จวงจื่อขอยืมข้าวจากเจียนเหอโหว

จวงจื่อขอยืมข้าวจากเจียนเหอโหว



ครอบครัวของจวงโจวยากจนมาก เขาจึงไปขอยืมข้าวจากเจียนเหอโหว เจียนเหอโหว กล่าวว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เร็วๆนี้ข้าจะได้รับเงินภาษีจากไพร่ในที่ดินศักดินาของข้า เมื่อได้มาแล้วข้าจะให้ท่านยืมสามร้อยตำลึงทอง”

จวงโจวหน้าแดงด้วยความโกรธ กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ ขณะที่ข้ากำลังเดินทางมาที่นี่ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อข้า เมื่อหันไปรอบๆก็เห็นปลาหมอตัวหนึ่งนอนดิ้นกระเสือกกระสนอยู่ในรอยเกวียน ข้าจึงร้องถามไปว่า “เจ้าปลา เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” มันตอบว่า “ข้าคืออำมาตย์แห่งทะเลบูรพา ขอน้ำแก่ข้าสักกระบวยหนึ่ง เพื่อยังชีวิตอยู่ต่อไป” ข้าก็บอกมันไปว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ข้ากำลังมุ่งสู่แดนใต้ไปยังแคว้นอู๋และแคว้นเย่ว์ และจะขุดร่องเปลี่ยนเส้นทางน้ำมายังที่ที่ท่านนอนอยู่นี้” ปลากล่าวตอบด้วยความโกรธว่า “ข้ากำลังสูญสิ้นพลังชีวิต! ไม่อาจดิ้นรนไปไหนได้อีก หากท่านให้น้ำแก่ข้าสักกระบวยหนึ่ง ข้าก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าท่านให้คำตอบแก่ข้าเช่นนั้น ท่านก็จะได้เห็นข้ากลายเป็นปลาแห้งที่แผงขายปลาในตลาด”

yengo หรือ buzzcity

จ่ง ผู้ชาญกลยุทธ์กอบกู้แผ่นดิน นำหายนะมาสู่ตน

จ่ง ผู้ชาญกลยุทธ์กอบกู้แผ่นดิน นำหายนะมาสู่ตน



โกวเจี้ยนนำกำลังสามพันสวมชุดเกราะพร้อมติดอาวุธ ถอยมาตั้งหลักที่ภูเขากุ้ยจี เวลานั้นจ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้กลยุทธ์ในการกอบกู้แผ่นดิน แต่ก็มีเพียงจ่งผู้เดียวที่ไม่รู้ถึงสิ่งซึ่งจะนำหายนะมาสู่ชีวิตตัวเองดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นัยน์ตาของนกเค้าแมวมีความพิเศษเฉพาะตัว ขาของนกกระยางมีสัดส่วนที่เหมาะสมเฉพาะตัว ความพยายามจะบั่นทอนสิ่งเหล่านี้ ย่อมจะทำให้สัตว์เหล่านั้นเป็นทุกข์

yengo หรือ buzzcity

ขงจื่อเปลี่ยนแปลงหกสิบครั้ง

ขงจื่อเปลี่ยนแปลงหกสิบครั้ง



ฉีว์ปั๋วอี้ว์ดำเนินชีวิตผ่านกาลเวลามาถึงหกสิบปี และได้เปลี่ยนแปลงถึงหกสิบครั้งเช่นกัน ไม่มีแม้สักครั้งเดียวที่สิ่งที่เขาบอกว่า “ถูก” ในตอนต้นนั้น จะไม่กลายเป็นสิ่งที่เขาปฏิเสธและบอกว่า “ผิด” ในตอนท้าย ดังนั้น ในขณะนี้ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาบอกว่า “ถูก” อยู่ในขณะนี้นั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่เขาบอกว่า “ผิด” ตลอดห้าสิบเก้าปีที่ผ่านมา สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต แต่ก็ไม่มีผู้ใดเห็น “ที่มา” ของมัน มันล้วนอุบัติขึ้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดเห็นช่องทางที่ล่วงออกมา ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับสิ่งที่ปัญญาพวกเขาสามารถเข้าใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจถึงสิ่งที่ปัญญาพวกเขาไม่สามารถเข้าใจ และสามารถหยั่งถึงได้ในที่สุด เราไม่อาจเรียกขานสิ่งนี้เป็นอื่นไปได้ นอกจากความพิศวงอันยิ่งใหญ่ ปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้นเถิด ปล่อยไว้เช่นนั้น ท่านก็ไม่อาจหลีกหนีมันพ้น นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “เป็นเช่นนั้น” และ “เป็นเช่นนั้นละหรือ”

จวงจื่อกล่าวแก่ฮุ่ยจื่อว่า “ขงจื่อได้ดำเนินชีวิตผ่านกาลเวลามาถึงหกสิบปี และก็ได้เปลี่ยนแปลงถึงหกสิบครั้ง และสิ่งที่ในตอนแรกเขาบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องนั้น ในที่สุดเขาก็บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงไม่อาจบอกได้ว่า สิ่งที่เขาบอกว่าเป็นสิ่งถูกต้องในขณะนี้นั้น เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าไม่ถูกต้องเมื่อห้าสิบเก้าปีที่ผ่านมาหรือไม่”

yengo หรือ buzzcity

ไต้จิ้นเหรินเล่าเรื่องหอยทากแก่เว่ยอิ๋ง ผู้คิดส่งคนไปสังหารเถียนโหวโหมว

ไต้จิ้นเหรินเล่าเรื่องหอยทากแก่เว่ยอิ๋ง ผู้คิดส่งคนไปสังหารเถียนโหวโหมว



เว่ยอิ๋งผู้ปกครองแคว้นเว่ยได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับเถียนโหวโหมวแห่งแคว้นฉี แต่เถียนโหวโหมวกลับทรยศ สร้างความโกรธแค้นแก่เว่ยอิ๋ง จึงคิดแผนส่งคนไปสังหาร กงซุนเหยี่ยนขุนพลกลาโหมได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกละอายนัก โต้แย้งขึ้นว่า

“พระองค์เป็นผู้ปกครองแคว้นอันเกรียงไกรพร้อมด้วยขุนพลนับหมื่น แต่กลับดำริส่งสามัญชนไปชำระความแค้น ข้าต้องการกองทัพทหารหาญสองแสนเพื่อแก้แค้น กวาดต้อนราษฎรแคว้นฉีมาถวายแด่พระองค์ ข้าจะทำให้ศัตรูสับสนคลั่งแค้นกระทั่งล้มป่วยด้วยฝีกลางหลัง จากนั้นข้าก็จะบุกเข้าจู่โจมเมืองหลวง และเมื่อแม่ทัพเถียนจี้ล่าถอยหนี ข้าก็จะฟันที่กลางหลังของเขา”

เมื่อจี้จื่อผู้ทรงคุณธรรมได้ยินเข้า ก็เต็มไปด้วยความละอาย และกล่าวขึ้นว่า “เมื่อมีดำริให้สร้างกำแพงสูงใหญ่ และขณะที่จวนจะเสร็จสมบูรณ์อยู่นั้น ก็กลับสั่งให้รื้อทำลาย เหล่าไพร่ที่ถูกเกณฑ์แรงงานย่อมเฝ้าดูด้วยความเจ็บปวดที่สู้เหนื่อยยากลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นของเรามิได้ระดมกองทัพมาเป็นเวลาถึงเจ็ดปี และความสงบสุขนี้คือรากฐานการปกครองของพระองค์ กงซุนเหยี่ยนเป็นทรชนก่อความวุ่นวาย อย่าได้นำพาต่อคำแนะนำของเขา”

ฮว่าจื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชิงชัง จึงกล่าวขึ้นว่า “ผู้ผลีผลามบอกว่า ‘โจมตีฉี’ นั้น เป็นทรชนผู้ก่อความวุ่นวาย และผู้ผลีผลามบอกว่า ‘อย่าโจมตีฉี’ นั้น ก็เป็นทรชนก่อความวุ่นวายเช่นกัน และผู้ที่บอกว่าทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านการโจมตีนั้น เป็นทรชนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็เป็นทรชนเช่นกัน”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าควรทำเยี่ยงไร?” เว่ยอิ๋งถาม

“จงค้นหามรรคา เพียงเท่านั้น” ฮว่าจื่อตอบ

เมื่อฮุ่ยจื่อได้ยิน ก็พาไต้จิ้นเหรินมาเฝ้าเว่ยอิ๋ง ไต้จิ้นเหรินกล่าวว่า “มีสัตว์ชนิดหนึ่งเรียกว่าหอยทาก พระองค์รู้จักมันหรือไม่?”

“ย่อมรู้จัก”

“ที่เขาด้านซ้ายของมัน มีแว่นแคว้นชื่อ ‘รุกราน’ และที่เขาด้านขวาของมัน มีแว่นแคว้นชื่อ ‘ป่าเถื่อน’ ทั้งสองแคว้นต่างวิวาทแย่งชิงดินแดนและได้เปิดศึกสู้รบกัน กระทั่งซากศพนับหมื่นเกลื่อนสนามรบ ผู้กำชัยชนะออกตามล่าทหารที่พ่ายแพ้ไปอีกสิบห้าวัน จึงได้กลับคืน”

“อา! ท่านเล่าเรื่องตลกไร้สาระ” เว่ยอิ๋งท้วงขึ้น

“ข้าขอเล่าความจริงสักเรื่อง พระองค์เชื่อหรือไม่ว่าทิศทั้งสี่รวมถึงทิศเบื้องบนและทิศเบื้องล่างนั้นมีขอบเขต”

“ทิศเหล่านี้ล้วนไร้ขอบเขต” เว่ยอิ๋งกล่าว

“และพระองค์ทราบหรือไม่ว่า เมื่อจิตใจท่องไปในความไร้ขอบเขต และหวนกลับมายังดินแดนที่เรารู้จักและสัญจร ดินแดนเหล่านี้ช่างเล็กน้อยเสียจนมิอาจแน่ใจว่ามันมีอยู่หรือหาไม่”

“ใช่” เว่ยอิ๋งตอบรับ

“และบรรดาดินแดนที่เรารู้จักและสัญจรไปนั้นก็มีแคว้นเว่ย ภายในแคว้นเว่ยก็มีเมืองเหลียง และภายใน เหลียงก็มีท่าน ฉะนั้น มีความแตกต่างอย่างไรระหว่างพระองค์กับผู้ปกครองแคว้นป่าเถื่อน”

