นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หนูกัดหิน

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หนูกัดหิน


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีอยู่ผู้เขาหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ชอบแต่ที่จะ
เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่

ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา ส่งผลให้เศรษฐีได้
ไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่ เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล สนุกสนานไปวันๆ ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน
ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่งมาจนได้ แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง

ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
แล้วเผลอหลับไป บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ ได้กลิ่น
เนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง มาันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า

พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก

ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับมาบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี มีเพื่อนฝูงล้อมหน้า
ล้อมหลัง แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง

ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า

“นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือเจ้า พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วยเจ้าเอง”

ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม แล้วจะปรับปรุงตัว
จะตั้งใจทำมาหากิน ก่อร่างสร้างตัว เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง

พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้
พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก เพื่อนที่เคยหนีหายไป ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน

ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่ง
พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

“แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ แท้ๆ ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง”

บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น บางคนก็ประสมโรงว่า
“เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด”
เพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า ”ใช่ๆ” กันคนละคำสองคำ

ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า

“ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ”

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง นึกว่าง่าย

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง นึกว่าง่าย


คนไทยกับคนลาวเป็นเพื่อนกัน คนไทยนั้นมีเรืออยู่ลำหนึ่ง
มีอยู่วันหนึ่งเกิดน้ำท่วมขึ้น คนลาวจึงนั่งไปกับเรือของคนไทย โดยคนลาวนั่งอยู่ที่หัวเรือและคนไทยนั่งอยู่ที่ท้ายเรือ และก็เป็นคนพายเรือไปด้วย

เมื่อพายเรือไปได้สักระยะหนึ่ง คนลาวเห็นว่าเรือวิ่งตรงเข้าไปหาตนไม้จนจะชนต้นไม้ คนลาวตกใจกลัวจึงร้องบอกไปว่า
“ซ้ายหน่อยๆ” คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็ไม่ชนต้นไม้ เรือรอดผ่านไปได้

เมื่อพายต่อไปอีกสักระยะเรือก็รี่ตรงเข้าไปจะชนบ้านอีก คนลาวเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องขึ้นมาอีกว่า
“ขวาหน่อยๆ” คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็รอดไปได้โดยไม่ชนบ้าน

คนลาวคนนั้นจึงบังเกิดความสงสัยแล้วจึงถามคนไทยขึ้นว่า “นี่เรือของเพื่อนทำด้วยอะไรนะถึงว่าง่ายอย่างนี้”

“อ๋อเรือลำนี้ขุดขึ้นจากไม้ตะเคียนนะเพื่อน” คนไทยตอบคนลาว

คนลาวได้ฟังดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านก็บอกกับเมียของตนว่า “นี่น้องไม้ตะเคียนนี่ว่าง่ายจัง
พี่อยากจะขุดเรือจากไม้ตะเคียนสักลำ ที่ข้างบ้านเรามีไม้ตะเคียนอยู่ต้นหนึ่ง
เดี่ยวพี่จะโค่นมาขุดทำเรือนะ”

เมียก็บอกกับคนลาวที่เป็นผัวว่า “มันจะทับบ้านพังหนะซิพี่”

“มันไม่ทับบ้านเราหรอก ไม้ตะเคียนมันว่าง่าย” ฝ่ายผัวรีบอธิบายสรรพคุณของต้นตะเคียนเสร็จสรรพ

ว่าแล้วคนลาวคนนั้นก็คว้าขวานไปตัดต้นตะเคียนที่อยู่ข้างบ้านในทันที ฟันไปๆจนต้นตะเคียนจวนเจียนจะขาดอยู่แล้ว
มันก็ค่อยๆเอนลงจะทับบ้าน คนลาวก็ไปยืนโบกไม้โบกมือร้องตะโกนไปว่า “ซ้ายหน่อยๆ”
ต้นตะเคียนก็ล้มลงทับหลังคาบ้านพังไปเรียบร้อย คนลาวคิดบ่นอยู่ในใจว่า
“เอ๊ะ! ทำไมต้นตะเคียนบ้านเรานี่ ถึงดื้อขนาดนี้ ทำไมไม่เหมือนต้นตะเคียนของคนไทยเลย ว่าง่ายเอาเสียมากๆ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การเข้าใจอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือการที่หลงเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ จะนำมาซึ่งความเสียหายหรือความหายนะได้
ฉะนั้น ก่อนที่จะเชื่อในอะไรก็ตาม ควรที่จะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยใช้หลักของเหตุผลเป็นหลักก่อน


yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เหลือเชื่อ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เหลือเชื่อ


นานมาแล้วมีผัวเมียคู่หนึ่ง เพิ่งจะได้แต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ทั้งคู่ไปปลูกกระท่อมอยู่กันที่ปลายนา
เพื่อให้ทั้งสองคนคอยช่วยดูแลข้าวปลาที่ทำไว้แล้ว และกำลังงาม เกรงว่าวัวควายนกหนูและสัตว์ต่างๆจะเข้ามากัดกินข้าวที่ปลูกไว้จนเสียหาย

ผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องความต้องการของพ่อแม่แต่อย่างใด
เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงแล้วก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่
และพยายามที่จะปลูกกระท่อมให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้น้ำท่วมถึง

ฝ่ายผัวจึงได้ไปตัดเาไม้ไผ่เอามาทำเสากระท่อม ตัดเอามาเสียมากมาย
แล้วปลูกกระท่อมจนสำเร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงมากทีเดียว สูงที่สุดเลยทีเดียว

ครั้นปลูกสร้างเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ขึ้นไปอยู่กัน นอนหลับสบายทั้งคืน
พอถึงตอนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นมามองไม่เห็นเมียก็เกิดอาการตกใจขึ้น มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมียของตน
ผัวเกิดความคิดสงสัยขึ้นมาว่าเมียตกกระท่อมรึไม่ จึงก้มลงไปดูข้างล่าง
จึงเห็นว่าเมียตกจากกระท่อมลงไปร่างของเมียยังลอยอยู่ยังตกลงไม่ถึงพื้นเลย ยังอยู่สูงอีกมากกว่าจะพื้น
แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดินเอาเสียด้วย

