็นเงินที่ถูกฝังไว้ที่ครกมอง
เมื่อเจ้าอนุสั่งให้คนไปขุดดูก็ได้พบเงินนั้นจริงๆ จึงทำให้เกิดความศรัทธาเชื่อถือในหมอมอคนนี้มาก
ส่วนสาเหตุที่พบสมบัตินั้นได้ ก็เนื่องมาจากเชียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้วนั่นเอง

ต่อมาเชียงเมี่ยงให้คนทำว่าวติดธนูเอาไว้ด้วย แล้วจึงได้ปล่อยขึ้นไปจนสูงมากๆจนไม่สามารถมองเห็นได้ ได้ยินแต่เสียงธนู
เจ้าอนุแปลกใจเป็นอันมากแต่ก็ไม่สามารถที่จะหาสาเหตุได้จึงให้เรียกหมอมอมาทำนายให้ดู หมอมอเชียงเมี่ยง
ก็ได้ให้คำทำนายว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนมาถึงแก่บ้านเมือง เพราะเสียงนั้นก็คือภูตผีปีศาจที่ร้องโหยหวนเพราะต้องการที่จะลงมากินผู้คน
พระราชา อนุ จึงตรัสถามไปว่าจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรไ้บ้าง หมอมอปลอมบอกว่าจะต้องไปตัดลิ้นของกลองใบนั้น
และให้อุดรูพระยานาคเอาไว้เสีย เสียงนั้นก็จะหายไปและภูติผีปีศาจก็จะไม่ลงมากินผู้คนในเมืองเวียงจันทร์
เจ้าอนุหลงกลเข้าให้จังเบ้อเร่อจึงให้คนทำตามที่หมอมอบอก

ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ไทยไปตีเมืองเวียงจันทร์ พระราชาอนุจึงไม่สามารถเรียกพญานาคออกมาช่วยได้ เมืองเวียงจันทรืจึงได้ถูกตีแตกด้วยเหตุนี้เอง

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ดาวไก่น้อย

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ดาวไก่น้อย


พระอาทิตย์ยามเย็นส่องแสงสีเหลืองนวลตาและใกล้ที่จะลับลงหลังภูเขาเต็มที สองผู้เฒ่าตายายกำลังที่จะกลับมาที่กระต๊อบหลังจากหาฝืนในป่า ยายก็มาหุงหาอาหาร ส่วนตานั้นก็ถือขันข้าวเปลือกไปให้อาหารแม่ไก่กับลูกไก่อีก 6 ตัว ที่พาลูกไปท่องเที่ยวในป่าไผ่หลังกระต๊อบทั้งวัน

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำตายายก็จุดตะเกียงนั่งกินข้าวอยู่ที่นอกชานซึ่งมีหลังคาคลุมอยู่ มีเสียงร่ำลือกันหนาหูว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกรดหลังหมู่บ้าน ตายายกินข้าวกันไปพลางปรึกษากันไปว่าจะฆ่าแม่ไก่ตัวนี้เสีย เพื่อไปจังหันพระ แม่ไก่ที่กำลังกกลูกนอนอยู่พอได้ยินดังนั้นก็บอกกับลูกๆว่า “ลูกเอ้ย….แม่จะต้องตายแล้ว แม่จะต้องตอบแทนบุญคุณของตาและยายชุบเลี้ยงแม่มาตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ” ลูกไก่ทั้ง 6 ได้ยินแม่บอกดังนั้นก็ร้องให้ซบอกแม่แน่นขึ้น แม่ไก่ก็กระซิก สะอื้นพลางสั่งเสียลูกๆทั้ง 6 ต่อไปว่า “ลูกๆทั้ง 6 ต้องรักกัน สามัคคีกัน น้องต้องเชื่อฟังพี่ แม่ตายแล้วก็อย่าพากันออกไปเล่นไกลจากกระท่อม เดี๋ยวจะหลงทางไปได้” นางแม่ไก่ กอดลูกน้อยนอนร้องไห้ทั้งคืน จนหลับไปกลางดึกด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ทว่าคราบน้ำตานั้นก็ยังคงไม่จางหายไปจากตาของแม่ลูก และยังมีลูกไก่บางตัวยังหลับไม่สนิทยังสะอื้นกระซิกๆ ยันสว่าง

