เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นั่งเฉยๆ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นั่งเฉย ๆ



มีเศรษฐีอยู่บ้านหนึ่ง ชอบฟังเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ อย่างการก่อตัวขึ้นและการล่มสลายของราชวงศ์ต่างๆ เป็นที่สุด โดยเขามักจะเชิญแขกที่มีความรู้เกี่ยวกับราชวงศ์นั้นๆ มาที่บ้าน เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตให้ฟัง ทว่า เศรษฐีผู้นี้กลับเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อเชิญแขกมาที่บ้านก็มักจะไม่ให้ค่าตอบแทนใดๆ แม้กระทั่งน้ำชาแก้กระหายสักถ้วย ขนมขบเคี้ยวสักจานก็ไม่ยกขึ้นมารับรอง

วันหนึ่ง มีแขกผู้หนึ่งถูกไหว้วานมาที่บ้านเพื่อให้ช่วยเล่าถึงเรื่องราวในยุคสมัยของการแย่งชิงอำนาจระหว่างฌ้อปาอ๋อง (เซี่ยงอี่ว์) กับ หลิวปัง เนื้อความมีอยู่ว่า “หลังราชวงศ์ฉินสิ้นบุญวาสนา ระหว่างการแย่งชิงอำนาจของขุนศึก ครั้งหนึ่งหานซิ่นสู้รบพ่ายแพ้ ขณะที่เซียวเหอก็นำทัพม้ารุกไล่ตามหมายเอาชีวิตหานซิ่น บีบคั้นหานซิ่นให้หลบหนีจนหลังพิงลำน้ำหวยเหอ

“เมื่อเห็นตนเองใกล้จนมุมหานซิ่นจึงบังคับม้าวิ่งหลบเข้าไปในป่ารกชัฏที่อยู่ใกล้ๆ ... ในป่า หานซิ่นพบเห็นแมกไม้ขึ้นกันอยู่แน่นขนัด กับก้อนหินรูปทรงงดงามจำนวนมาก โดยเมื่อหานซิ่นพบเห็นก้อนหินประหลาด ขนาดมหึมาอย่างที่ตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต เจ้าตัวจึงตัดสินใจรั้งบังเหียน และลงจากม้าเพื่อนั่งพักบนก้อนหินยักษ์ก่อนนั้น ...” กล่าวถึงตอนนี้ แขกที่ได้รับเชิญมากลับหยุดเล่าไปเสียดื้อๆ

ฝ่ายเศรษฐีที่กำลังนั่งฟังเรื่องเล่าอย่างเพลิดเพลิน พอเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า “หานซิ่นลงจากม้าเพื่อนั่งพักบนก้อนหินแล้วยังไงต่อละท่าน?”

ฝ่ายแขกที่ได้รับเชิญมาเล่าเรื่องจึงกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมว่า “ลงจากม้าก็นั่งอยู่เฉยๆ ... นั่งอยู่เฉยๆ ก็เพราะไม่มีอะไรจะกินน่ะสิ!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน หน้าหนา

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน หน้าหนา



กาลครั้งหนึ่ง ชายแซ่หลี่กับไอ้หนุ่มแซ่หวังกำลังถกเถียงกันยกใหญ่

ชายแซ่หลี่เอ่ยถามขึ้นว่า “ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าใต้ฟ้านี้สรรพสิ่งใดแข็งที่สุด?” ไอ้หนุ่มแซ่หวังจึงตอบไปว่า “น่าจะเป็นเหล็กใช่หรือไม่?” ชายแซ่หลี่จึงโต้กลับไปว่า “ใช่ที่ไหนกันเล่า เหล็กเมื่อเจอไฟร้อนๆ ก็ละลายกลายเป็นของเหลว อย่างนี้จะกล่าวว่าเหล็กคือของแข็งที่สุดได้อย่างไรกัน?”

ไอ้หนุ่มแซ่หวังจึงถามกลับไปว่า “อย่างงั้นเจ้าลองบอกมาซิว่าสิ่งใดแข็งที่สุด?” ชายแซ่หลี่จึงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นหนวดเครา” ... ไอ้หนุ่มแซ่หวังขบคิดอย่างไงก็ไม่เข้าใจจึงถามต่อว่า “เหตุใดหนวดเคราจึงเป็นสิ่งที่แข็งที่สุดหรือ ท่านมีหลักฐานใดมายืนยัน?”