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
การทำอะไรที่เกินความพอดีนั้น สามารถที่จะทำให้เกิดโทษต่างๆขึ้นได้ ฉะนั้นควรที่จะพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะทำ และควรทำแต่ความพอดี

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง กำเนิดต้นข้าว

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง กำเนิดต้นข้าว


ในสมัยโบราณนานมาเมล็ดข้าวเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องปลูก และมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่ากำมือของมนุษย์ประมาณ 5 เท่า เมล็ดข้าวนั้นมีสีเงินและมีกลิ่นหอม มนุษย์ก็ได้ใช้หุงกินกันมานาน ต่อมามีหญิงหม้ายคนหนึ่ง สร้างยุ้งฉางให้ข้าวมาเกิดในยุ้งฉาง แม่หม้ายคนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจหยาบช้า ตีข้าวเมล็ดใหญ่ด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหักและปลิวไป ที่ปลิวไปตกในป่าก็กลายเป็นข้าวดอย ที่ปลิวไปตกในน้ำก็กลายเป็นข้าวนาดำมีชื่อว่านางพระโพสพ นางพระโพสพอาศัยอยู่กับปลาในหนองน้ำ นางพระโพสพโกรธมนุษย์จึงตัดสิ้นใจจะไม่กลับไปอีก มนุษย์จึงต้องอดอยากไม่มีข้าวกินไปถึงพันปี ต่อมามีลูกชายของเศรษฐีไปเที่ยวป่าแล้วเกิดหลงทางจนมาถึงหนองน้ำก็นั่งร้องไห้ ปลากั้งเกิดความสงสารจึงขอให้นางพระโพสพบอกทางให้และกลับไปอยู่กับมนุษย์ นางพระโพสพจึงได้เล่าถึงความใจร้ายของแม่หม้าย ลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางพระโพสพกลับไป แต่นางก็ไม่ยอมกลับ เทวดาจึงแปลงตัวเป็นปลากับนกแก้วมาอ้อนวอนให้นางกลับไปดูแลมนุษย์และพระศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าจะไปเกิดอีก นางพระโพสพจึงยอมกลับไปเมืองมนุษย์แต่ข้าวนั้นจะเล็กลง และต้องทำการเพาะปลูก ถ้าจะตำข้าวจะต้องทำพิธีขอเพื่อที่จะขออนุญาตต่อนางพระโพสพ และเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วต้องทำพิธีสู่ขวัญข้าวด้วย

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง สองพี่น้องแบ่งของ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง สองพี่น้องแบ่งของ


มีชาวนาผู้หนึ่งมีบุตรสาวอยู่สองคน วันหนึ่งชาวนาอยากจะทำการทดลองปัญญาของบุตรทั้งสองของคน
ชาวนาจึงได้ส่งแตงโมให้กับบุตรสาวทั้งสองไป 1 ใบ โดยบอกว่าให้ไปแบ่งกันกินแต่จะต้องแบ่งให้เท่าๆกัน
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเถึยงกันทะเลาะกันเรื่องใครได้มากกว่าน้อยกว่า ถ้าแบ่งได้ไม่เท่ากัน
แล้วเกิดเถียงกันหรืทะเลาะกันขึ้น ก็จะต้องถูกลงโทษทั้งสองคนเป็นแน่

เด็กทั้งสองคน เมื่อได้รับแตงโมมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องแบ่งกันอย่างไรจึงจะสามารถแบ่งได้เท่าๆกัน
ด้วยกลัวว่าตนนั้นจะต้องถูกทำโทษ ในท้ายที่สุดจึงตกลงกันว่าจะใช้วิธีการดังนี้ โดยที่เด็กทั้งสองคนนั้น เห็นว่า
เป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด คือ ถ้าหากใครต้องเป็นคนที่ผ่าแตงโม คนนั้นจะต้องเป็นฝ่าย
เลือกทีหลัง และจะต้องยอมให้ฝ่ายที่ไม่ใช่เป็นคนผ่าเป็นฝ่ายเลือกก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้
คนผ่าลำเอียง โดยผ่าเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งและชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง แล้วคนที่ผ่ารีบเลือกเอาชิ้นใหญ่ไปเป็นของตนก่อน

เมื่อเด็กทั้งสองได้ผ่าแตงโมและแบ่งกันเสร็จแล้ว จึงรีบวิ่งไปเล่าให้บิดาได้ฟัง เมื่อบิดาได้ฟังดังนั้นก็พอใจในสติปัญญาของบุตรสาวทั้งสองนั้นมาก

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พ่อยอมแล้วลูก

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พ่อยอมแล้วลูก



นายดีเป็นคนบ้านนอกบ้านนา เขาได้ตัดสินใจส่งลูกชายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่มาวันหนึ่งนายดีได้ไปเยี่ยมลูกชาย
ลูกชายก็ได้บอกพ่อว่า “ตอนนี้พ่อมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ พ่อจะทำอะไรเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเราไม่ได้นะพ่อ
เพื่อความแน่ใจ ถ้าพ่อเห็นผมทำอะไร พ่อก็ทำตามผมก็แล้วกันนะ”

มีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายจำต้องไปงานเลี้ยง จึงได้ชวนนายดีพ่อของตนไปงานเลี้ยงด้วย นายดีแกทำอะไรไม่ค่อยจะถูก
ก็เพราะว่าไม่เคยเข้างานสังคม แกจึงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าจะทำอะไรให้เป็นที่ขายหน้าให้แก่ลูกชาย

ขณะที่นายดีกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน นายดีก็พยายามดูการกระทำของลูกชายแกอยู่ตลอดเวลา ถ้าแกเห็น
ลูกชายของแกทำอะไรแกก็จะทำตาม ในเมนูแรกเขายกอ้อยควั่นมาเสิร์ฟ ลูกชายก็หยิบเอาอ้อยเข้าปาก
นายดีก็ทำตามลูกชาย ต่างคนต่างกิน พอน้ำอ้อยหมดก็เหลือแต่กากอ้อย ทางฝ่ายลูกชายนั้นก็เอาผ้าเช็ดปาก
มาปิดปากแล้วจึงค่อยคายกากอ้อยออกมา ในตอนนั้นนายดีไม่ทันได้สังเกตุ คิดว่าลูกชายแค่จะเช็ดปากเฉยๆ
นายดีจึงไม่ได้คายกากอ้อยออกมา นายดีจึงเคี้ยวกากอ้อยต่อไปอยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นลูกชายจะคายกากอ้อยออกมา แกจึงคิดในใจ