บรรยากาศของเช้าวันนี้ ให้ความรู้สึกที่แปลกและเศร้าสลดอย่้า่งมาก แม่ไก่ไม่ได้พาลูกไปออกหากินอย่างเช่นเคย นางยังคงกอดลูกรอคอยความตายอยู่ที่หน้ากระท่อม ถึงแม้นางจะอยากตายเพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณตายาย แต่ก็หาได้อยากที่จะจากลูกในอกไปไม่ นางกอดลูกอยู่อย่างนั้น นั่งรอคอยความตายอยู่อย่างน่าสงสาร บางทีอยากที่จะพาลูกหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็กลัวว่าลูกจะต้องอยู่กันอย่างลำบากยากเข็น ตากับยายเดินลงมาจากกระท่อมาแล้ว ตายายตรงรี่เข้าไปหาแม่ไก่ในทันที ตามปกติแล้วการจับไก่ที่ไม่ค่อยเชื่องต้องใช้คนหลายคนวิ่งไล่จับกันเป็นพัลวัน พอจนมุมแล้วจึงค่อยก็จับคอแล้วรวบขา แต่แม่ไก่ตัวนี้กลับยอมให้ตาอุ้มไปแต่โดยดี ลูกไก่ได้ออกจากอกแล้ว น้ำตาของทั้งสองฝ่ายต่างไหลออกจากตาอีกครั้งและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหยุดไหลได้เสียที ลูกไก่วิ่งตามตามาอย่างสุดฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจที่จะห้ามตากับยายได้

แม่ไก่โดนยายถอนขนที่อยู่บริเวณต้นคอของแม่ไก่ นางแม่ไก่ก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ลูกไก่ก็ได้แต่ร้อง เจี๊ยบๆๆๆ ยิ่งมีกันหลายตัว ก็ยิ่งส่งเสียงหนวกหูคนฟัง แต่ความจริงแล้ว ลูกไก่เหล่านั้นกำลังร้องเรียกหาแม่ของตน บ้างก็ร้องไห้รำพึงรำพันถึงแม่ บางตัวก็ถึงกับต่อว่าด่าตากับยาย แม่ไก่ถูกถอนขนออกไปเกือบถึงครึ่งคอ ตาก็หยิบมีดมา เพื่อจะปาดคอแม่ไก่ให้ตาย แม่ไก่หลับตาแน่น ลูกไก่ยิ่งร้องเจี๊ยบๆๆ ดังขึ้นไปอีก บัดนี้มีดที่ตาหยิบมาได้ปาดเนื้อเข้าที่คอของแม่ไก่เสียแล้ว เลือดกำลังไหลรินออกมาอย่างช้าๆ ยายเอาถ้วยมารองเลือดไว้ ตาใช้มีดปาดไปมาอีกสองสามครั้งเลือดก็ไหลออกมาดังเปิดก๊อกน้ำ บัดนี้แม่ไก่หมดซึ่งเรี่ยวแรงเสียแล้ว และเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือคณา ลูกตาของแม่ไก่เหลือกขึ้นข้างบนแล้วก็สะอึกสองทีแล้วนางแม่ไก่ก็ตายจริงๆ ลูกไก่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาก็ได้แต่ส่งเสียงร้องเรียกแม่ของตนด้วยความไร้เดียงสา เจี๊ยบๆๆๆ เสียงนี้ดังก้องไปทั่วบริเวณ…

แม่ไก่ตายแล้ว…..แม่ไก่ตายแล้วไม่รู้ว่าลูกจะอยู่อย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าลูกต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อขาดแม่ไป ลูกไก่เฝ้าแต่ร้องร่ำไห้เรียกหาแม่อยู่ตลอดเวลา
น้ำร้อนเดือดแล้ว ยายนำร่างของแม่ไก่ไปลวกแล้วจัดการถอนขนออก ในตอนนี้แม่ไก่ไม่รู้หรอกว่า ตอนที่แม่ถูกถอนขน มันเจ็บปวดในหัวใจของผู้เป็นลูกที่เห็นผู้แม่ถูกกระทำเยี่ยงนี้ ใจลูกอยากจะตายแทนแม่เสียเหลือเกิน แม่จ๋า แม่จ๋า แม่อยู่ไหน ลูกจะตายไปกับแม่ แม่รอหนูนะจ๊ะ ไม่ว่าแม่อยู่หนแห่งใด หนูจะตามแม่ไปทุกที่ หนูจะไปเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติ แม้แม่จะเกิดเป็นไส้เดือนกิ้งกือ หนูก็จะไปเกิดในท้องของแม่ แม้แม่จะเกิดเป็นพยาธิหนูก็จะไปเกิดในท้องแม่ ทำไม ทำไมแม่ต้องมาจากหนูไปด้วยเล่า แม่จ๋า แม่จ๋า แม่อยู่ที่ไหน ทำไมแม่ไม่พาหนูไปอยู่กับแม่ด้วย