ชายแซ่หลี่จึงกล่าวตอบไปว่า “เจ้าไม่เคยเห็นหรอกหรือว่า ใต้ฟ้านี้แม้บางผู้บางคนจะมีหน้าที่หนาสักเท่าใดก็ตาม แต่หนวดเคราก็แข็งแกร่งพอที่จะแทงทะลุใบหน้าเหล่านั้นออกมาได้!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน รัฐสุนัข

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน รัฐสุนัข



เยี่ยนอิง เป็นเสนาบดีของ รัฐฉี ที่มีมีรูปร่างสันทัด ครั้งหนึ่งเยี่ยนอิงได้รับภารกิจเป็นทูตเดินทางไปยัง รัฐฉู่ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐ ทว่า อ๋องรัฐฉู่กลับมีจิตใจคับแคบ จงใจจะหลู่เกียรติทูตจากรัฐฉีให้อับอายขายหน้า จึงสั่งให้ขุนนางเจาะประตูขนาดสุนัขลอดข้างประตูเมืองใหญ่ พอเยี่ยนอิงเดินทางมาถึง เหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองก็ปิดประตูใหญ่ และเชื้อเชิญเยี่ยนอิงให้คลานเข้าเมืองทางประตูสุนัขลอด

เยี่ยนอิงเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีว่าอ๋องรัฐฉู่จงใจกลั่นแกล้งตนเอง จึงยืนกรานกับเหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองว่าจะไม่คลานเข้าเมืองทางประตูสุนัข พร้อมกล่าวว่า “หากข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้มาสานสัมพันธ์กับรัฐสุนัข ข้าพเจ้าจึงจะยินยอมพร้อมใจเข้าเมืองทางประตูสุนัข แต่วันนี้ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจมายังรัฐฉู่ มิใช่รัฐสุนัข ข้าพเจ้าจึงไม่ควรจะเข้าเมืองฉู่ทางประตูสุนัข”

หลังเข้าเมืองฉู่และถูกเชื้อเชิญไปยังราชวังเพื่อเข้าเฝ้าผู้ครองรัฐฉู่ พอพบเห็นเยี่ยนอิง อ๋องแห่งรัฐฉู่ก็ยังไม่เลิกรา ตรัสถามขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่ารัฐฉีไม่มีคนแล้วหรือ จึงส่งเจ้ามา?” เยี่ยนอิงได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบว่า “เมืองหลวงของรัฐฉี เมืองหลินจือคลาคล่ำไปด้วยผู้คนราวกับเม็ดฝนที่กำลังตก เหตุใดท่านอ๋องจึงกล่าวว่ารัฐฉีไม่มีคน?”

จากนั้นอ๋องรัฐฉู่จึงถามต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงส่งคนอย่างเจ้ามาที่รัฐฉู่?” เยี่ยนอิงก็ตอบว่า “รัฐฉีมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวอยู่ว่า การส่งทูตออกไปยังต่างรัฐจะพิจารณาจากความสามารถของทูต ทูตที่มีความสามารถมากก็จะถูกส่งไปยังรัฐที่เจ้าผู้ครองรัฐมีความสามารถมาก ทูตที่ไร้ความสามารถก็จะถูกส่งไปพบกับเจ้าผู้ครองรัฐผู้ไร้ความสามารถ โดยสำหรับตัวข้าน้อยนั้นในบรรดาขุนนางรัฐฉีถือว่าไร้ความสามารถที่สุดแล้วล่ะจึงถูกมอบหมายให้มาติดต่อกับท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ส่งขุนนาง

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ส่งขุนนาง



นานมาแล้ว มีขุนนางกังฉินแซ่หม่าผู้หนึ่งมีพฤติกรรมชอบรีดนาทาเร้นชาวบ้านร้านช่องอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะไปรับตำแหน่ง ณ ท้องที่ใด ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่ง

ครั้งหนึ่ง ณ เมืองอันห่างไกล ขุนนางแซ่หม่ากำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งลง ด้วยความที่เป็นกังวลว่าจะหอบเอาของที่รีดไถมากลับไปได้ไม่ครบจึงสั่งให้คนรับใช้นำของทั้งหมดมาได้วางเรียงเพื่อเก็บใส่ถุง ใส่กล่อง ใส่หีบ เตรียมออกเดินทางตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นว่าสัมภาระที่ตนกอบโกยมาได้ยังไม่เพียงพอ จึงสั่งให้คนงานขุดดินในบริเวณจวนที่พัก และพื้นที่โดยรอบไปขายเอาเงินมาเข้ากระเป๋าตนเองเพิ่มเติมอีก

เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง ขุนนางแซ่หม่าก็ตั้งขบวนออกจากประตูเมือง พอขี่ม้าพ้นประตูเมืองออกไปกลับพบว่าสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีชาวบ้านคนใดออกมาตั้งแถวส่งตนตามธรรมเนียมเลยสักคน ขณะที่ขุนนางแซ่หม่ากำลังรู้สึกขุ่นข้องหมองใจเตรียมระเบิดอารมณ์อยู่นั้นเอง กลับมีลมพัดมาวูบใหญ่ ทันใดนั้นก็ปรากฎผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมายังขบวน สังเกตว่าในมือของทุกคนต่างถือผลหมากรากไม้ และขนมนมเนยมาเต็มมือ

ขุนนางแซ่หม่าเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ พลางเอ่ยถามคนกลุ่มดังกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใครน่ะ เหตุใดจึงออกมาตั้งขบวนส่งข้า?”