“เอ..มันคายกากอ้อยออกมาตอนไหนกันหว่า ที่ใต้โต๊ะก็ไม่มี หรือมันจะกลืนลงท้องไปแล้วหว่า”

คิดได้ดังนั้นแกจึงตัดสินใจว่า “เอา..กลืนก็กลืนวะ” เมื่อกลืนลงไปแล้วกากอ้อยก็ติดอยู่ในคอ
นายดีจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำตามเข้าไปมากๆ กว่ากากอ้อยจะหลุดลงคอลงไปได้ แกกินน้ำไปหลายแก้วทีเดียว

อาหารเมนูต่อมาเขาก็นำขนมจีนมาเสิร์ฟ ฝ่ายลูกชายก็ตักขนมจีนมากิน นายดีก็ทำตามเช่นเคย
ระหว่างที่กินกันอยู่นั้น ลูกชายก็บังเกิดความสงสัยขึ้นว่า ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่ พ่อเอากากไปทิ้งไว้ที่ไหน
มองดูรอบบริเวณที่นายดีนั่งอยู่ก็ไม่เห็นว่ามีกากอ้อยตกอยู่เลย ลูกชายจึงถามพ่อขึ้นมาว่า

“พ่อ..ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่หนะ พ่อเอากากอ้อยไปท้งไว้ที่ไหน วางทิ้งไว้เรี่ยราดไม่ได้นะพ่อ”

นายทองดีตอบลูกชายว่า “พ่อก็กลืนเข้าไปนะซิวะ เพราะพ่อไม่เห็นแกคายกากอ้อยออกมาเลยหนะซิ”

พอลูกชายได้ยินดังนั้นก็ขำขึ้นมาจนกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ก็เลยสำลักขนมจีนที่กินเข้าไป เส้นขนมจีนจึงออกมาทางจมูก นายดีเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า

“พ่อยอมแล้วลูก ที่ลูกทำแบบนี้พ่อทำตามไม่ได้หรอก” นายดีกล่าวขึ้นพร้อมกับทั้งยกมือไหว้ลูกชายของตน

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ความสมเหตุสมผล

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ความสมเหตุสมผล


มีกระทาชายคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพตัดฟืน ในระหว่างการเดินทางออกไปตัดฟืนได้เดินผ่านบ้าน
ของชายผู้หนึ่งที่เลี้ยงสุนัขเอาไว้ จู่ๆสุนัขตัวนั้นได้กระโจนเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาจึง
ใช้ขวานจามสุนัขตัวนั้นตาย เจ้าของสุนัขตัวนั้นจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลสถิตยุติธรรม

ผู้พิพากษาถามชายตัดฟืนขึ้นว่า: “ทำไมท่านถึงฆ่าสุนัขตัวนั้นตายกันเล่า?”
“เพราะว่าหมามันกระโจนโถมตัวเข้าหาข้า ข้านั้นจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว ข้าจึงควง
ขวานแล้วจามมันตาย” ชายตัดฟืนตอบ

ผู้พิพากษาถามอีกว่า: “แล้วทำไมท่านจึงไม่หันด้ามขวานไปข้างหน้าละ?”

ชายตัดฟืนตอบขึ้นมาว่า “ถ้าสุนัขตัวนั้นมันคิดจะกัดข้าด้วยหางของมันหละก็ ข้าก็ควรหันด้ามขวานไปข้างหน้า
แต่มันกลับแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ข้า ข้าจึงหันคมขวานเข้ารับมันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วนี่ท่าน”

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง คนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง คนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา


มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก
ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด
เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ

เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ
อย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ

“ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา

“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน
มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ
ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ
ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”

“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ

คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”

“ไม่เคยเลยครับ”

“ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง
วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”

“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ

นักศึกษาส่ายหน้า
“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”

“วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”

“ไม่เคยอีกแหละคุณ”

“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้
แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”

นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง

คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”

นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว
“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”

บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า

“อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย
ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ
ว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”

ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา
ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ
ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร
ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง


yengo หรือ buzzcity

นิทาน เรื่อง เสือตีนโต

นิทาน เรื่อง เสือตีนโต


มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีอาชีพทำไร่ ต่อมาวันหนึ่งทั้งสองก็ต่างไปช่วยกัน
ทำไร่เหมือนเช่นเคย ในวันนั้นทั้งคู่ไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินข้าวกันที่บ้าน
พอถึงช่วงบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีพูดกับภรรยาว่า
“นี่น้อง รีบไปหาข้าวปลาอาหารมากินด้วยกันเถอะ วันนี้พี่หิวมากๆเลย”

ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนที่ขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานอยู่เป็นทุน จึงพลอยไม่ชอบหุงหาอาหารไปด้วย เมื่อได้ยินสามีพูดขึ้นมา
จึงเดินเข้าไปยังห้องครัว แล้วเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นว่ามีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้
จึงบอกกับสามีไปว่า
“ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวของเมื่อตอนเช้าก็ยังมีอยู่ ถ้าพี่หิวก็มากินได้เลย”

“เอางั้นก็ได้ น้องก็มากินพร้อมกันกับพี่เลยซิ” สามีพูด

ทั้งคู่ต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อย
ในขณเะนั้นเองได้มีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน “เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ” เพื่อนเอ่ยถาม

“กำลังจะกินข้าวกลางวัน มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน” สามีได้กล่าวชวนเพื่อน
ที่มาเยี่ยม ให้มาร่วมทานอาหารตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย

“แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่เลยทีเดียว”

เพื่อนคนนั้นก็ได้เข้ามานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงได้ตักข้าวที่ยังคงเหลืออยู่ในหม้อ
ให้กับแขกที่มา ข้าวที่หลืออยู่ในหม้อจึงหมดลง

ทั้งสามคนต่างก็กินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานของแต่ละคนก็ลดน้อยลงทีละนิด เผอิญข้าวในจาน
ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนนั้นยังทานไม่อิ่มจึงคอยจังหวะให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่เจ้าบ้านก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อน
จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ เป็นนัยๆ จึงพูดขึ้นมาว่า
“นี่เมื่อวานนี้ เราเข้าไปในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราได้ไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนของมันโตขนาดจานข้าวนี่เลย”
เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าบ้านดู