“หามีไม่” เว่ยอิ๋งตอบ

หลังจากอาคันตุกะอำลาจากไป เว่ยอิ๋งก็นิ่งงันราวกับกำลังหลุดออกจากโลก ฮุ่ยจื่อได้เข้ามาปรากฏกายต่อหน้า เว่ยอิ๋งจึงกล่าวขึ้นว่า “อาคันตุกะผู้นั้นเป็นผู้ทรงคุณธรรมยิ่งใหญ่ แม้นปราชญ์ก็มิอาจเทียบเทียมเขาได้”

ฮุ่ยจื่อกล่าวว่า “เมื่อท่านเป่าขลุ่ย ก็จะเกิดเสียงอันกังวาน เมื่อท่านเป่าลมใส่โกร่งดาบ ก็จะเกิดเสียงลมแผ่วๆ ประชาชนต่างสรรเสริญเทิดทูนเหยาและซุ่น แต่หากท่านสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของเหยาและซุ่นต่อหน้าไต้จิ้นเหริน ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงแผ่วๆเท่านั้น”

yengo หรือ buzzcity

เต่าศักดิ์สิทธิ์เข้าฝันซ่งหยวนจวิน

เต่าศักดิ์สิทธิ์เข้าฝันซ่งหยวนจวิน



คืนหนึ่ง ซ่งหยวนจวินฝันเห็นชายผมเผ้ายุ่งเหยิง แอบมองอยู่ตรงประตูข้างตำหนัก ชายนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามาจากวังน้ำไจ่ลู่ ขณะเป็นทูตของเทพแห่งฉังเจียงไปคารวะเทพแห่งหวงเหอ ก็ถูกชายหาปลาอี๋ว์เฉี่ยจับ”

เมื่อซ่งหยวนจวินตื่นขึ้น ก็สั่งให้โหราจารย์ทำนายฝัน พวกเขากล่าวว่า “ชายในฝันนี้คือเต่าศักดิ์สิทธิ์”

“และมีชายหาปลาชื่ออี๋ว์เฉี่ยจริงหรือไม่?” ซ่งหยวนจวินถาม

“มีอยู่จริง”

“ถ้าเช่นนั้นเรียกเขามาที่นี่” ซ่งหยวนจวินสั่ง

วันถัดมาอี๋ว์เฉี่ยก็มาปรากฏตัวที่ท้องพระโรง ซ่งหยวนจวินถามขึ้นว่า “เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าจับปลาชนิดไหนได้?”

อี๋ว์เฉี่ยตอบว่า “มีเต่าเผือกตัวหนึ่งติดมาในแหของข้า มีลำตัวใหญ่ถึงห้าศอก”

“จงนำเต่าของเจ้ามาที่นี่” เจ้าครองแคว้นสั่ง เมื่อคนหาปลานำเต่ามามอบให้ ซ่งหยวนจวินไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะสังหารหรือปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงปรึกษาบรรดาโหราจารย์ และได้คำตอบว่า “สังหารมันเถิด และนำกระดองมาเสี่ยงทาย มันจะนำโชคลาภใหญ่มาให้” ดังนั้น เต่าจึงถูกสังหาร และเจาะรูที่กระดองเจ็ดสิบสองรูเพื่อใช้เสี่ยงทาย และคำทำนายเหล่านั้นก็ไม่เคยผิดพลาด

ขงจื่อจึงกล่าวว่า “เต่าศักดิ์สิทธิ์สามารถปรากฏกายแก่ซ่งหยวนจวินในฝัน แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นจากแหอวนของอี๋ว์เฉี่ยได้ แม้มันให้คำตอบที่แม่นยำต่อคำถามทั้งเจ็ดสิบสองข้อ แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นจากหายนะ ถูกชำแหละท้องและเชือดออกเป็นชิ้นๆ แท้จริงแล้วภูมิปัญญามีเขตจำกัด กระทั่งพลังจิตวิญญาณก็หาอาจช่วยได้ไม่ แม้กระทั่งภูมิปัญญาอันล้ำลึกที่สุด ก็อาจตกหลุมพรางของกลอุบายนับพัน ปลาไม่มีปัญญาพอที่จะระวังแหนอวน แต่กลัวนกกระทุงนักล่า ละทิ้งภูมิปัญญาอันเล็กน้อย ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ก็จะปรากฏแจ่มชัด ละทิ้งความดีงาม และความดีงามก็จะปรากฏขึ้นด้วยตัวเอง

“เด็กเล็กเรียนรู้การพูด แม้ไม่มีครูผู้ทรงความรู้คอยสั่งสอน เพียงเพราะพวกเขามีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนที่พูดเป็น”

yengo หรือ buzzcity

เจิงจื่อฆ่าสุกร

เจิงจื่อฆ่าสุกร



วันหนึ่ง ภรรยาเจิงจื่อกำลังเดินไปยังตลาด ลูกน้อยวิ่งตามพลางร้องไห้ ผู้มารดาบอกว่า “เจ้ากลับไปบ้านก่อน ข้ากลับจากตลาดแล้วก็จะเชือดหมู่ต้มแกงให้เจ้ากิน” เมื่อภรรยากลับมาถึงบ้าน ก็พบผู้สามีกำลังเชือดหมู จึงร้องห้าม กล่าวว่า “ข้าเพียงแต่แสร้งบอกลูกไปเท่านั้น” เจิงจื่อจึงว่า “อย่าได้พูดเล่นกับลูกอีก เด็กยังมิมีปัญญา พวกเขากำลังเรียนรู้จากพ่อแม่ ฟังคำของพ่อแม่ วันนี้เจ้าโกหกลูก ก็คือการสอนลูก แม่หลอกลวงลูก ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ นี่เป็นการให้การศึกษาที่เลวแก่ลูก” จากนั้น เจิงจื่อก็ก้มหน้าก้มตาเชือดหมู่ต่อไป.

yengo หรือ buzzcity

เจิงจื่อรับราชการสองครั้ง

เจิงจื่อรับราชการสองครั้ง



เจิงจื่อได้เข้ารับราชการสองครั้ง ทว่ากลับมีสภาพจิตใจที่แตกต่างกัน “ครั้งแรกนั้น ข้ายังอยู่ดูแลปรนนิบัติบิดามารดา ครั้งนั้น แม้ได้ข้าวตอบแทนเพียงสามฝู่ จิตใจก็เปี่ยมด้วยความสุขล้นเหลือ ในครั้งที่สอง แม้นข้าได้รับลาภผลตอบแทนถึงสามพันจง แต่ก็มิอาจนำลาภเหล่านี้ไปปรนเปรอบิดามารดาที่ล่วงลับ จิตใจข้าจึงโศกเศร้ายิ่งนัก”

ศิษย์ขงจื่อผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “เราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าเจิงจื่อเป็นผู้รอดพ้นจากบ่วงความวุ่นวายสับสน?”

“แต่เขาก็ติดบ่วงความสับสนแล้ว หากเขาไม่สับสน จะมีความโศกเศร้าได้อย่างไร? มิฉะนั้นแล้ว ข้าวสามฝู่หรือเงินสามพันจง ก็มิผิดอะไรกับนกกระจอกหรือยุงฝูงหนึ่งที่บินผ่านหน้าเขาไปเท่านั้น”

yengo หรือ buzzcity

“หยวนเซี่ยน” ยอดปราชญ์ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง

“หยวนเซี่ยน” ยอดปราชญ์ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง



หยวนเซี่ยนอาศัยอยู่ในแคว้นหลู่ ในกระท่อมน้อยที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าผนังดินสี่ด้าน มุงหลังคาด้วยแฝก ประตูที่ผุพังสานขึ้นจากพุ่มหนาม ใช้ไม้หม่อนเป็นเสาประตู ใช้ไหกระเทาะก้นมาทำเป็นหน้าต่างในห้องทั้งสอง ปิดด้วยผ้าเนื้อหยาบป้องกันความร้อน-เย็น หลังคารั่วจนพื้นบ้านชื้นแฉะ แต่หยวนเซี่ยนก็ยังนั่งอย่างสง่า เล่นพิณขับขาน จื่อก้งสวมเสื้อในสีน้ำเงินสว่างและชุดยาวตัวนอกสีขาว นั่งรถม้าคันสูงใหญ่ จนไม่อาจผ่านเข้าไปในตรอกสู่บ้านของหยวนเซี่ยน หยวนเซี่ยนสวมหมวกทำจากเปลือกไม้ ลากรองเท้าแตะไร้ส้น ถือไม้เท้าออกมาต้อนรับอาคันตุกะที่ประตู

“โอ! ชีวิตท่านดูช่างทุกข์น่าเศร้าอะไรเช่นนี้” จื่อก้งอุทานขึ้น

หยวนเซี่ยนตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ขาดแคลนทรัพย์นั้น เรียกว่าความยากจน และผู้ที่ศึกษาร่ำเรียนแต่ไม่อาจนำวิชาที่เรียนรู้มานั้นสู่การปฏิบัติ จึงเรียกว่าความทุกข์ระทม ข้าเพียงยากจน แต่ก็มิได้ทุกข์เศร้าแต่อย่างใด”

จื่อก้งถอยออกมาสองสามก้าว สีหน้าฉายแววละอาย หยวนเซี่ยนหัวเราะ และกล่าวขึ้นว่า “การกระทำด้วยความทะเยอทะยานทางโลก คบหาผูกมิตรสร้างพวกพ้อง ศึกษาเพื่อโอ้อวดผู้อื่น สั่งสอนเพื่อความภาคภูมิใจ ปิดบังซ่อนความชั่วร้ายด้วยหน้ากากแห่งมนุสสธรรมและครรลองธรรม ขับขี่รถม้าที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ข้ามิอาจปฏิบัติวิถีเยี่ยงนี้”

yengo หรือ buzzcity

โลงศพของจวงจื่อ

โลงศพของจวงจื่อ



เมื่อจวงจื่อใกล้จะสิ้นลม เหล่าศิษย์ต่างก็คิดจัดพิธีศพใหญ่โต จวงจื่อก็ปรามว่า “ข้ามีฟ้าและดินเป็นโลงศพ สุริยันและจันทราเป็นแผ่นหยกคู่ของข้า ดวงดาราเป็นไข่มุกและลูกปัดประดับประดา มีสรรพสิ่งเป็นของกำนัลแห่งการลาจาก ข้ามีเครื่องเคราประดับตกแต่งศพเพียบพร้อมแล้ว จะต้องหาอะไรมาเพิ่มอีกเล่า?”