พอยายถอนขนออกจนเกรียนแล้ว ยายจึงเอาร่างนั้นไปจี่้ไปเพื่อเผาขนอ่อนที่เหลืออยู่ ทันใดนั้นเอง ลูกไก่ทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจ กระโดดเข้าไปในกองไฟเพื่อตายไปกับแม่

ด้วยอานิสงส์อันประเสริฐ ทั้งหมดจึงได้กลายไปเป็นดาว

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง กระต่ายเจ้าเล่ห์

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง กระต่ายเจ้าเล่ห์


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า มีกระต่ายอยู่ตัวหนึ่ง มีความเฉลียวฉลาดมาก อยู่มาในวันหนึ่งกระต่ายตัวนี้เห็นยายแก่คนหนึ่งเอาข้าวไปถวายพระที่วัด พร้อมกับมีกล้วยอยู่หวีหนึ่งใส่ไว้ในกระเฌอทูนไว้บนหัว กระต่ายตัวนั้นอยากกินกล้วยมากจึงใช้อุบายหลอกยายเพื่อที่ตนจะได้กินกล้วยของยาย จึงรีบวิ่งไปดักที่กลางทาง โดยการแกล้งล้มลงนอนตายอยู่ เมื่อยายเดินมาเห็นกระต่ายนอนตายอยู่ก็ได้แต่แปลกใจ จึงจับขึ้นมาดูเห็นตัวยังอุ่นๆอยู่จึงจับใส่กระเฌอแล้วก็ทูนหัวต่อไป
ฝ่ายกระต่ายเมื่อได้ลงไปในกระเฌอของยายสมตามความตั้งใจ ก็ลุกขึ้นมาปลอกกล้วยกินและได้ทิ้งเปลือกไปข้างหลัง ส่วนยายนั้นเมื่อได้ยินเสียงทิ้งเปลือกกล้วยก็หันกลับไปดู แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ได้เห็นแต่เปลือกกล้วย ก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าใครนะเดินทางไปก่อนตน เมื่อยายหันไปข้างหลัง กระต่ายก็ทิ้งเปลือกกล้วยไปข้างหน้า เมื่อยายหันหน้าเพื่อที่จะเดินต่อไปก็เห็นเปลือกกล้วยอีกแล้วก็กล่าวว่า เปลือกกล้วยนี้ยังคงใหม่อยู่เลยคงจะต้องมีใครสักคนอยู่ข้างหน้าใกล้ ๆ นี้แหละง และคงจะเดินไปกินกล้วยไปด้วย ยายจึงรีบก้าวเดินไปเพื่อที่จะให้ทัน แม้ยายคนนั้นจะรีบเดินมากเท่าไรก็ตามไม่ทันเสียที จนกระทั่งยายเหนื่อยจึงหยุดพักเอากระเฌอวางลง ก็ได้เห็นกระต่ายกินกล้วยของตนจนหมดหวี เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็โกรธมาก กระต่ายก็กระโดดออกวิ่งไปยายก็รีบวิ่งตามไปเพื่อหมายที่จะตีกระต่ายตัวนั้น กระต่ายก็วิ่งขึ้นไปอยู่บนต้นคลุ้ม ยายตีไม่ได้จึงได้เอากรรไกรที่มีไว้ผ่าหมากตัดต้นคลุ้มนั้นกระต่ายได้เห็นดังนั้นก็ตกใจเป็นอันมาก ด้วยความที่ฉลาดและมีไหวพริบดี จึงกล่าวกับยายว่า