เจ้าบ้านเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า
“เมื่อวานนี้ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย
เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ”
พูดไปพร้อมกับได้เอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน

การจะพูดบอกอะไรใครนั้น ในบางครั้งเราไม่สามารถที่จะพูดหรือบอกออกไปตรงๆไม่ได้
เพราะอาจจะเป็นการเสียมารยาท ผู้ฉลาดมักจะหาวิธีการบอกให้อีกฝ่ายหนึ่ง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง สิงโตป่วย

นิทานอีสป เรื่อง สิงโตป่วย


กาลครั้งหนึ่ง มีสิงโตตัวหนึ่งได้มาถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มันนอนป่วยรอความตายไกล้ๆ ถ้ำของมัน มันหายใจอย่างแผ่วเบา สัตว์ต่างๆ พากันมารายล้อมรอบตัวสิงโต และเขยิบเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ามันช่วยตัวเองไม่ได้ 

พอพวกสัตว์แน่ใจว่าสิงโตกำลังจะตาย พวกมันคิดกับตัวเองว่า “ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเอาคืนคู่ปรับเก่าที่แสนดุร้าย” 

ดังนั้นหมูป่าจึงเข้ามาและเอาเขี้ยวแทงไปที่ตัวสิงโต แล้วกระทิงตัวหนึ่งก็ใช้เขาของมันขวิดสิงโต ทว่าสิงโตยังคงนอนแน่นิ่งช่วยตัวเองไมได้อยู่ต่อหน้าพวกมัน 

ด้วยเหตุนี้เมื่อเจ้าลารู้สึกปลอดภัยดีแล้วมันก็เดินเข้ามา หันหางไปทานสิงโตและใช้เท้าหลังถีบหน้าสิงโต “นี่คือความตายแบบสองเท่าตัว” สิงโตคราง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

พวกขี้ขลาดตาขาวเท่านั้นที่ดูหมิ่นพระราชาที่กำลังจะตาย

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับอีกา

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับอีกา


ครั้งหนึ่งสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเห็นอีกาบินผ่านมาพร้อมกับคาบเนยแข็งชิ้นหนึ่งไว้ในปาก มันมาหยุดเกาะอยู่บนกิ่งไม้ 

“เนยแข็งชิ้นนั้นต้องเป็นของข้า”
สุนัขจิ้งจอกพูดและเดินที่โคนต้นไม้ 

“สวัสดีคุณผู้หยิง”
มันร้องทัก 

“วันนี้ท่านช่างงดงามนัก ขนของท่านช่างมันวาวและดวงตาของท่านช่างสุกในเหลือเกิน ข้านใจว่าเสียงของท่านจะต้องไพเราะกว่านกตัวไหนๆ สมกับลักษณะของท่าน ให้ข้าได้ฟังเพลงจากท่านสักเพลงหนึ่งเถิด เพื่อข้าจะได้ชื่นชมท่านในฐานะราชินีแห่งนกทั้งปวง” 

อีกาขยับหัวและเริ่มเปล่งเสียง กา กา อย่างตั้งใจ แต่ขณะที่มันอ้าปาก เนยแข็งก้อนนั้นก็ตกลงมา สุนัขจิ้งจอกรีบคาบมาทันที 

“ให้มันได้อย่างนี้สิ” 
สุนึขจิ้งจอกพูด 

“ข้าต้องการเท่านี้แหละ” 
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเนยแข็งของเจ้า ข้าอยากจะให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ คือ 
“อย่าหลงเชื่อพวกยกยอปอปั้น”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่างเชื่อคำพูดของคนประจบประแจง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง หนูเมืองกับหนูนา

นิทานอีสป เรื่อง หนูเมืองกับหนูนา


กาลครั้งหนึ่ง หนูเมืองได้ไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่ชนบท ลูกพี่ลูกน้องของมันเป็นหนูที่เป็นกันเองและมันรักมิตรเช่นหนูเมืองมาก

ดังนั้นมันจึงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้หนูเมืองกินทั้งถั่ว เนยแข็ง และขนมปังอย่างไม่อั้น หนูเมืองประหลาดใจกับอาหารพวกนี้จึงพูดว่า

“ญาติที่รักข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าทนกินอาหารกระจอกๆ อย่างได้อย่างไร เอาเถอะข้าคิดว่านั่นเป็นเพราะเจ้าคงไม่อาจหวังอะไรที่ดีกว่านี้ได้ มากับข้าสิ แล้วข้าจะแสดงให้เห็นวิธีการใช้ชีวิต ถ้าเจ้าได้อยู่ในเมืองสักอาทิตย์ เจ้านะแปลกใจว่าเคยทนกับสภาพชีวิตในชนบทได้อย่างไร”

ไม่นานนักหนูสองตัวก็เดินทางเข้าเมือง และสุดท้ายทั้งคู่มาถึงบ้านพักของหนูเมืองในตอนดึก

“เจ้าคงอยากได้เครื่องดื่มช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าหลังจากที่เดินทางมาแสนไกล”
เจ้าหนูเมืองพูดอย่างสุภาพ และพาเพื่อนหนูไปยังห้องอาหารที่ใหญ่โต ที่นั่นพวกมันได้พบเศษอาหารที่เหลืออยู่จากงานเลี้ยงชั้นเลิศ เจ้าหนูสองตัวไม่รช้า รีบกินเค้กเยลลี่ รวมถึงของอร่อยอื่นๆ อีกมากมาย ทันไดนั้นเอง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเห่าหอน
“อะไรน่ะ”
หนูนาถาม
“ก็แค่พวกหมาเท่านั้น”
หนูเมืองตอบ
“เท่านั้นหรือ!”
หนูนาร้อง
“ข้าไม่ชอบเสียงดนตรีแบบนี้ในระหว่างอาหารเย็นเลย”
แล้วประตูก็เปิดออก สุนัขตัวใหญ่สองตัววิ่งเข้ามาเจ้าหนูสองตัวจึงต้องรีบกระโดดลงมาแล้ววิ่งหนีไป
“ลาก่อนญาติที่รัก”
เจ้าหนูนาเอ่ย
“เฮ้ย ทำไมรีบกลับนักล่ะ”
“อืมม์”
เจ้าหนูนาตอบ
“ข้ายอมกินถั่ว ในความสงบ ดีกว่ากินเค้กในความหวาดกลัว"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง ชาวนากับงูพิษ