“แต่พวกเขากลัวว่าพวกแร้งกาจะรุมจิกกินศพของท่าน” พวกศิษย์ตอบ

จวงจื่อจึงกล่าวว่า “เหนือแผ่นดิน ข้าย่อมถูกแร้งการุมทึ้งจิก และใต้ผืนดินก็ยังมีมดแมลงและจิ้งหรีดคอยแทะกิน จะไปกีดกันอาหารของสัตว์พวกหนึ่งให้แก่อีกพวกหนึ่งไปไย?

“หากท่านใช้ความอยุติธรรมเพื่อที่จะบรรลุความเป็นธรรม ความเป็นธรรมของท่านก็จะไม่เป็นธรรม หากท่านนำสิ่งที่ไร้รากฐานมาสร้างรากฐาน รากกฐานของท่านย่อมไร้รากฐาน ผู้มีสายตาคมกล้ามิผิดอะไรกับทาสรับใช้สิ่งต่างๆ แต่ผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณรู้ถึงการแสวงหารากฐานแท้จริง ผู้มีสายตาคมกล้ามิอาจเทียบผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ นี่คือความเป็นไปนับแต่อดีต กระนั้น คนโง่เขลาก็ยังเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นและเกลือกกลั้วอยู่กับทางโลก ความสำเร็จของพวกเขาล้วนหาสาระใดมิได้ ช่างน่าเศร้าใจนัก”

yengo หรือ buzzcity

เจิ้งเข่าฟู่ได้เลื่อนตำแหน่ง

เจิ้งเข่าฟู่ได้เลื่อนตำแหน่ง



เจิ้งเข่าฟู่ เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานชั้นสามัญ ก็ก้มศีรษะเดินออกไป เมื่อได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นเจ้าพนักงานชั้นกลาง ก็ย่อตัวค้อมหลังเดินออกไป เมื่อได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นเจ้าพนักงานชั้นสูง ก็ยิ่งโน้มตัวงอโค้งเป็นคันศร เกาะกำแพงพยุงตัวเร่งรีบออกไป ผู้ใดเล่ามิคิดเอาเยี่ยงอย่างเขา แต่สำหรับคนสามัญ เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานสามัญ ก็เดินยืดอกโอ้อวด เมื่อได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นเจ้าพนักงานชั้นกลาง ก็กระโดดโลดเต้นยืดคอเชิดหน้าบนรถม้า เมื่อได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นอีกเป็นเจ้าพนักงานชั้นสูง ก็เรียกลุงหรืออาด้วยชื่อตัวของพวกเขา ช่างแตกต่างยิ่งจากวิถีของเหยาและสี่ว์โหยว

yengo หรือ buzzcity

ขงจื่อถูกปิดล้อม

ขงจื่อถูกปิดล้อม



ขงจื่อถูกปิดล้อมระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นไช่ ได้รับความยากลำบากยิ่งนัก ตลอดเจ็ดวันไม่ได้กินอาหารอย่างเพียงพอ มีเพียงน้ำต้มผักกินประทังชีวิตโดยไม่มีข้าวธัญพืชอื่นๆ ใบหน้าซูบซีดอ่อนโรย กระนั้น เขาก็ยังนั่งบรรเลงพิณขับขานบทเพลงอยู่ในห้อง

เหยียนหุยกำลังเก็บผักอยู่ด้านนอก จื่อลู่และจื่อก้งก็เข้ามาพูดคุย “อาจารย์ของพวกเราถูกเนรเทศออกจากแคว้นหลู่สองหน ถูกลบรอยเท้าในแคว้นเว่ย ถูกโค่นต้นไม้ใส่ในแคว้นซ่ง ถูกติดตามก่อกวนในแคว้นซังและแคว้นโจว ตอนนี้ ท่านก็ยังถูกปิดล้อมระหว่างเฉินและไช่อีก ผู้ที่คิดสังหารท่านจะได้รับการยกเว้นโทษ ทั้งผู้ที่ต้องการละเมิดล่วงเกินท่านก็สามารถกระทำตามอำเภอใจ เช่นนี้แล้วท่านยังเอาแต่บรรเลงเพลงขับขาน วิญญูชนสามารถไร้ความละอายอดสูได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

เหยียนหุยไม่อาจตอบจึงเดินเข้าไปในเรือน และบอกเล่าถึงถ้อยคำเหล่านั้น ขงจื่อเลื่อนพิณออกห่าง ทอดถอนใจพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสองคนนั่นช่างเป็นคนเขลาตื้นเขินนัก ไปตามตัวมาให้ข้าพูดคุยด้วย”

เมื่อจื่อลู่และจื่อก้งเข้ามาในห้อง จื่อลู่กล่าวขึ้นก่อนว่า “ท่านคงจะบอกแก่พวกเราว่า คราวนี้พวกเราทั้งหมดถูกปิดล้อมจริงๆ”

ขงจื่อกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดอะไรกันนั่น เมื่อวิญญูชนบรรลุเต๋า จึงเรียกว่า ‘ลุล่วง’ เมื่อเขาถูกปิดกั้นจากเต๋า จึงเรียกว่า ‘ถูกปิดกั้น’ บัดนี้ ข้าบรรลุถึงเต๋าแห่งครรลองธรรมและมนุสสธรรม และยึดถือสิ่งเหล่านี้เผชิญหน้ากับหายนะในยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ดังนี้ จะถือได้ว่าเราถูก ‘ปิดล้อม’ อย่างไรหรือ ข้าได้เพ่งพิจารณาสิ่งที่อยู่ภายใน และไม่เคยถูกปิดกั้นจากเต๋า ข้าเผชิญหน้ากับความลำบากที่จะเกิดขึ้นโดยที่ไม่เคยสูญเสียคุณธรรมของมันไป เมื่อเหมันตฤดูมาถึง น้ำค้างแข็งและหิมะก็โปรยปรายลงมา ข้าจึงเข้าใจว่าต้นสนงามสะพรั่งขึ้นมาได้อย่างไร หายนะในเฉินและไช่เปรียบเสมือนสิ่งอำนวยพรแก่ข้า!” จากนั้นขงจื่อก็หันไปบรรเลงพิณขับขานบทเพลง จื่อลู่ฉวยโล่ขึ้นมาอย่างฮึกเหิมแสดงลีลาเต้นรำ ขณะที่จื่อก้งกล่าวว่า “ข้าไม่เคยรู้เลยจริงๆว่า ฟ้านั้นสูงเพียงใด และดินนั้นต่ำเพียงไหน!”

ผู้คนในครั้งโบราณผู้บรรลุถึงเต๋า ย่อมมีความสุขแม้ถูกปิดล้อม และยังมีความสุขเมื่อรอดพ้น การถูกปิดล้อมหรือไม่นั้น มิได้เป็นเหตุอันนำมาซึ่งความสุข เมื่อท่านบรรลุถึงเต๋าอย่างแท้จริง การถูกปิดล้อมหรือรอดพ้นก็ไม่ผิดอะไรกับการหมุนเวียนแปรเปลี่ยนของความร้อนความเย็น ของลมและฝน ดังนั้น สี่ว์โหยวจึงเบิกบานเป็นสุขท่ามกลางแดดใสบนฝั่งลำน้ำอิ่ง และก้งปั๋วก็ได้พบสิ่งที่ปรารถนาบนยอดเขา

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน อ้ายจื่อตีหลาน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน อ้ายจื่อตีหลาน



นานมาแล้วในประเทศจีน มีผู้คุณปู่ผู้เฒ่านามว่า “อ้ายจื่อ” ...

คุณปู่อ้ายจื่อรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก เมื่อหลานชายคนเดียวกลับไม่ชอบเล่าเรียนหนังสือ วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นหาเรื่องสนุกสนาน ทั้งยังสร้างเรื่องยุ่งให้กับครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้คุณปู่อ้ายจื่อจึงมักจะคว้าไม้เรียวออกไปฟาดอบรมหลานชายอยู่บ่อยๆ ทว่าเจ้าหลานจอมซนกลับไม่ปรับปรุงพฤติกรรม ขณะที่ลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็ตามใจหลานชายคนเดียวเสียจนเด็กเคยตัว พอคุณปู่ดุด่าและอบรมเข้มหลายครั้งเข้า เจ้าพ่อกับแม่ของมันก็ออกมาให้ท้ายตามใจ ทำให้คุณปู่ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

กระทั่งกลางฤดูหนาวหนึ่ง ในวันที่หิมะตกหนัก ขณะที่ ไอ้เจ้าหลานชายตัวแสบกำลังเล่นหิมะอยู่กลางลานบ้าน คุณปู่ก็เรียกหลานชายมาเพื่ออบรมโดยสั่งให้ถอดเสื้อและนั่งคุกเข่าท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก เมื่อถอดเสื้อออก ร่างของเด็กน้อยก็สั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บ

ในเวลาเดียวกัน เมื่อเจ้าตัวพ่อเดินมาเห็นคุณปู่กำลังสั่งสอนหลานชายอย่างเข้มงวด กลับไม่กล่าววาจาปกป้อง เพียงถอดเสื้อตัวเองและลงไปนั่งคุกเข่าคู่กับลูกชายเมื่อเห็นดังนั้นคุณปู่อ้ายจื่อจึงถามลูกชายตัวเองว่า “แกไปทำอะไรผิดมา ถึงต้องมานั่งคุกเข่ารอรับการลงโทษ?”

เจ้าลูกชายร่ำไห้พลางตอบกลับไปว่า “เมื่อพ่อไม่สนใจความรู้สึกของผม ทำให้ลูกชายของผมต้องนั่งคุกเข่าท่ามกลางความหนาวเหน็บอย่างนี้ ผมก็ต้องแก้คืนด้วยการทำให้ลูกชายของพ่อต้องนั่งหนาว เพื่อให้พ่อได้รู้สึกบ้าง!” ได้ยินดังนั้นคุณปู่อ้ายจื่อจึงถึงกับหัวร่อออกมา และสุดท้ายปล่อยตัวหลานชายไปโดยไม่ทำโทษอะไร

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เทพแห่งเป้า

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เทพแห่งเป้า



ครั้งหนึ่ง แม่ทัพบู๊กำลังพาทหารออกรบทัพจับศึก ...