“ยายเอ๋ยถ้ายายเอากรรไกรนั้นตัดต้นคลุ้มนี้ กรรไกรของยายจะหักเอาเสียเปล่า ๆ เพราะต้นคลุ้มนั้นมันแข็งมาก ถ้ายายไม่เชื่อยายก็ลองเอากรรไกรขูดดูแก่น ของมันซี แก่นของมันจะมีสีแดงแจ๋ทีเดียว” ยายก็สงสัยจึงเอากรรไกรขูดต้นคลุ้มดู เมื่อเอาเปลือกด้านนอกออกก็เห็นด้านในก็เป็นสีแดง ยายก็คิดว่าเป็นแก่นจริง ๆ จึงไม่กล้าตัด จึงไปหาเอามีดมา เมื่อยายไปแล้ว กระต่ายก็วิ่งไปอยู่ในโพรงของต้นไม้ ยายก็จับตีไม่ได้อีก ยายจึงคิดอ่านเอาบ่วงมาดักไว้ที่ปากโพรงต้นไม้ หากกระต่ายออกมาจะได้ติดบ่วง เมื่อยายดักบ่วงเสร็จกระต่ายก็คิดว่าหากตนออกไปต้องติดบ่วงตายเป็นแน่แท้ จึงคิดหลอกยายอีกครั้ง แล้วก็บอกกล่าวกับยายอีกว่า

“ยายเอ๋ยทำบ่วงดักฉันอย่างนั้นนะไม่มีวันที่ได้ตัวฉันหรอกน่ายาย เพราะบ่วงอย่างนั้นมันไม่รูด ถ้ายายไม่เชื่อยายก็ลองเอาขาของยายใส่ลงดูก่อนก็ได้นะ” ฝ่ายยายก็สงสัยว่าเป็นจริงอีก จึงเอาขาใส่ลงไปในบ่วงดูคันของบ่วงก็ยกขึ้น ตอนนี้บ่วงติดขาของยายเสียแล้ว ทำให้ยายต้องห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้น กระต่ายก็ออกจากโพรงไปได้ แล้วก็หัวเราะเยาะยายว่า “ยายหน้าโง่ติดบ่วงๆปเถิดข้าไปก่อนหละ ว่าแล้วกระต่ายก็จากไป”

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง รวมคนขี้โม้

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง รวมคนขี้โม้


มีชายอยู่ 3 คน เป็นเพื่อนบ้านกัน ชื่อดอกบวบ ดอกรัก ดอกคูน วันหนึ่งทั้ง 3 คนได้มาพบกัน และได้ตกลงกันว่าให้แต่ละคนเล่านิทานให้เพื่อนฟังกันคนละเรื่อง โดยให้เป็นเรื่องที่โม้ที่สุด
ดอกบวบเป็นคนที่เล่าก่อนก็เริ่มเล่าดังนี้

ฉันมีปืนยาว 7 คืบ อยู่กระบอกหนึ่ง ใส่ดินปืนเข้าไป 8 คืบ พร้อมทั้งใส่ลูกปืนไป 8 ลูก แล้วฉันก็ออกเดินทางหายิงนกเป็ดน้ำเมื่อไปที่หนองแห่งหนึ่ง ก็ได้ไปพบเอานกเป็ดน้ำ 8 ตัว เล่นนำ้บ้างลอยคอบ้างอยู่ในหนองน้ำแห่งนั้น ฉันก็ได้ยิงปืนออกไปโป้งเดียวเท่านั้น ถูกนกเป็ดน้ำตายไปทั้งหมดถึง 7 ตัว ส่วนอีกตัวหนึ่งบินขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า ฉันก็เดินเข้าไปเก็บนกเป็ดน้ำที่ฉันยิงตายในหนอง ก็งมไปเจอกับลูกปืนที่จมน้ำอยู่ลูกหนึ่ง ฉันก็เลยบอกกับลูกปืนไปว่า “โน่นนกเป็ดน้ำบินอยู่บนฟ้าโน่น” เจ้าลูกปืนก็วิ่งปรูดขึ้นไปในอากาศ ถูกนกเป็ดน้ำที่บินอยู่บนฟ้านั้นตกลงมา ฉันเลยได้นกเป็ดน้ำเพิ่มอีกตัวหนึ่ง
ดอกรักทำหน้าที่เล่าบ้างว่า

เมื่อวานฉันเข้าไปเข้าป่าแล้วเอากระบอกน้ำเข้าไปด้วย เมื่อไปถึงป่าแฝกแล้วก็ตั้งกระบอกน้ำทิ้งไว้ แล้วลงมือเกี่ยวแฝก ขณะที่ข้าทำการเกี่ยวแฝกอยู่นั้นเอง แฝกมันเคลื่อนไปเคลื่อนมาพอดีตอนนั้นเกิดมีหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งมา ฉันเลยขว้างหมูป่าตัวนั้นด้วยเคียว ด้ามเคียวเข้าไปคาในตูดของหมูป่า หมูป่ามันก็เกิดตกใจแล้วก็วิ่งไปวิ่งมาคงกะจะให้เคียวมันหลุดอกมา เคียวก็เกี่ยวแฝกให้ฉันหมดป่าเลย แถมวันนั้นเผอิญเกิดไฟไหม้ในป่า แล้วมาไหม้กระบอกน้ำที่ข้าวางทิ้งไว้ด้วย เหลือแต่น้ำตั้งโด่ฉันยังได้กินน้ำนั้นอยู่เลย