นิทานอีสป เรื่อง ชาวนากับงูพิษ


ลูกชายคนหนึ่งของชาวนาได้เดินไปเหยียบหางงูโดยบังเอิญ งูจึงแว้งกัดเขาจนตาย

ผู้เป็นพ่อได้ถือขวานไล่เจ้างูตัวนั้นไปด้วยความแค้น และตัดหางของมัน 

ด้วยเหตุนี้งูจังกลับมาแก้แค้นเขาโดยเริ่มกัดพวกวัวควายของชาวนาหลายครั้ง ทำให้ชาวนาเดือดร้อนมาก 

ในที่สุดชาวนาก็คิดว่าหากยุติเรื่องราวทั้งหมดกับเจ้างูนะเป็นการดีที่สุด เขาจึงนำอาหารและน้ำผึ้งไปยังที่หลบซ่อนของงู พูดกับมันว่า 
“เรามาลืมเรื่องราวทั้งหมดและอภัยให้กันเถอะ บางทีเจ้าอาจจะทำถูกก็ได้ที่ลงโทษลูกชายของข้าและแก้แค้นฝูงวัวควายของข้า แต่ข้าก็ทำถูกเหมือนกันที่พยายามจะแก้แค้นให้เขา ตอนนี้เราต่างก็สาสมแก่ใจแล้ว ทำไมเราไมกลับมาเป็เพื่อนกันอีกครั้งล่ะ?” 

“อย่างเลย” เจ้างูพูด 

“เอาของกำนัลพวกนี้กลับไปเสีย เพราะเจ้าจะไม่มีวันลืมเรื่องที่ลูกชายของเจ้าตาย เช่นเดียวกับข้าที่จะไม่ลืมเรื่องที่สูญเสียหางไป”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

บาดแผลอาจให้อภัยได้แต่ไม่อาจลืมได้

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง หมาป่ากับนกกระเรียน

นิทานอีสป เรื่อง หมาป่ากับนกกระเรียน


หมาป่ากำลังกินกระต่ายป่าที่ฆ่าได้อย่างตะกละตะกลาม แต่ทันไดนั้นกระดูกชิ้นเล็กๆ ก็ไปติดคอของมัน และมันไม่สามารถกลืนกระดูกชิ้นนั้นลงไปได้ 

ไม่นานมันก็รู้สึกเจ็บที่คอหอย ก็เลยวิ่งไปวิ่งมา ร้องครวญคราง พยายามหาหนทางบรรเทาความเจ็บปวด มันพยายามขอร้องใครก็ตามที่มันเจอให้ช่วยเอากระดูกออกไปที 

“ไม่ว่าจะขออะไรข้าก็ให้ได้ทั้งนั้น” 
หมาป่าพูด 
“ถ้าช่วยเอากระดูกออกไปได้” 

ในที่สุด นกกระเรียนก็ตกลงที่นะช่วย มันบอกหมาป่าให้นอนลง พร้อมกับอ้าปากให้กว้างเท่าที่นะกว่างได้ แล้วนกกระเรียนก็ยืดคอยาวๆ ของมันเข้าไปในปากหมาป่าใช้จะงอยปากของมันเขี่ยกระดูกชิ้นนั้นหลุดออกมาได้ 

“เจ้านะให้อะไรข้าเป็นรางวัลตามที่สัญญาไว้” 
นกกระรียนทวงถาม 

หมาป่าแสยะยิ้มแยกเขี้ยว และพูดว่า 
“จงสำนึกตนไว้เถิด เพราะเจ้าเพิ่งเอาหัวของเจ้าเข้ามาในปากของป่าและเอามันออกมาได้อย่างปลอดภัย นั่นน่าจะเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่หำหรับเจ้า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความกตัญญูกับความโลภไม่อาจร่วมทางกันได้

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง การแบ่งเนื้อของสิงโต

นิทานอีสป เรื่อง การแบ่งเนื้อของสิงโต


เรื่องมีอยุ่ว่า สิงโตตัวหนึ่งได้ออกไปล่าเหยื่อพร้อมกับสุนัขจิ้งจอก หมาใจและหมาป่า 

พวกมันได้ออกตระเวนล่าเหยื่อจนกระทั่งไปพบกวางตัวผู้ตัวหนึ่ง และได้ปลิดชีวิตมันเสีย จากนั้นก็มาถึงคำถามว่าจะแบ่งซากกวางนี้อย่างไรดี 

“แล่งเนื้อกวางหนึงนสี่ส่วนให้ข้า” 
เจ้าสิงโตคำรามเสียงดัง สัตว์ตัวอื่นๆ จึงทำการถลกหนัง และแบ่งเนื้อกว่างออกเป็นสี่ส่วน สิงโตยืนอยู่หน้าซากกวางนั้นและประกาศการตัดสินว่า 

“เนื้อส่วนแรกนั้นเป็นของข้าในธานะจ้าวป่า ส่วนที่สองเป็นของข้าในฐานะผู้ตัดสิน และอีกส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นของข้าเพราะข้าเข้ามาร่วมล่าเหยื่อด้วย และสำหรับส่วนที่สี่ เอาล่ะ ข้าก็อยากรู้เหมื่อนกันว่าพวกเจ้าคนจะกล้าเข้ามาเอา”

“เฮ้อ” เจ้าสุนัขจิ้งจอกครวญขณะที่เดินจากมาด้วยหางที่ตกอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าคาดหวังความยุติธรรมจากผู้ปกครอง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง พ่อใก่กับใข่มุก

นิทานอีสป เรื่อง พ่อใก่กับใข่มุก


เรื่องมีอยู่ว่า พ่อไก่ตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในฟาร์มท่ามกลางแม่ไก้ทั้งหลาย ทันใดนั้นพ่อไก้ก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างส่องแสงประกายอยู่กลางกองฟางเข้า “ว้าว!”