ระหว่างที่กำลังเห็นแห่งลางแห่งความพ่ายแพ้อยู่ตรงหน้า กลับมีทวยเทพองค์หนึ่งลงมาปัดเป่าภยันตราย พลิกสถานการณ์ให้กองทัพของแม่ทัพบู๊เปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะอย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อประสบชัย แม่ทัพบู๊ก็แสดงความขอบคุณเทพองค์ดังกล่าวอย่างไม่ลดละ ทั้งยังคุกเข่าหลั่งน้ำตาแสดงความกตัญญูพลางกล่าวว่า “ผู้น้อยขอเสียมารยาทไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้มีพระคุณได้หรือไม่?”

เทพองค์ดังกล่าวก็ตอบว่า “ข้าคือเทพแห่งเป้า”

เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นแม่ทัพบู๊ก็รู้สึกสงสัยเป็นอันมาก จึงถามต่อว่า “แล้วผู้น้อยกระทำคุณความดีเช่นไรหรือ จึงต้องรบกวนท่านเทพแห่งเป้าให้ลงมาช่วยชีวิตน้อยๆ?”

“ข้าลงจากสวรรค์มาเพื่อขอบคุณเจ้า ในฐานะที่ตอนซ้อมรบ เจ้าไม่เคยทำร้ายข้าสักบาดแผลนึงเลย ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เทพแห่งเป้าตอบให้ความกระจ่างและรีบเหาะกลับขึ้นสวรรค์ไป

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผู้ดีไส้แห้ง

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผู้ดีไส้แห้ง



มีปัญญาชนผู้หนึ่ง แม้ว่าฐานะทางบ้านจะยากจนข้นแค้น แต่โดยปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทั่วไปก็มักจะแสดงตนว่าเป็นผู้ดี เป็นคนมีกินมีใช้ หน้าใหญ่ใจโต โดยสิ่งที่ปัญญาชนผู้นี้หวาดกลัวที่สุดก็คือ กลัวคนอื่นจะรู้ว่าที่บ้านตนเองมีฐานะยากจน

กระทั่งคืนหนึ่ง มีหัวขโมยลอบเข้าไปในบ้านของปัญญาชนผู้นี้ แต่เมื่อเข้าไปหัวขโมยกลับพบว่าในบ้านนอกจากตั่งเตียงเล็กๆ ของเจ้าของบ้านแล้ว กลับไม่มีแม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยหรือเครื่องเรือนใดๆ แม้กระทั่งในถังข้าวสารก็ไม่มีข้าวสารสักเมล็ด มีเพียงหนูนอนอดตายอยู่ภายใน ในที่สุดเมื่อไม่พบอะไรให้หยิบฉวย เจ้าหัวขโมยก็รีบหลบหนีออกมาด้วยความโมโห พร้อมกับด่าลับหลังว่า “บ้านผู้ดีห่าอะไร ไม่มีของสักชิ้นจะให้ขโมย!”

พอได้ยินหัวขโมยด่าทอดังนั้น เจ้าของบ้านที่แสร้งเป็นหลับจึงรีบกระโดดผึงขึ้นจากเตียง พร้อมกับล้วงหยิบเงินไม่กี่อีแปะที่อยู่ใต้หมอนปุปะ ก่อนไล่ตามขโมยผู้นั้นไป เมื่อถึงตัวหัวขโมย เจ้าของบ้านจึงหยิบยื่นเศษเงินเหล่านั้นให้พร้อมกล่าวว่า

“ขอบคุณสำหรับคำดุด่าของท่าน แม้ข้าจะไม่มีอะไรตอบแทนมากมายนัก แต่เมื่อท่านอยู่ต่อหน้าชาวบ้านร้านช่อง กรุณากล่าวคำไว้หน้าข้าสักนิดจะได้หรือไม่!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เศรษฐีใหม่

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เศรษฐีใหม่



ในยุคราชวงศ์หมิง มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ด้วยบุญพาวาสนาส่ง อยู่ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาอย่างเสียอย่างนั้น

เช้าตรู่ของวันหนึ่ง เจ้าสัวใหม่ตื่นขึ้นมาเดินชมดอกไม้ในสวนของคฤหาสน์ พอหลังจากชมเสร็จกลับเข้าห้องนอนได้สักพักก็เกิดไอคอกไอแคกขึ้นมากะทันหัน จึงหันไปบอกกล่าวกับภรรยาคู่ชีวิตว่า

“สงสัยข้าจะป่วย ตอนเช้าระหว่างไปเดินดูดอกไม้ในสวน อาจโดนน้ำค้างจากดอกไม้หล่นใส่ เจ้ารีบไปเชิญหมอมาที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย”

ได้ยินดังนั้น ภรรยาของเจ้าสัวใหม่จึงกล่าวสวนไปว่า “ท่านเจ้าสัวลืมไปแล้วหรือว่า แต่ก่อนนั้นท่านกับข้าเมื่อครั้งยังเร่ร่อนขอทานอยู่ เราเคยต้องตากฝนเปียกปอนกลางป่าไผ่ทั้งวันทั้งคืน ท่านยังไม่ป่วยไข้ถึงขั้นนี้เลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสัวใหม่จึงหยุดไอ และมีอาการกลับเป็นปกติในทันที

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ประทัด

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ประทัด



มีชายสายตาสั้นอย่างรุนแรงผู้หนึ่ง สายตาของเขาสั้นถึงขนาดที่ว่า สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าหากอยู่ไกลเกินระยะครึ่งหลาก็มองไม่เห็นแล้ว

คืนหนึ่ง ชายสายตาสั้นผู้นี้เจอประทัดตกอยู่กลางถนน ด้วยความสงสัยว่าเป็นของอะไร เขาจึงหยิบประทัดชิ้นนั้นขึ้น และนำไปส่องกับโคมไฟริมถนนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นคนสายตาสั้น กอปรกับความไม่ระมัดระวังประทัดจึงติดไฟและเกิดระเบิดขึ้นส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ สร้างความตื่นตระหนกปลุกชาวบ้านร้านช่องให้ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์ พร้อมกับคำด่าทอ

ในเวลานั้นเอง ก็มีชายหูหนวกผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตบหลังตบไหล่ของชายสายตาสั้น คล้ายเป็นการปลอบใจพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านหยิบสิ่งใดได้หรือ เหตุใดเมื่อมันอยู่ในมือท่านได้แป๊บเดียวก็โบยบินหนีจากไป?”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เหนือหนาวใต้ร้อน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เหนือหนาวใต้ร้อน



ในสมัยหนึ่ง จีนมีสองจอมคุยโวแห่งยุคปรากฎขึ้นพร้อมกัน หนึ่งอาศัยอยู่ทางทิศใต้ อีกหนึ่งอาศัยอยู่ทางทิศเหนือ ทั้งคู่ต่างถือดีว่าตัวเองมีดี และอยากวัดฝีปากกับอีกฝ่ายว่าจริงๆ แล้วใครสามารถคุยโม้โอ้อวดได้เก่งกว่ากัน

วันหนึ่งทั้งคู่ต่างตัดสินใจออกเดินทางจากถิ่นตัวเองเพื่อมาพบกับอีกฝ่าย เป็นความบังเอิญที่ว่าทั้งคู่มาพบกัน ณ จุดกึ่งกลางทางพอดิบพอดี โดยเมื่อพบหน้าทั้งสองต่างเริ่มต้นพูดคุยกันด้วยถึงเรื่องของสภาพภูมิอากาศตามธรรมเนียม

“ทราบมาว่าที่บ้านของท่านทางเหนือ อากาศหนาวเหน็บอย่างยิ่งใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าอยากทราบว่าแท้จริงแล้วที่ว่าหนาวนั้นหนาวถึงขนาดไหนกันแน่?” จอมโวแห่งภาคใต้ชิงถามขึ้นก่อน

“ที่บ้านเกิดของข้าทางเหนือเมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น เวลาปัสสาวะ แม้แต่ปัสสาวะที่ปล่อยออกมาเพียงพริบตาเดียวก็จะกลายเป็นแท่งน้ำแข็ง ด้วยเหตุนี้เวลาออกไปทำธุระนอกบ้านผู้ชายทุกคนต้องพกไม้ไปท่อนหนึ่ง เวลาปวดปัสสาวะต้องคอยเดินปัสสาวะไปเอาไม้เคาะอวัยวะไป มิฉะนั้นจะปัสสาวะไม่ออก ขณะที่เมื่อถึงฤดูหนาวเมื่อลงอาบน้ำในโรงอาบน้ำ หากไม่ระวังก็จะแข็งตายอยู่ในนั้น” จอมโวแห่งภาคเหนือได้โอกาสคุยโต

ได้ยินดังนั้น จอมโวจากทางใต้ก็ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว ถามต่อว่า “ถ้าแค่อาบน้ำก็แข็งตายตายเสียแล้ว แล้วเถ้าแก่คนดูแลโรงอาบน้ำไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเสียล่ะ?”

พอได้ยินคู่ปรับถามเช่นนั้น จอมโวจากทางเหนือจึงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเถ้าแก่โรงอาบน้ำหายหัวไปไหน แต่ตอนที่ข้าเข้าไป ข้าเพียงเห็นว่าเดิมในอ่างอาบน้ำมีคนนอนแข็งตายอยู่แล้วคนนึง”

ขณะที่จอมโวจากทางใต้ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่นั้น จอมโวจากทางเหนือจึงถามกลับว่า “ข้าก็ได้ยินมาว่าอากาศทางตอนใต้แถวบ้านพวกท่านนั้นร้อนอย่างยิ่ง ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าที่ว่าร้อนนั้นร้อนถึงขนาดไหนกัน?”

จอมโวทางใต้ได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับแบบน้ำไหลไฟดับว่า “ที่บ้านข้านั้นถ้าอากาศร้อนขึ้นมา หากปาไข่ไก่ไปบนกำแพง พอไข่แตกกระทบกับผนังเพียงชั่วครู่ก็จะกลายเป็นไข่สุก นอกจากนี้ในฤดูร้อน หากคนเลี้ยงสุกรวิ่งไล่สุกรที่หลุดออกจากเล้าไปตามถนน วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่สุกรก็จะกลายเป็นสุกรย่าง”

จอมโวทางเหนือพอได้ฟังก็ตกใจอย่างยิ่ง ถามต่อว่า “แม้แต่สุกรยังถูกย่างสุก แล้วคนเลี้ยงสุกรที่ไล่ตามล่ะ?”