ดอกคูนก็เล่าบ้างว่า
เมื่อวานนี้นะฉันไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่าใหญ่ เผอิญไปเจอช้างเข้า ก็เลยยิงช้างตาย แล้วฉันก็เอามีดออกมมาเถือหนัง เถือตรงไหนมันก็ไม่เข้าซักกะที ฉันเหนื่อยเต็มทีจึงไปนั่งพักอยุ่ที่ใต้ร่มไม้ พอดีตอนนั้นมีอีแร้งมาจากไหนก็ไม่รู้ บินมาสัก 50 ตัวได้อยู่ อีแร้งมันคงหิวก็มาจิกช้างกิน มันจิกตรงไหนก็จิกไม่เข้า มันก็ลองไปจิกตรงตูดช้าง ตูดช้างก็โหว่ อีแร้งมันก็พากันเข้าไปอยู่ในท้องช้างกันหมดเลย ฉันก็เลยลองเอาใบไม้ไปอุดตูดช้างไว้ แล้งพอดีตอนนั้นมีเจ็กสองคนพ่อลูกเดินผ่านมา บอกว่าจะไปเมืองจีน ขอซื้อช้างฉันว่าจะขายเท่าไร ฉันเลยตกลงขายไป 500 บาท แล้วตาแป๊ะก็โดดขึ้นช้างไปส่วนลูกก็กอดเอว ช้างมีอีแร้งอยู่ในท้องก็บินขึ้นไปบนฟ้าเลย เผอิญลูกเจ๊กเกิดถ่ายท้อง เมื่อถ่ายแล้วไม่มีอะไรจะเช็ดตูด ดันไปเอาใบไม้มาจากตูดช้างเพื่อมาเช็ด อีแร้งเห็นรูออกแล้วดังนั้นจึงบินออกมาจากท้องช้าง ช้างไม่มีอีแร้งข้างในแล้วช้างก็เลยตกลงมาจากฟ้า เจ็กและลูกจึงตกลงมาตายทั้งหมด

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หัวล้านหลื่นครู

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หัวล้านหลื่นครู


เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง หัวล้านนอกครู

ทิดทอง กับ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ร่ำเรียนหนังสือตำรับตำราด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ถึงฐานะของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีรังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสองบวชเรียนด้วยกันจนกระทั้งสึกออกมา ทั้งสองก็ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบกิจการงานอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง

วันหนึ่งมีได้พ่อค้าเร่ขายนำน้ำมันใส่ผมมาขายถึงในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อมาใช้คนละขวด เวลาต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงออกๆ จนกลายเป็นคนหัวล้านไปซะทั้งคู่ ทั้งสองรู้สึกอับอายเป็นอันมาก ไม่อยากที่จะออกไปไหน กินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ

ชาวบ้านรู้เรื่องนั้นเข้าก็แกล้งอำๆ ว่าถ้าเอาไอ้นั่น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะออกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่ง ขี้ไก่โป่(อ้วก…!!!!) มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน

จนทั้สองต้องไปพึ่งโยคีที่อยู่กลางป่า โยคีบอกว่าให้ไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม ทั้งสองจึงทำตาม ดำครั้งแรกโผล่หัวขึ้นมาผมก็ขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ก็มีผมออกมาพอประมาณ ครั้ง 3 ผมนั้นเต็มหัวยาวประมาณ 3-4 เซนฯ แต่ทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัว เนื้อตายไปแล้วผมจึงขึ้นไม่ได้ แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี ทั้งสองได้ปรึกษากันเองว่า หากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องขึ้นเป็นแน่ จึงดำน้ำลงไปอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อโผล่หัวขึ้นมา กลับกลายเป็นคนหัวล้านกบาลใสเช่นดังเดิม คราวนี้แม้แต่โยคีก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งสองร้องได้แต่ไห้โวยวาย และเดินก้มหัวกลับบ้านด้วยความผิดหวัง

นี่แหละ ที่มาของคำว่าหัวล้านหลื่อครู
ข้อคิด
- อย่าหลื่นคำผู้ใหญ่บอก ผู้ใหญ่สอน บอกคำไหนต้องคำนั้น
- เราเกิดบนแผ่นดินเดียวกัน รักกันไว้แหละดี