พ่อไก่ร้องอุทาน “นั่นน่ะของข้า” แล้วันก็รีบคุ้ยเขี่ยสิ่งนั้นออกมาจากกองฟาง ทว่า นั่นกลับเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่คงนะมีคนทำหล่นไว้ “มันอาจจะมีค่า” พ่อไก่เอ่ย “หำ

หรับมนุษย์ที่เห็นคุณค่ามัน แต่สำหรับข้าแล้วเมล็ดข้าวเมล็ดเดียวยังดีกว่าใข่มุกเป็นใหน ๆ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

สิ่งของที่ล้ำค่ามีไว้หำหรับผู้ที่มองเห็นคุณค่าของมัน

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ

นิทานอีสป เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมาป่าตัวหนึ่งกำลังกินน้ำอยู่ที่น้ำพุบนเนินเขา และพอมันเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นลูกแกะตัวหนึ่งกำลังจะกินน้ำที่ใหลลงไปเบื้องล่างบ้าง “นั่นเป็น

อาหารเย็นของข้า” เจ้าหมาป่าคิดในใจ “ถ้าเพียข้าสามารถหาข้ออ้างได้ก็จะกินเจ้าลูกแกะตัวนี้ได้” แล้วหมาป่าก็ตะโกนว่า “เจ้าบังอาจมากวนน้ำที่ข้ากำลังกินอยู่ให้

เลอะโคลนสกปรกได้อย่างไร”
“เปล่านะท่าน ข้าเปล่า” เจ้าลูกแกะพูด “ถ้าน้ำข้างบนนั้นมีโคลนปนอยู่ ก็แสดงว่าข้าไม่ได้เป็นตั้นเหตุแน่นอนเพราะน้ำนี้ใหลลงมาจากตรงที่ท่านยืนอยู่ก่อนแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นละก็” เจ้าหมาป่าพูด “ทำไมช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้วเจ้าถึงมาด่าว่าข้าเสียๆ หายๆ ด้วย”
“เป็นไปไม่ได้หรอกท่าน” เจ้าหมาป่าคำราม “ถ้าไม่ใช่เจ้า ก็ต้องเป็นพ่อของเจ้าแน่ๆ” ว่าแล้วเจ้าหมาป่าก็กระโจนเข้าตะครุบลูกแกะผู้น่าสงสาร และขย้ำกิน

อย่างไม่สนใจเหตุผลของเจ้าแกะนั้นเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนชั่วมักหาข้อแก้ตัวให้กับการกระทำของตัวเองได้เสมอ

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กากับนกยูง

นิทานอีสป เรื่อง กากับนกยูง


ขณะที่กา ตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นล้ำเข้าไปในสนามที่พวกนกยูงมักจะเดินมันก็ได้พบกับขนนกกลุ่มหนึ่งซึ่งร่วงหล่นมาจากเหล่านกยูงยามที่มันผลัดขน 

กาจึงผูกขนนกเหล่านั้นไว้ที่หางของตน และเดินวางท่าตรงไปยังฝูงนกยูง เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ ฝูงนกยูงก็พบว่าพวกมันถูกหลอก จึงเดินตรงเข้าไปหาเจ้ากา พร้อมกับจิก และถอนขนจอมปลอมของมันเสีย 

ดังนั้นเจ้ากาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเดินกลับไปยังฝูงของตนเอง ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของมันอยู่ห่างๆ พวกมันรู้สึกรำคาญเจ้านกตัวนี้เช่นกัน และกล่าวแก่มันว่า

"ขนนกหรูเลิศอย่างเดียว ช่วยให้เป็นนกชั้นสูงไม่ได้"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความงามในจิตใจคือความงามที่แท้จริง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง อึ่งอ่างและวัว

นิทานอีสป เรื่อง อึ่งอ่างและวัว


"นี่พ่อ" เจ้าอึ่งอ่างตัวน้อยพูด ลูกอึ่งอ่างตัวหนึ่งพอเห็นวัวเป็นครั้งแรกก็กลับมาคุยกับพ่อของมันว่า "ฉันไปเจอสัตว์ประหลาดน่ากลัวเข้าตัวหนึ่ง ร่างมันสูงใหญ่อย่างกับภูเขา มีเขาบนหัว หางยาว และกีบเท้าของมันแยกออกเป็นสองกีบ"

"เฮ้อ เด็กหนอเด็ก" อึ่งอ่างตัวพ่อเอ่ยตอบ "นั่นมันแค่วัวของชาวนาตระกูลไวท์เท่านั้น แล้วมันก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนั้นสักหน่อย สูงกว่าพ่อแค่นิดเดียว แล้วพ่อก็ทำตัวเองให้ใหญ่กว่านี้ได้สบายๆ เลย ดูสิลูก

ดังนั้นมันจึงพองตัวของมันให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอีก และใหญ่ขึ้นไปอีก "ใหญ่เท่านี้ใช่ใหม?" อึ่งอ่างตัวพ่อถาม "โอโห ใหญ่กว่านี้เยอะเลย" ลูกอึ่งอ่างตอบ พ่ออึ่งอ่างจึงพองตัวเองออกอีกครั้งหนึ่ง และถามลูกอึ่งอ่างว่า เจ้าวัวนั่นใหญ่เท่านี้ใช่หรือไม่

"ใหญ่กว่า พ่อ ใหญ่กว่านี้" ลูกอึ่งอ่างตอบ

ดังนั้นพ่ออึ่งอ่างจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพองตัวมากขึ้นและมากขึ้น ตัวของมันบวมเป่งขึ้นมาเรื่อยๆ เป่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็พูดว่า "พ่อแน่ใจว่าเจ้าวัวน่ะ มันไม่ใหญ่เท่า... " แต่แล้วในวินาทีนั้นเองตัวพ่ออึ่งอ่างก็ระเบิดออก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การหลอกตัวเองย่อมนำไปสู่การทำลายตนเอง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม


สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่ ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ

วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว

พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า

หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า

"ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"

ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขผู้ซื่อสัตย์

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขผู้ซื่อสัตย์


นิทานอิสปสุนัขผู้ซื่อสัตย์ บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น ซื่อสัตย์มากในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน


คืนหนึ่ง มันได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อชุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภักดีไม่ได้