เมื่อเห็นคู่ปรับเสียกิริยาอย่างนั้น จอมโวทางใต้จึงได้ทีตอบกลับด้วยสำบัดสำนวนระบุว่า “กระทั่งสุกรยังกลายเป็นสุกรย่าง คนเลี้ยงสุกรฤๅมิใช่กลับกลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนหน้านั้นแล้ว!!!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน มิกล้ารบกวน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน มิกล้ารบกวน



ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ.960-1127) ครั้งหนึ่ง ซู ตงโพ ขุนนางผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคกับสหายรัก หวง ถิงเจียนระหว่างที่พำนักอยู่ ณ วัดภูเขาทอง (วัดจินซาน) วันหนึ่งทั้งสองทำแป้งทอดเป็นอาหารรับประทาน โดยก่อนจะลงมือทำทั้งคู่ตกลงกันว่าเมื่อทำเสร็จจะไม่แจ้งให้หลวงพี่ฝออิ้น ซึ่งชอบพอกันได้รับทราบ เพราะตั้งใจว่าจะนำแป้งทอดส่วนหนึ่งไปถวายเจ้าแม่กวนอิม

หลังจากที่ทอดแป้งเสร็จได้สักพัก รอให้แป้งเย็นลงสักหน่อย ซู ตงโพ และหวง ถิงเจียนจึงยกแป้งทอดซึ่งกำลังกรุ่นไปถวายรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัด โดยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุกเข่าลงกราบเจ้าแม่กวนอิมพร้อมกับขอพรอยู่นั้น นึกไม่ถึงว่าหลวงพี่ฝออิ้นซึ่งแอบอยู่หลังองค์เจ้าแม่อยู่ก่อนแล้วกลับอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวลอบยื่นมือออกมาหยิบแป้งทอดไปสองชิ้น

เมื่อซู ตงโพ คุกเข่าขอพรเสร็จ เงยหน้าและลุกขึ้นมาพบว่าแป้งทอดที่เพิ่งถวายเจ้าแม่กวนอิมหมาดๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยสองชิ้น จึงย่อตัวลงไปคุกเข่าอีกครั้งพร้อมกับกล่าวภาวนาว่า “หากโพธิสัตว์กวนอิมทรงแสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่ชัดเจนเช่นนี้แล้ว เมื่อรับประทานแป้งทอดลงไปสองชิ้นเหตุใดจึงไม่ปรากฎตัวออกมาสนทนากับข้าน้อยทั้งสองบ้าง?”

ด้านหลวงพี่ฝออิ้น เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า “หากข้าปรากฎตัวได้ ก็คงออกมาช่วยพวกท่านทอดแป้งรับประทานไปแล้ว มิกล้าแสดงอิทธิฤทธิ์รบกวนพวกท่านดอก”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คำอัปมงคล

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คำอัปมงคล



ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งมีนิสัยชอบพูดคำหยาบ ทั้งสิ่งที่เอ่ยออกมายังไม่เป็นมงคลอีกด้วย ส่งผลให้ชาวบ้านร้านช่องต่างรังเกียจเดียดฉันท์พฤติกรรมของเขาอย่างยิ่ง

ครั้งหนึ่ง เศรษฐีที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเพิ่งสร้างโถงรับแขกหลังใหม่เสร็จ ช่างเพิ่งเก็บอุปกรณ์ได้ไม่ทันครบ เศรษฐีก็จัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขึ้น ชายผู้นี้แม้จะไม่ได้รับเชิญแต่ก็ตั้งใจจะลอบเข้าไปปะปนเป็นแขกเหรื่อในงานกับเขาด้วย ทว่า เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู คนรับใช้เศรษฐีกลับปิดประตูล็อกกลอนเสียแน่นหนา แสดงท่าทีว่าไม่ต้อนรับ

เมื่อเห็นว่าถูกเศรษฐีบ้านใกล้เรือนเคียงหักหน้าเช่นนั้น ชายคนดังกล่าวจึงตะโกนด่าทออยู่หน้าประตูความว่า “ประตูสุนัขปิดเสียแน่นหนา คาดว่าคนที่อยู่ข้างในต้องตายห่ากันหมดแล้วแน่ๆ”

เศรษฐีเจ้าของบ้านซึ่งแอบอยู่ด้านในพอได้ฟังคำด่า ก็โมโหโกรธาอย่างยิ่ง เปิดประตูออกมาโต้กลับว่า “บ้านอั๊วจับจ่ายไปเป็นพันตำลึงทองสร้างโถงรับแขกหลังใหม่ กว่าจะสร้างเสร็จต้องเหนื่อยยากมิใช่น้อย ลื้อกล้าพูดหมาๆ อย่างนี้ออกมาช่างไม่ไว้หน้าอั๊วเสียเลย!” พอได้ยินคำตัดพ้อจากเศรษฐี ชายปากสุนัขจึงตอบกลับว่า “ไอ้ห้องโถงอันนี้ถ้าเอาออกไปเร่ขายอย่างมากข้าว่ามีค่าไม่เกินทองห้าร้อยตำลึง ท่านเศรษฐีกล้าพูดได้อย่างไรว่าห้องโถงของท่านมีค่าสูงถึงพันตำลึงทอง?”

เศรษฐีได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ โต้กลับไปอีกว่า “อั๊วยังไม่เคยพูดเลยว่าจะขาย ลื้อมีสิทธิอะไรมาวัดค่าตีราคาทรัพย์สินของอั๊ว!” ชายคนเดิมจึงต่อปากต่อคำกลับไปว่า “ที่ข้าแนะนำให้ท่านขายน่ะก็เพราะหวังดีดอก เพราะหากวันใดเกิดไฟไหม้ขึ้นมา ไอ้ห้องโถงซังกะบ๊วยหลังนี้แม้แต่จะแลกกับขี้หมากองเดียวก็ไม่คุ้ม!”

ต่อมา ยังมีเพื่อนบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านกว่าจะมีทายาทสืบสกุลคนแรก อายุก็ปาเข้าไป 50 กว่าปีแล้ว เมื่อมีเรื่องมงคลเช่นนี้ญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อนบ้านจึงต่างทยอยเดินทางมาแสดงความยินดี โดยทุกคนเมื่อทราบว่าชายผู้นี้ตั้งใจจะเดินทางมาอวยพรกับเขาด้วยจึงรีบเข้าไปพูดดักหน้าก่อนว่า “เจ้าน่ะ แต่ไหนแต่ไรมาก็ชอบพูดเรื่องอัปมงคล พวกข้าอยากเตือนเจ้าว่าอย่าไปเลยจะดีกว่า” ด้านชายปากสุนัขได้ยินดังนั้นจึงตอบไปว่า “ให้ข้าไปกับพวกเจ้าด้วยเถอะน่า พอถึงที่นั่นข้าจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ อย่างนี้พอใจพวกเจ้าหรือยัง?”

พอถึงบ้านดังกล่าว ตั้งแต่เดินเข้าประตูไป จนถึงดื่มสุราอวยพร ชายคนดังกล่าวก็ปิดปากเงียบไม่กล่าววาจาใดๆ ตามที่สัญญาเอาไว้จริงๆ ทำให้เพื่อนฝูงต่างพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งตอนที่กล่าวร่ำลาเจ้าบ้าน เขาจึงพูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “วันนี้ทั้งวันข้าไม่ได้กล่าวคำอัปมงคลใดๆ สักคำ เพราะฉะนั้นหลังจากข้าก้าวเท้าออกจากบ้านไป ถ้าลูกชายของท่านเกิดป่วยตายขึ้นมาจะมาโทษข้าไม่ได้แล้วนะ!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน โทษสุนัขไม่ได้

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน โทษสุนัขไม่ได้



ณ บ้านตระกูลหยาง ... วันหนึ่ง หยาง ปู้ น้องชายของหยาง จู สวมชุดสีขาวออกเดินทางไปทำธุระข้างนอก โชคไม่ดีระหว่างทางมีพายุฝน ทำให้เสื้อคลุมของหยาง ปู้ เปียกปอนไปหมด จนเขาต้องปลดเสื้อนอกสีขาวออกเหลือเพียงชุดด้านในสีดำ

เมื่อกลับถึงบ้าน หยาง ปู้ คิดไม่ถึงว่าสุนัขเฝ้าบ้านที่ตนเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกกลับจำเจ้านายไม่ได้ ส่งเสียงขู่และเห่าขับไล่ตนเองดังลั่นไปทั่วบริเวณ

เมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงที่ตนเฝ้าทะนุถนอมมาอย่างดีแสดงท่าทีเช่นนั้น หยาง ปู้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก หยิบแส้ขึ้นมาจะพาดโบยสุนัข หวังอบรมให้เดรัจฉานรู้สำนึกว่าใครนายใครบ่าว ในเวลานั้นเอง หยาง จู พี่ชายเดินมาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงหว่านล้อมน้องชายให้วางมือจากการฟาดโบยสุนัขในบ้าน พลางกล่าวว่า “ลื้ออย่าตีมันเลย ลองคิดดูว่าหากสุนัขของลื้อตอนออกนอกบ้านสีขาว แต่พอตอนกลับมาถึงบ้านกลายเป็นสีดำ ลื้อจะไม่นึกบ้างเหรอว่าสุนัขลื้อมันมีอะไรผิดปกติ?”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน มิสู้ฆ่าคน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน มิสู้ฆ่าคน



มีหลวงพ่อรูปหนึ่งชอบเทศน์เรื่องกฎแห่งกรรม มักจะหยิบยกเรื่องนี้มาสั่งสอนชาวบ้านมิให้ฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีความจำเป็น โดยอธิบายว่าหากใครฆ่าโค ชาติหน้าก็จะเกิดมาในท้องโค หากฆ่าสุนัข ชาติหน้าก็จะกลายเป็นสุนัขเสียเอง หรือแม้แต่การทำร้ายสัตว์เล็กอย่างมดแมลง ชาติหน้าก็จะต้องรับกรรมเกิดมาเป็นมดแมลงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อกำลังเทศน์เรื่องกฎแห่งกรรมอย่างออกรสออกชาติอยู่นั้น กลับมีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า “อย่างนั้นมิสู้ฆ่าคน มิดีกว่าหรือหลวงพ่อ” ชาวบ้านทั้งหลาย รวมถึงหลวงพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้นก็อ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าลองดี โดยเมื่อถามว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ชายคนดังกล่าวจึงตอบว่า “ก็อย่างที่หลวงพ่อบอก ฆ่าอะไรชาติหน้าก็ต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้น ฆ่าคนก็ต้องรับบาปกรรม ชาติหน้าก็เกิดมาเป็นคนอีกที อย่างนี้มิใช่ดีกว่าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมิใช่หรือขอรับ”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ไม่เชิญแขก