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง สองเครือน้ำตาหลั่ง

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง สองเครือน้ำตาหลั่ง


เมื่อนานมาแล้ว มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันมีลูกกันถึงอยู่ 7 คน แต่จะว่า 7 คนนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะสามีนั้น มีเมียและมีลูกมาแล้ว 4 คน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันคนปัจจุบัน มีลูกให้อีก 3 คน แต่เมียคนแรกตายไปแล้ว เป็นอันว่าลูกทั้งหมดเป็น 7 คน ลูกทั้งหมดก็เป็นหญิงล้วน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ทั้ง 7 ก็ได้ไล่เลี่ยกันไป ทองพันแม่ของลูกทั้ง 7 คนได้ไปส่งลูกที่สถานีรถไฟ หากแต่ทว่า บัวตองและหนึ่งฤทัย ได้แอบลอบลงไปจากรถไฟ แอบหนีไปหาแฟนที่กระท่อมปลายนาของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับบ้านของตนที่อาศัยอยู่เดิม คู่ของหนึ่งฤทัยนั้นได้หนีไปอยู่ไต้หวัน ส่วนทางด้านคู่ของบัวตองได้ไปอยู่ที่นาร้าง จนกระทั่งมีลูก

ผัวของบัวตองชื่อ คำไผ่ วันหนึ่งคำไผ่ได้ออกจากกระท่อมปลายนาไปหาปลา ในตอนนั้นบัวตองท้องแก่ เจ็บจะคลอดลูกท้องอย่างแรง ยายขมิ้น ได้ผ่านมาหาหน่อไม้และพบเข้า จึงช่วยทำคลอดให้กับบัวตอง พอทำคลอดเสร็จแล้ว ยายขมิ้นก็นึกได้ว่าหน้าคุ้นๆ หลังจากนั้นไม่นานจึงนึกออกว่าเป็น บัวตอง ลูกนางทองพันนี่เอง จึงนำข่าวไปบอกแก่นางทองพันให้ทราบ ส่วนผัวของนางทองพันได้ยินเรื่องเข้าแกก็โกรธและรีบวิ่งแจ้นไปหาไอ้คำไผ่ พอเจอก็เกิดการต่อยตีกัน จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต นางทองพันก็ดุด่าว่ากล่าวลูก ว่าส่งให้ไปร่ำไปเรียนดันมาทำอัปรีย์เยี่ยงนี้ พูดไปด่าไปจากโมโห กลายเป็นร้องไห้ไปเสีย และไปหาพ่อกับแม่ของคำไผ่ ซึ่งมีฐานะเป็นถึง ขุนนางเก่า ให้มาสู่ขอนางบัวตองให้ถูกจารีตประเพณี แต่เศรษฐีหาได้สนใจไม่ พร้อมทั้งบอกว่ากับนางทองพันว่า ลูกของตนเองไม่มีทางทำอย่างนั้นเป็นอันขาด

นางทองพันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสามีก็ถูกจับ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็มีแต่จับอย่างเดียวเพื่อเอาแต่ผลงาน นางทองพันเลย จับนางบัวตองบวชชี ส่วนหลานนั้น นางจะเป็นคนดูแลเอง เวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ บัวตองก็ได้แอบหนีออกจากวัด ไปหาคำไผ่อีก เมื่อนางทองพันรู้เข้าก็ได้แต่ด่าและจับล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน ส่วนคำไผ่นั้นก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะพานางบัวตองเมียของตนหนี จนสามารถทำได้สำเร็จ ปล่อยให้นางทองพันเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว นางทองพันได้แต่กล่อมหลานไกวเปลเห่ร้องอย่างเดียวดาย ส่วนสามีนั้นพอออกมาจากคุกมาก็ได้กลับมาช่วยดูแลอย่างแต่เดิม แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะลูก ทั้ง 5 ยังเหลืออยู่ เอ๊ะ หรือว่า ลูกทั้ง 5 นั้น จะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

- บุญคุณพ่อแม่นี้หนักเกิ่ง ธรณี ผู้ได้ยอเยินยก สิรุ่งเรื่องไปหน้า ผู้ได้วาจาต้านสองเครือน้ำตาหลั่ง บาปท่อฟ้าเวรกรรมท่อแผ่นดิน

yengo หรือ buzzcity