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง อันโดรคัส

นิทานอีสป เรื่อง อันโดรคัส


ครั้งหนึ่งมีทาสคนหนึ่ง ชื่อ อันโดรคัส ได้หลบหนีจากนายเข้าไปในป่า

ขณะที่เขากำลังท่องไปอย่างไร้จุดหมายนั้น ก็พบสิงโตนอนร้องครวญคราง อย่างเจ็บปวด ทีแรกเขาคิดจะวิ่งหนี แต่แล้วก็พบว่า สิงโตไม่อาจทำอันตรายเขาได้ จึงหันหลังกลับและเดินเข้าไปหาสิงโตตัวนั้น 

เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้สิงโตก็ยื่นอุ้งเท้าที่บวมและมีเลือดออกให้ 

อันโดรคัสจึงพบว่า มีหนามใหญ่ตำอยู่ที่อุ้งเท้านั้น และทำให้มันเจ็บปวด เขาจึงดึงหนามออกมาและเอาผ้าพันอุ้งเท้าให้เจ้าสิงโต ไม่นาน มันก็ลุกขึ้นมายืนได้ และเลียมือของอันโดรคัสราวกับสุนัขตัวหนึ่ง แล้วเจ้าสิงโต ก็พาอันโดรคัสไปยังถ้ำของมัน และหาเนื้อมาให้เขาทุกวัน 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ถูกจับ ทาสถูกตัดสินโทษโดยการโยนให้สิงโตกิน ส่วนสิงโตเขายังมันเอาไว้โดยไม่ให้อาหารเป็นเวลาหลายวัน 

จักรพรรดิและขึนนางทั้งหลายต่างพากันมาดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ แล้วอันโดรคัส ก็ถูกพาออกมาอยู่กลางสนามกีฬา จากนั้นเขาก็ปล่อยสิงโตออกมาจากกรงขังของมัน มันรีบกระโจนเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็วพร้อมกับร้องคำราม 

แต่พอมันเข้าไปใกล้อันโดรคัส มันก็จำผู้เป็นเพื่อนได้ จึงหมอบลง และเลียมือ ของเขาราวกับสุนัขเชื่องๆ ตัวหนึ่ง จักรพรรดิประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึังได้เรียก อันโดรคัสเข้าไปพบ ให้เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง นี่ทำให้ทาสได้รับการอภัยโทษและเป็นอิสระ ส่วนสิงโตก็ได้รับการปล่อยกลับเข้าไปอยู่ในป่าตามเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความกตัญญูเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีจิตวิญญาณสูงส่ง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กบกับหนู

นิทานอีสป เรื่อง กบกับหนู


หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย

กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ

เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง พรานใหม่ผู้กล้าหาญ

นิทานอีสป เรื่อง พรานใหม่ผู้กล้าหาญ


พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง

เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว

วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า

"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"

คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง กวางป่ากับพวงองุ่น

นิทานอีสป เรื่อง กวางป่ากับพวงองุ่น


กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน

" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง

กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "

ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง แพะกับลูกแกะและหมาป่า

นิทานอีสป เรื่อง แพะกับลูกแกะและหมาป่า


กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เมื่อเจ้าหมาป่าเห็นลูกแกะยืนอยู่ข้างแม่แพะ มันจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ 

“นี่เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกแกะ เหตุใดถึงมาอยู่ในฝูงแพะดูเหมือนฝูงแกะกำลังหากินอยู่ใกล้ๆนี่เองทำไมจึงไม่ไปหาแม่ที่แท้จริงของเจ้า”

“ข้าไม่ไปหรอก”
ลูกแกะตอบปฏิเสธ

“ถึงแม้นว่าแกะจะเป็นผู้ให้กำเนิดข้ามาก็จริง แต่แม่แพะตัวนี้เป็นผู้เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ท่านจึงน่าจะเป็นแม่ที่แท้จริงของข้ามากกว่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความกตัญญูย่อมเกิดขึ้น เพราะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ทนุถนอม อย่างแท้จริง

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง นักโทษประหารกับมารดา

นิทานอีสป เรื่อง นักโทษประหารกับมารดา


กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีเด็กคนหนึ่งขโมยหนังสือของเพื่อนกลับมาบ้านแม่ ของเขาเห็นแทนที่จะห้ามปรามและสั่งให้นำไปคืนกลับกล่าวชมเชยว่าลูกของตนนั้น เก่ง ทำให้เด็กคนนั้น

ได้ใจลักเล็กขโมยน้อยของผู้อื่นนำมาให้แม่อยู่เรื่อยๆ แม่ของเขาก็แสดงความพอใจทุกครั้งครั้นโตเป็นหนุ่มเขาได้เข้าไปขโมยของที่บ้านหลังหนึ่งและฆ่าผู้เป็นเจ้าของบ้านตาย

เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับตัวได้จึงถูกตัดสินให้ประหารชีวิตขณะที่กำลัง ถูกใส ่ขื่อคาพาแหประจานไปยังลานประหาร ผู้เป็นแม่ทราบข่าวก็ร้องไห้ฟูมฟายตีอกชนตัววิ่งตามลูกของตนพร้อมกับคร่ำ ครวญว่า

“โธ่ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงทำผิดคิดร้ายถึงเพียงนี้”
“แม่อย่าร้องไห้เลย” 
นักโทษผู้เป็นลูกชายกล่าวเสียงเย็นชา

“ตอนที่ผมเป็นเด็กเที่ยว ลักขโมยของผู้อื่น มาให้ ถ้าแม่ดุด่าสั่งสอนแทนที่จะชมเชยให้ท้าย วันนี้ผมจะต้องถูกประหารหรือ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีอยากให้ลูกให้ดีต้องอบรมสั่งสอน

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง ปลาโลมากับสิงโต

นิทานอีสป เรื่อง ปลาโลมากับสิงโต


ปลาโลมากับสิงโตได้ตกลงเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายต่อกัน

ครั้นวันหนึ่งสิงโตมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับควายป่าจนถึงขั้นต่อสู้กัน

สิงโตจึงวิ่งมาที่ชายหาดเเล้วร้องว่า

"โลมาเพื่อนยาก ถึงคราวที่ท่านต้องทำตามสัญญาเเล้ว ไปช่วยข้าสู้กับควายป่าด้วยเถิด"