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ไม่เชิญแขก



มีชายจอมตระหนี่ถี่เหนียวคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเชื้อเชิญใครให้มาที่บ้านไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือญาติมิตร โดยสรรพคุณความขี้เหนียวของชายผู้นี้นั้นเป็นที่รับรู้กันไปทั่วทั้งอำเภอ

วันหนึ่ง เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้มาใช้พื้นที่ข้างๆ บ้านของเขาเพื่อจัดงานเลี้ยงรับแขก โดยขณะที่กำลังตระเตรียมงานอยู่นั้น มีคนซึ่งเดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาสอบถามคนรับใช้ของชายจอมตระหนี่ว่า “วันนี้นายของเจ้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกหรอกหรือ?” ได้ยินดังนั้น คนรับใช้จึงรีบปฏิเสธไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า “เร็วไปเหอะ! ถ้าจะให้นายของข้าจัดงานเลี้ยง เชิญแขกเหรื่อคงต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ”

บังเอิญที่เจ้าของบ้านจอมขี้เหนียวเดินผ่านมาได้ยินประโยคสนทนาดังกล่าวพอดี จึงกล่าวตวาดคนรับใช้ด้วยเสียงอันดังว่า “พูดพล่อยๆ!!! ใครใช้ให้เจ้าไปบอกวันเวลากับผู้อื่นว่าข้าจะจัดงานเลี้ยงเชิญแขกเมื่อใด”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ฤกษ์ไม่ดี

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ฤกษ์ไม่ดี



มีชายผู้หนึ่งเชื่อถือเรื่องการทำนายโชคชะตา-ดูดวง-ตรวจสอบฮวงจุ้ยเป็นอย่างมาก เขางมงายเรื่องดวงชะตาถึงขนาดที่ว่า ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรก็ต้องสอบถามซินแสไปเสียทุกเรื่องทุกอย่าง ...

มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ชายผู้นี้กำลังยืนพิงกำแพงบ้านเพื่อพักผ่อน กำแพงบ้านที่สร้างไว้ไม่แข็งแรงกลับล้มลงมาทับร่างของเขา ขณะที่กำแพงซึ่งมีน้ำหนักมากทับร่างอยู่นั้น เขาก็ส่งเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับร้องเรียกคนในบ้านให้เข้ามาช่วย เมื่อคนในบ้านได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็รีบวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ โดยเมื่อเห็นสภาพของชายผู้นี้ถูกทับอยู่ใต้กำแพงที่ถล่มลงมาจึงกล่าวว่า

“นายท่านกรุณาอดทนอีกสักนิด เดี๋ยวข้าจะรีบวิ่งไปถามซินแซก่อนว่าวันนี้ฤกษ์ยามงามดีเหมาะที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายสิ่งของในบ้านหรือไม่”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สุราเป็นเยี่ยงไร

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สุราเป็นเยี่ยงไร



บรรณารักษ์ผู้หนึ่งคลั่งไคล้ในสุราเป็นอย่างยิ่ง บังเอิญว่าเด็กรับใช้ผู้ช่วยในหอคัมภีร์ต่างก็ชื่นชอบในการดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจเช่นกัน หลังถูกเด็กในหอคัมภีร์ลักขโมยดื่มสุราที่บรรณารักษ์สะสมไว้หลายครั้งเข้า เขาจึงตัดสินใจไล่เด็กออก และหมายมั่นปั้นมือว่าจะหาเด็กรับใช้ที่ดื่มสุราไม่เป็นมาแทน

เมื่อสหายของบรรณารักษ์ทราบเรื่องจึงแนะนำลูกน้องมาให้คนหนึ่ง ระหว่างการพบปะบรรณารักษ์ก็ชี้ไปที่ไหสุราเหลืองแล้วถามว่า “นี่คืออะไร?” ลูกน้องของสหายจึงตอบว่า “สุราเฉินเส้า” (สุราขึ้นชื่อของเมืองเส้าซิง) บรรณารักษ์ได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้านี่ แม้แต่ชื่อของสุราก็ยังทราบ เป็นไปได้หรือที่จะไม่ดื่มสุรา?” จากนั้นจึงไล่ลูกน้องเก่าของสหายกลับบ้านไป

ต่อมา สหายก็แนะนำคนรับใช้มาให้อีกคนหนึ่ง โดยระหว่างการสัมภาษณ์บรรณารักษ์ผู้คลั่งไคล้สุราก็ทำเช่นเดิมโดยชี้ไปที่ไหสุราเหลืองแล้วถามว่า “นี่คืออะไร?” คนรับใช้ของสหายจึงตอบว่า “เป็นสุราหวงเตียว” (สุราเหลืองชั้นดีของเส้าซิง) บรรณารักษ์ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “แม้แต่สุราเหลืองชั้นดีก็รู้จัก เจ้าจะไม่ชอบดื่มสุราได้อย่างไร? ใช้การไม่ได้!”

ผ่านไปอีกสองสามวัน ก็มีคนแนะนำคนรับใช้มาให้อีก คราวนี้บรรณารักษ์ก็ยกไหสุราขึ้นมาถามว่า “นี่คืออะไร?” คนรับใช้คนนี้ตอบว่าไม่รู้จัก จากนั้นบรรณารักษ์ก็หยิบเหล้ากลั่น (เซาจิ่ว หรือ โซจูในภาษาเกาหลี) ขึ้นมาให้คนรับใช้ผู้นี้ดู และถามว่ารู้จักไหมว่านี่คืออะไร คนรับใช้ผู้นี้ก็ตอบเหมือนเดิมว่าไม่ทราบ บรรณารักษ์เห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะร่าด้วยความยินดีว่า ตนได้คนรับใช้ที่ดื่มสุราไม่เป็นแล้ว จากนั้นจึงรับชายผู้นี้ไว้ทำงาน

มีอยู่วันหนึ่ง บรรณารักษ์ต้องออกไปทำธุระข้างนอก โดยก่อนออกเดินทางได้สั่งการให้ผู้ช่วยคนใหม่ดูแลหอคัมภีร์ให้ดี พร้อมกับกำชับแล้วกำชับอีกว่าสิ่งของที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ หนึ่ง ขาหมูตากแห้งที่แขวนอยู่บนผนัง สอง ไก่เนื้อกลางลานบ้านที่บรรณารักษ์เฝ้าประคบประหงมเป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือไหสุราสองใบที่บรรณารักษ์เก็บเอาไว้อย่างทะนุถนอมในห้องบ่ม โดยก่อนออกเดินทางบรรณารักษ์ได้กล่าวขู่เอาไว้ว่า “หากเจ้าดื่มสิ่งที่อยู่ในไหลงไป ของเหลวในนั้นจะกัดกร่อนกระเพาะและลำไส้ของเจ้าจนถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็ว”

หลังบรรณารักษ์ออกเดินทางไปไม่นาน คนรับใช้คนใหม่ก็ลงมือตอนไก่เนื้อตัวอ้วนพี และนำขาหมูตากแห้งไปทำอาหารเป็นกับแกล้มอันโอชะ ก่อนเปิดสุราสองไหนำมาร่วมกินดื่มอย่างสำราญใจ จนในที่สุดก็เมามายไม่ได้สติ ล้มตัวลงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางลาน

เมื่อบรรณารักษ์เดินทางกลับมาถึง พบเห็นสภาพภายในของหอคัมภีร์เช่นนั้น จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมกับอาละวาดเตะคนรับใช้ที่นอนเมามายจนกระทั่งได้สติ ด้านคนรับใช้เมื่อลืมตาเห็นเจ้านายกลับมาจึงเปิดปากอธิบายว่า “หลังจากนายท่านออกเดินทาง ผู้น้อยก็พยายามตั้งใจดูแลทรัพย์สินที่ท่านสั่งการเอาไว้เป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่าไม่นานนักกลับมีแมวตัวเขื่องกลับกระโดดมาคาบไก่อ้วนไป จากนั้นก็มีสุนัขจรจัดลอบมาคาบขาหมูไปอีก ในตอนนั้นผู้น้อยรู้สึกหวาดกลัวในความผิดเป็นอย่างมาก เพราะมิอาจปฏิบัติตามคำที่นายท่านสั่งเอาไว้ได้ พอคิดฆ่าตัวตายจึงเดินไปหยิบไหทั้งสองของท่านออกมา เปิดฝากระดกดื่มของเหลวที่อยู่ข้างในลงไปจนหมด ตอนนี้ ผู้น้อยรู้สึกหัวหมุนๆ ไม่ทราบว่าจะเป็นหรือตาย จึงขอนอนรอโชคชะตาอยู่ ณ ที่นี้แหละนายท่าน!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คนขี้ลืม

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คนขี้ลืม



ที่อำเภอเอ้อมีชาวนาผู้หนึ่งมีนิสัยขี้ลืมเป็นยอด วันหนึ่งเขาเดินแบกขวานขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตัดฟืนตามปกติ โดยมีภรรยาตามไปด้วย ระหว่างที่เดินอยู่บนภูเขากลับรู้สึกอยากถ่ายท้องขึ้นมากระทันหัน จึงรีบวิ่งเข้าข้างทางเพื่อถ่ายอุจจาระ โดยทิ้งขวานเอาไว้บนพื้น

หลังจากเสร็จกิจธุระเดินออกมาที่เดิม พอชาวนาพบเห็นขวานที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นก็แสดงความลิงโลดขึ้นมาทันที พร้อมตะโกนลั่นว่า “ข้าเก็บขวานได้เล่มนึง ข้าเก็บขวานได้เล่มนึง!” จากนั้นหยิบขวานขึ้นมาถือ พร้อมกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ทว่า ด้วยความไม่ระมัดระวังเท้ากลับไปเหยียบอุจจาระที่ตัวเองถ่ายทิ้งเอาไว้ พอได้กลิ่นอุจจาระเหม็นคลุ้ง ชาวนาจอมขี้ลืมก็คิดได้ พร้อมกล่าวว่า “ที่แท้ไอ้ขวานเล่มนี้ถูกไอ้หน้าโง่คนหนึ่งลืมทิ้งเอาไว้ขณะที่เร่งรีบไปถ่ายอุจจาระนี่เอง”

ฝ่ายภรรยาพอเห็นท่าจะไม่ดี เกรงว่าโรคขี้ลืมขั้นรุนแรงของสามีจะกำเริบ จึงเดินเข้าไปตบหลังตบไหล่พลางกล่าวทบทวนความจำของสามีอย่างจริงจังว่า “เมื่อสักครู่เป็นเจ้าเองที่แบกขวานเล่มนี้มาตัดฟืน แต่ว่าเจ้าปวดท้องอย่างรุนแรง จึงลืมทิ้งขวานเอาไว้บนพื้น เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียงสักครู่นี่เอง เหตุใดเจ้าจึงหลงลืมได้รวดเร็วนัก?”

พอชาวนาได้ยินคำอธิบายจากภรรยาแทนที่จะเรียกสติกลับคืนมาได้ กลับมีสีหน้างงงวย พร้อมกับจ้องหน้าภรรยาอยู่นานสองนาน จากนั้นจึงทำหน้าตกใจและเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางท่านแซ่อันใดหรอกหรือ? ข้ารู้สึกว่าเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน ตอนนี้กลับจำไม่ได้แล้วว่าเราเคยพบเจอกันที่ไหนมาก่อน!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน หมาไนกัดปลา

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน หมาไนกัดปลา



เมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน ในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ในรัชสมัยของพระนางบูเช็กเทียน (อู่เจ๋อเทียน) เนื่องจากเกิดภัยแล้งและทุพภิกขภัยอย่างรุนแรงทั่วแผ่นดิน พระนางบูเช็กเทียนกำลังจะจัดพิธีขอฝนจึงมีบัญชาให้ขุนนางและไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยเด็ดขาด

ด้านขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งนามโหลว ซือเต๋อ ระหว่างที่ออกตรวจราชการ ณ อำเภอส่าน ได้แวะพำนักที่ตำบลแห่งหนึ่ง ระหว่างอาหารเย็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ตระเตรียมอาหารอย่างดีมาเพื่อเอาใจขุนนางใหญ่ พอถึงเวลาขุนนางท้องถิ่นก็สั่งให้พ่อครัวยกอาหารเลิศรสมาขึ้นโต๊ะหลายต่อหลายจาน โดยหนึ่งในนั้นมีเนื้อแพะจานโตอยู่ด้วย

เมื่อเห็นดังนั้น โหลว ซือเต๋อจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดในช่วงที่ฝ่าบาททำพิธีขอฝน ท่านจึงละเมิดคำสั่งเชือดแพะ?” ขุนนางท้องถิ่นได้ยินดังนั้นก็ปากคอสั่น พลางกล่าวแก้ตัวว่า “มิใช่ข้าน้อยเชือดหรอกท่าน แต่เนื้อแพะเหล่านี้เป็นเนื้อของแพะที่ถูกหมาไนกัดตายต่างหาก”

โหลว ซือเต๋อ พอได้ยินดังนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าขุนนางตัวเล็กตัวน้อยจงใจขัดคำสั่งเบื้องบนล้มแพะมาเป็นอาหารเย็น เพื่อประจบประแจงตนเอง แต่การจะตำหนิติเตียน หรือปฏิเสธก็สายเกินการณ์แล้ว จึงได้แต่กล่าวว่า “เจ้าหมาไนนี่ช่างเลือกเวลาดุร้ายได้ถูกจังหวะจริงๆ”

ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง พ่อครัวก็ยก “ปลาราดพริก” มาขึ้นโต๊ะอีกจาน ไม่ทันที่โหลว ซือเต๋อจะเอ่ยปาก กลับมีผู้ติดตามคนหนึ่งชิงถามขึ้นว่า “ใช่หรือไม่ว่าปลาตัวนี้ก็ถูกหมาไนกัดตายด้วยเช่นกัน?” ได้ยินดังนั้น ขุนนางใหญ่แซ่โหลวก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นกลางโต๊ะ พร้อมกล่าวว่า “เจ้าโง่! เหตุใดจึงไม่ถามว่า ปลาตัวนี้ถูกนากกัดตายใช่หรือไม่? หากเจ้าถามเช่นทุกคนก็รอดตัวแล้ว!”

yengo หรือ buzzcity

เฉาซังโอ้อวดรถม้าแก่จวงจื่อ

เฉาซังโอ้อวดรถม้าแก่จวงจื่อ



ชายชาวซ่งผู้หนึ่งนามเฉาซังได้รับมอบหมายจากซ่งหวังให้เป็นทูตไปยังแคว้นฉิน เมื่อออกเดินทาง เขาได้รับรถม้าเพียงสี่หรือห้าคันเท่านั้น เมื่อมาถึงแคว้นฉิน ผู้ปกครองแคว้นฉินโปรดปรานเขามาก จึงประทานรถม้ากำนัลแก่เขาอีกร้อยคัน

เมื่อเดินทางกลับมายังแคว้นซ่ง เขาก็ไปเยี่ยมจวงจื่อ คุยโวว่า “การมีชีวิตอยู่ในตรอกซอมซ่อโสโครก อดอยากผ่ายผอม ถักทอรองเท้า ใบหน้าซีดเซียว ข้าไม่อาจทนต่อชีวิตเยี่ยงนี้ได้ การได้รับความชมชอบโปรดปรานจากเจ้าแห่งแว่นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ ครองรถศึกนับหมื่น และได้รางวัลเป็นรถม้านับร้อย นี่เป็นสิ่งที่ข้าภาคภูมิยิ่งนัก”

จวงจื่อโต้ตอบว่า “เมื่อผู้ปกครองแคว้นฉินล้มป่วยก็เรียกแพทย์เข้ามาช่วยรักษา แพทย์ที่สามารถกรีดฝีบีบหนองก็ได้รับรถม้าหนึ่งคันเป็นรางวัล และผู้ที่สามารถเลียแผลริดสีดวงทวารแก่พระองค์ ก็ได้รับรถม้ามากถึงห้าคัน และผู้ที่สามารถทำงานที่ต่ำกว่านั้น ก็ยิ่งได้รับรถม้าเพิ่มทวีคูณ คะเนจากจำนวนรถม้าที่ท่านได้รับมานี้ ท่านคงได้เลียแผลริดสีดวงทวารแก่พระองค์มาแล้ว จงไปให้พ้น”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ไม่เคารพ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ไม่เคารพ



วาณิชกะผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งมีนิสัยชอบอวดความมั่งคั่งของตัวเอง วันหนึ่งระหว่างที่เดินไปตามท้องถนน วาณิชกะผู้นี้กลับเดินไปยืนขวางหน้ายาจกคนหนึ่งพร้อมกลับเต๊ะจุ๊ยกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่บ้านของข้ามีทองคำอยู่พันตำลึง มีเงินแท่งสุกปลั่งอยู่อีกหมื่นตำลึง เหตุใดเจ้าจึงไม่แสดงความเคารพต่อข้า?”

ยาจกได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับว่า “เจ้ามีเงินทองก็เรื่องของเจ้า เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ทำไมข้าต้องแสดงความเคารพต่อเจ้าด้วย?”

วาณิชกะไม่ยอมแพ้กล่าวต่อว่า “ถ้าเช่นนั้น หากข้าแบ่งทรัพย์สินของข้าให้กับเจ้าครึ่งหนึ่ง เจ้าจะยอมแสดงความเคารพต่อข้าหรือไม่?” ครานี้ยาจกจึงตอบกลับว่า “เราแบ่งทรัพย์สินกันคนละครึ่ง ข้ากับเจ้าก็มีทรัพย์สินเท่ากัน เช่นนี้ข้าจะแสดงความเคารพท่านด้วยเหตุใด?”

พอได้ยินเศรษฐีจึงถามใหม่อีกครั้งว่า “อย่างงั้น ถ้าข้ายกทรัพย์สินของข้าให้กับเจ้าทั้งหมด เจ้าจะยอมเคารพยกย่องข้าหรือไม่?”

ยาจกยิ้มพลางตอบกลับไปว่า “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไม่เหลือเงินแม้สักอีแปะเดียว ส่วนข้าก็กลายเป็นเศรษฐีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องหันมาแสดงความเคารพต่อข้า!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เหมาทั้งพิธี

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เหมาทั้งพิธี



ครอบครัวเศรษฐีผู้หนึ่งคิดจะจัดพิธีไหว้ฟ้าดินขึ้น จึงวางแผนจะเชิญนักพรตเต๋าเพื่อมาตั้งแท่นเตรียมทำพิธี ทว่านักพรตรูปแรกที่เศรษฐีเชิญมาได้กลับเห็นแก่เงิน จึงเอ่ยปากกับเศรษฐีว่า “ท่านเศรษฐีจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเชิญนักพรตรูปอื่นๆ มาก็ได้ พิธีเช่นนี้ ข้าเพียงแค่คนเดียวก็ดำเนินการได้สบายๆ” พอได้ยินดังนั้นเศรษฐีก็ตกลงให้ดำเนินการทำพิธีไหว้ฟ้าดิน โดยใช้นักพรตเต๋าเพียงรูปเดียว

เมื่อถึงเวลาทำพิธี นักพรตเต๋ารูปดังกล่าวนอกจากท่องคาถาบูชาฟ้าดินแล้ว ยังต้องกล่าวบทสวด สักพักต้องขยับมาเขย่าระฆังพิธี อีกครู่ก็ต้องมาเผายันต์ ฯลฯ วิ่งวุ่นหัวหมุนอยู่คนเดียวแทบไม่ได้หยุดพัก กระทั่งพิธีไหว้ฟ้าดินย่างเข้าวันที่ 3 นักพรตเต๋ารูปดังกล่าวซึ่งเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็เป็นลมล้มพับลงกลางพิธี เศรษฐีพอเห็นดังนั้นก็เกรงว่า หากมีคนเสียชีวิตกลางงานพิธีจะเป็นลางอัปมงคลจึงสั่งให้คนรับใช้เรียกคนงานที่อยู่ใกล้ๆ ว่าจ้างให้อุ้มนักพรตขึ้นมาเพื่อพาไปหาหมอที่อยู่ใกล้ๆ

มิทันที่คนรับใช้จะวิ่งออกไปเรียกคนงาน พอนักพรตจอมขี้เหนียวได้ยินว่าเศรษฐีจะควักกระเป๋าจ้างคนเพื่อมาอุ้มตนเองพาไปหาหมอก็ผงกหัวขึ้นมากล่าวด้วยเสียงอันแหบพร่าว่า“นายท่านไม่ต้องเรียกคนมาอุ้มข้าไปหรอก เอาเงินที่จะว่าจ้างคนงานมาจ้างข้าให้เดินไปหาหมอเองดีกว่า เดี๋ยวแป๊บนึงข้าก็ลุกขึ้นได้แล้วล่ะ!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ฝันของคนซื่อบื้อ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ฝันของคนซื่อบื้อ



มีชายหนุ่มแซ่ชีอยู่รายหนึ่ง ทั้งวันไม่รู้จักทำงานทำการอื่นใดนอกจากอ่านหนังสือ ทุกคนต่างซุบซิบนินทาว่าไอ้หนุ่มรายนี้นั้นเป็นหนอนหนังสือ ประเภทความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ไอ้หนุ่มแซ่ชีผลุนผลันลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วรีบเดินไปหาสาวรับใช้ในบ้านที่ชื่อหงเหมย (บ๊วยแดง) แล้วถามขึ้นว่า “เมื่อคืนเจ้าฝันเห็นข้าหรือเปล่า?”