เเต่ปลาโลมาต้องปฏิเสธเพราะไม่สามารถขึ้นมาบนบกได้ เเม้ว่ามีน้ำใจอยากจะช่วยมิตรสหายเพียงใดก็ตาม

"โธ่เอ๋ย! ปลาโลมาเพื่อนทรยศ ไม่สมกับเป็นเจ้าเเห่งทะเลเลย"

สิงโตบ่นว่าเพื่อนร่วมสาบาน ปลาโลมาจึงว่า

"ก็เพราะข้าเป็นใหญ่ในน้ำน่ะสิ ขึ้นบกไปเเล้วข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไมท่านไม่เข้าใจเลย"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จะขอให้ใครช่วย ควรดูความถนัด

yengo หรือ buzzcity

นิทานอีสป เรื่อง เเม่เหยี่ยวกับลูก

นิทานอีสป เรื่อง เเม่เหยี่ยวกับลูก


เเม่เหยี่ยวเป็นทุกข์ใจนักที่เห็นลูกนกเหยี่ยวของตน นอนป่วยมาหลายวันเเล้ว

เมื่อลูกนกมีอาการทรุดหนักลงทุกวัน เเม่เหยี่ยวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ

ลูกนกจึงเอ่ยขึ้นว่า

"อย่ามัวร้องไห้เลย เเม่จ๋า เเม่ลองไปไหว้บนบาน เทพยดา ที่ศาลสิจ๊ัะ ท่านจะได้ช่วยชีวิตลูก ท่านจะได้ ช่วยให้ลูกหายเจ็บไข้"

เเม่เหยี่ยวฟังเเล้วก็ยิ่งร้องหนักขึ้นเเล้วว่า

"เเม่ก ็อยากทำเช่นนั้นจ่ะลูก เเต่เเม่ไปขโมยอาหาร ที่คนนำมาถวาย ท่านทุกๆวัน เเล้วเทพยดาจะช่วยเรา ทำไมล่ะ โธ่เอ๊ย! เเม่ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ไม่ควรไป ขโมยของท่านเลย"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อสำนึกความผิดได้ บางครั้งก็สายเกินไป

yengo หรือ buzzcity

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หนูกับแมว

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หนูกับแมว


แต่ก่อนนั้นแมวไม่เคยกินหนูเลย เพราะแมวกับหนูเป็นเพื่อนรักกัน ดังคำสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างให้ไว้ต่อกันว่า “เพื่อนจะไม่ยอมทิ้งกันในยามยาก”

อยู่มาวันหนึ่งแมวอยากจะกินนก จึงชวนหนูออกไปจับนกที่กลางทุ่ง “หนู วันนี้เราไปเที่ยวที่กลางทุ่งกันดีมั๊ย ข้าจะไปหานกกิน แล้วแกก็ไปหาข้าวกิน กลางทุ่งนามีข้าวเต็มไปหมด” ซึ่งหนูเห็นดีด้วยเพราะเป็นหน้าเกี่ยวข้าว จึงเดินไปด้วยกัน

เมื่อมาถึงกลางทุ่ง แมวก็ไปนั่งแอบอยู่ที่คันนา พอนกบินมาเกาะที่คันนา แมวก็จับนกกินอย่างสนุกสนาน ส่วนหนูก็ไปนั่งที่กลางนาเก็บข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ หนูกับแมวไม่รู้จะทำอย่างไรกันดี จึงได้แต่ตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด บังเอิญมีเรือไม้เก่าๆ ไหลมาตามน้ำ แมวรีบร้องตะโกนบอกให้หนูมาขึ้นเรือ แล้วต่างตัวต่างก็ปีนขึ้นเรือได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเรือไม้เก่าลำนั้นก็พาหนูกับแมวไหลไปตามน้ำเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

หลายวันหลายคืนผ่านพ้นไป ทั้งหนูกับแมวต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกหิว เพราะไม่ได้กินอะไรกันเลย ฝ่ายแมวที่นอนอยู่นิ่งๆ รู้ว่าหนูนั้นชอบกัดกินไม้ ตอไม้รวมทั้งของจุกจิกทั้งหลาย จึงตะโกนบอกหนูว่า “อย่าไปกัดกินไม้เรือนะ เดี๋ยวน้ำจะเข้าเรือ” หนูได้ยินก็บอกว่า “ข้าไม่กินหรอกน่า” แต่หนูรับปากแมวได้ไม่นาน ด้วยความหิวก็แอบกัดกินไม้เสียงดังกรอดๆ แมวได้ยินจึงโผล่หัวขึ้นมาแล้วร้องบอกว่า “ไอ้หนู อย่ากัดไม้นะ ขืนกัดอีกเราต้องจมน้ำตายกันแน่ๆ ” ทำให้หนูต้องหยุดเงียบไปในที่สุด

เรือไม้เก่าๆ ยังคงลอยต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนแมวก็ยังทนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้กินอะไรเลย แต่หนูทนไม่ได้ แอบกัดไม้ดังกรอดๆอีก จนแมวทนไม่ไหว โกรธก็โกรธ หิวก็หิว รำคาญก็รำคาญ กลัวจะจมน้ำก็กลัว แต่ด้วยความเป็นเพื่อนจึงคิดในใจว่า “ทนอีกสักครั้งเถอะ ถ้าเจ้าหนูมันยังไม่เชื่อ เห็นทีจะต้องจับมันกินจริงๆเสียแล้ว” ฝ่ายหนูก็สงสัยว่าฝ่ายแมวจะทำอะไรมัน เห็นแมวทำหน้าบูดหน้าบึ้งใส่ หรือว่าแมวมันคิดจะจับเราไปกิน ครั้นคิดได้เช่นนั้น ด้วยความรักตัวกลัวแมวกิน หนูก็กระโดดลงจากเรือหนีแมวเพื่อนรักลงรูไปในทันที

ฝ่ายแมวเห็นเพื่อนทิ้งกันไปได้ลงคอ แค้นก็แค้น เสียใจก็เสียใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงสัญญากับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ถ้าข้าเห็นแกที่ไหน จะจับกินเสียตรงนั้นและไม่ว่าชาติไหน ถ้าเห็นเป็นหนูข้าจะกินเสียให้หมด สัญญากันแล้ว มันไม่ทำตามสัญญา” ตั้งแต่บัดนั้นแมวก็กินหนูมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

yengo หรือ buzzcity