สาวใช้เมื่อถูกนายน้อยอยู่ๆ ก็เดินมาถามคำถามแปลกๆ แบบไม่มีที่มาที่ไปจึงตอบไปว่า “นายท่าน เมื่อคืนบ่าวพอล้มตัวลงนอนก็หลับสนิทจนถึงรุ่งสาง เท่าที่จำได้ก็ไม่ได้ฝันอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้ฝันเห็นใครสักคน”

หนอนหนังสือแซ่ชีเมื่อได้ฟังดังนั้นก็โมโหโกรธาอย่างยิ่ง ชี้หน้าด่าสาวใช้ว่า “เจ้านี้ช่างไร้ซึ่งเหตุผล เมื่อคืนข้าฝันเห็นเจ้าชัดๆ แถมยังพูดกับเจ้าด้วย เจอกันต่อหน้าขนาดนี้เจ้ายังจะกล้ามาล้อเล่นกับข้า บอกว่าเมื่อคืนในฝันไม่ได้เจอข้า?”

เมื่อหงเหมยยังคงยืนยันว่าไม่ได้เจอนายน้อย ไอ้หนุ่มก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่และเร่งรุดไปฟ้องมารดากล่าวว่า “ท่านแม่โปรดอบรมสั่งสอนหงเหมยด้วย!” เมื่อมารดาถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว ลูกชายจึงกล่าวว่า “เมื่อคืนข้าฝันเห็นนางชัดๆ แต่นางกลับยืนกรานว่าไม่ได้ฝันเห็นข้าพเจ้า ในโลกนี้มีคนช่างโกหกพกลมเช่นนี้ที่ไหนล่ะท่านแม่!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นกโง่

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นกโง่



มีชายผู้หนึ่งเดินทางไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อน เนื่องด้วยงานเลี้ยงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารการกิน สุราปลาปิ้ง ทำให้แม้แขกเหรื่อจะทยอยกันกลับไปเกือบหมดแล้ว แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังนั่งอยู่กับที่ไม่ยอมลุกขึ้นร่ำลากับเจ้าของงานเสียที ขณะที่คนรับใช้ หรือแม้แต่เจ้าของบ้านก็ไม่กล้าเสียมารยาทไล่แขกคนสุดท้ายกลับ

ขณะที่คิดหาหนทางเชิญแขกคนสุดท้ายกลับบ้านเพื่อเก็บข้าวของอยู่นั้น เจ้าของบ้านเผอิญเหลือบไปเห็นนกตัวใหญ่เกาะอยู่บนต้นไม้ในบ้าน จึงหันไปกล่าวกับแขกว่า “พวกเราก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะนี้นานแล้ว อาหารก็ร่อยหรอลงไปจนเกือบหมด รบกวนท่านรอสักครู่เดี๋ยวข้าพเจ้าขอเวลาไปโค่นต้นไม้ต้นนี้ จับเจ้านกตัวใหญ่บนนั้น เพื่อมาปรุงเป็นกับแกล้มคู่สุราเลิศรส ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชายผู้นั้นกล่าวตอบว่า “ข้าเกรงว่าพอต้นไม้ล้มลง เจ้านกใหญ่จะบินหนีไปเสียก่อนน่ะสิ”

เมื่อได้ยินคำทักท้วงเช่นนั้นเจ้าบ้านจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเห็นว่านกใหญ่ตัวนี้เป็นเพียงนกทึมทึบตัวหนึ่ง แม้ไม้จะล้ม หรือจะตายไปเจ้านกโง่ก็คงไม่ขยับตัวไปไหนหรอก!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ใส่รองเท้าผิดข้าง

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ใส่รองเท้าผิดข้าง



นานมาแล้ว มีเจ้าสัวผู้หนึ่งออกไปทำธุระนอกบ้านโดยใส่รองเท้าผิดคู่ผิดข้าง ข้างหนึ่งพื้นรองเท้าหนา ส่วนอีกข้างหนึ่งพื้นรองเท้าบาง พอใส่รองเท้าผิดคู่ผิดข้างออกจากบ้านไปสักพักเจ้าสัวยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ หะแรกก็นึกไม่ถึงว่าตนเองใส่รองเท้าผิด จึงได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เหตุใดวันนี้อยู่ๆ ขาข้างนึงของข้าก็งอกยาวขึ้น เอ๊ะ! หรือขาอีกข้างหนึ่งหดสั้นลง ... หรือคิดอีกที ถนนสายนี้กลายเป็นขรุขระขึ้นมากระทันหันหรือเปล่า?”

กระทั่งมีคนเดินเข้ามาทักว่า “วันนี้นายท่านใส่รองเท้าสลับคู่กันต่างหากล่ะ ท่าทางจึงเหมือนคนเดินกะโผลกกะเผลก” เจ้าสัวพอก้มลงดูพบว่าตัวเองใส่รองเท้าสลับคู่กันจริงๆ จึงรีบสั่งให้ผู้ติดตามรีบกลับไปที่บ้านเพื่อเอารองเท้าคู่ใหม่มา

หลังจากผู้ติดตามวิ่งกลับไปที่บ้าน เจ้าสัวก็นั่งรออยู่นานสองนานกว่าผู้ติดตามจะวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาโดยไม่มีรองเท้าคู่ใหม่ติดมือมาด้วย เจ้าสัวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าจึงไม่หิ้วรองเท้าที่ข้าให้ไปเปลี่ยนกลับมาด้วย?”

ด้านผู้ติดตามที่วิ่งกลับมายังไม่ทันจะหายเหนื่อยก็ได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงอันรันทดว่า “นายท่าน ... เมื่อครู่ตอนที่ข้าวิ่งกลับบ้านไป ควานหารองเท้าอยู่ครึ่งค่อนวัน พบว่ารองเท้าอีกคู่ของท่านก็เป็นเหมือนกับข้างนี้นี่แหละ ข้างนึงพื้นหนา อีกข้างนึงพื้นบาง ข้าว่าท่านไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าหรอก!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ศิษย์ตวนกง

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ศิษย์ตวนกง



นานมาแล้วทางภาคเหนือของจีน มีชายนักเต้นรำแก้บนผู้หนึ่งได้รับการยกย่องจากชาวบ้านร้านช่องว่าเป็น “ตวนกง”* โดยพ่อหมอนักรำแก้บนผู้นี้รับลูกศิษย์คนหนึ่งเอาไว้คอยดูแลรับใช้และถ่ายทอดวิชา

ครั้งหนึ่ง เมื่อตวนกงต้องออกไปทำธุระข้างนอก เหลือแต่ลูกศิษย์อยู่โยงเฝ้าสำนักก็มีคนของคหบดีเดินทางมาติดต่อขอให้ไปเต้นรำแก้บนโดยด่วน โดยสัญญาว่าจะให้ค่าตอบแทนสูงลิบ

ด้านลูกศิษย์ที่เพิ่งศึกษาวิธีการย่ำกลองกับคำร้องประกอบการแก้บนได้เพียงเล็กน้อย ยังไม่ทันจะสำเร็จวิชาการเรียกเทพมาเข้าทรงและเคล็ดลับในการเต้นแก้บนก็ร้อนใจ เนื่องจากอาจารย์ติดธุระออกไปข้างนอกและคงกลับมาไม่ทันฤกษ์ยามที่ทางฝ่ายคหบดีนัดเป็นแน่ เกรงว่าสำนักจะพลาดโอกาสรับทรัพย์ก้อนโต จึงตัดสินใจรับงานเต้นแก้บนดังกล่าวด้วยตนเอง

เมื่อมาถึงศาลเจ้า เจ้าลูกศิษย์จึงเริ่มพิธีด้วยการเต้นย็อกๆ แย็กๆ อยู่พักใหญ่ ทว่ากลับยังไม่มีสัญญาณว่าเทพจะลงมาประทับทรงเสียที จนกระทั่งเจ้าตัวต้องหยุดเต้นและนั่งขัดสมาธิลงเพื่อแสร้งว่าเทพได้ลงมาเข้าทรงแล้ว จากนั้นลูกศิษย์จึงกล่าวคำมั่วๆ ซั่วๆ และขมุบขมิบปากอยู่อึดใจหนึ่ง ... กระทั่งในท้ายที่สุดก็สิ้นสุดพิธีลงดื้อๆ เสียอย่างนั้น

พอเสร็จงาน เมื่อเจ้าลูกศิษย์หิ้วค่าตอบแทนก้อนโตกลับมาถึงสำนัก เวลาเหมาะเจาะกับที่อาจารย์เสร็จธุระกลับมาพอดี ด้วยความร้อนใจลูกศิษย์จึงรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขั้นตอนของพิธีที่ตัวเองเพิ่งทำให้อาจารย์ได้รับทราบอย่างละเอียด

ฝั่งอาจารย์เมื่อได้ฟังดังนั้นก็อึ้งไปพักใหญ่ ก่อนกล่าวกับศิษย์ว่า “เจ้ารู้วิธีการทำพิธีเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาข้าก็เต้นอย่างที่เจ้าว่านี่แหละ!”

yengo หรือ buzzcity