หัวขบวนของคนกลุ่มนั้นจึงรีบตอบกลับมาว่า “พวกข้าเป็นผีร้ายประจำท้องถิ่น ต่างติดหนี้บุญคุณของใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่จนมิอาจทดแทนได้หมด พวกเราต้องขอบคุณใต้เท้าที่สั่งให้คนขุดดินในเมืองไปขายเสียจนเกลี้ยง ขุดจนถึงขุมนรกชั้น 18 ที่พวกข้าน้อยอาศัยอยู่ ทำให้พวกข้าได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวัน ด้วยความซาบซึ้ง วันนี้ข้าน้อยจึงตั้งขบวนมาส่งใต้เท้าโดยพร้อมเพรียง”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ข้อความบนโลงศพ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ข้อความบนโลงศพ



ในอดีตมีป้าแก่แซ่หวัง ชอบอวดเบ่งยกตนข่มท่านไปทั่ว ตลอดชีวิตมักจะกล่าวอ้างว่าตนเองรู้จักขุนนางคนโน้น นายพลคนนี้ เศรษฐีคนนั้น เพื่ออาศัยบารมีของคนเหล่านั้นในการประกอบกิจการต่างๆ

กระทั่งป้าแซ่หวังอายุใกล้ 70 ปี ซึ่งโดยธรรมเนียมจีนโบราณลูกหลานต้องเตรียมจัดทำโลงศพ* ไว้ให้คุณป้าล่วงหน้า ตามประเพณี บนโลงศพนอกจากจะต้องสลักชื่อเจ้าของโลงเอาไว้แล้ว ยังต้องสลักยศถาบรรดาศักดิ์ หรือ ฉายาที่ผู้อื่นกล่าวยกย่องบุคคลผู้นั้นเอาไว้ด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าระหว่างที่มีชีวิตอยู่บุคคลผู้นั้นประกอบคุณงามความดีอะไรทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้ยกย่องชื่นชมบ้าง

อย่างไรก็ตาม ป้าหวังก็เป็นแค่ป้าหวัง นอกจากจะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งใหญ่โตอะไรแล้ว คุณงามความดีอะไรป้าหวังก็ไม่เคยทำ ด้านลูกหลานด้วยความที่เห็นแก่หน้าป้าหวัง เกรงว่าหากไม่สลักอะไรไว้บนโลงศพสักหน่อยจะทำให้ป้าหวังเสียหน้า จึงยัดเงินนักพรตเต๋าคนสลักอักษรบนโลงให้ช่วยคิดหาคำพูดยกยอป้าหวังที่เหมาะที่ควร

ฝ่ายนักพรตแม้จะนั่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็คิดไม่ออกว่าควรจะสลักอะไรคำอะไรไว้บนโลงศพของป้าหวังดี สุดท้ายจึงตัดสินใจสลักข้อความตามหลังชื่อของป้าหวังไว้ดังนี้ “โลงศพของป้าหวัง คนข้างบ้านของเพื่อนดื่มสุราของลูกบัณฑิตฮั่นหลิน!"

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผีร้ายกลัวคนชั่ว

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผีร้ายกลัวคนชั่ว



กลางฤดูฝนของวันหนึ่ง อ้ายจื่อออกไปทำธุระนอกบ้าน ระหว่างทางนั่งพักเหนื่อยอยู่ใกล้วัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้านหน้าประตูทางเข้าวัด สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่า บนถนนหน้าวัดกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่หลากมาจากบนภูเขา จนกลายเป็นธารย่อมๆ สายหนึ่ง

สักพักมีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาจะข้ามลำธารดังกล่าว เมื่อเห็นว่าข้ามยังไงก็ข้ามไม่พ้น จึงเหลียวมองไปรอบกายเมื่อไม่พบเห็นใครจึงแวะเข้าไปภายในวัดอุ้มรูปปั้นเทพเจ้ามาวางไว้ตรงกลางลำธาร ก่อนที่จะใช้รูปปั้นเทพเจ้าแทนหินรองเท้าเหยียบข้ามไป

หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายอีกคนเดินผ่านมา เมื่อพบเห็นรูปปั้นเทพเจ้าถูกวางอยู่กลางน้ำต่างที่รองเท้า จึงถอนหายใจพลางกล่าวขึ้นลอยๆ ว่า “ในโลกนี้ยังมีคนชั่วที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เอารูปปั้นศักดิ์สิทธิ์มาวางต่างหินรองเท้าด้วยหรือนี่” กล่าวเสร็จก็แบกรูปปั้นกลับเข้าไปภายในวัด ก่อนที่จะใช้เสื้อของตนเองค่อยๆ บรรจงเช็ดถูดินโคลนบนองค์เทพเจ้าจนสะอาดเอี่ยม ก่อนที่จะบรรจงกราบงามๆ สามครั้ง ก่อนเดินจากไป

ผ่านไปอีกไม่นาน อ้ายจื่อก็ได้ยินเสียงพูดคุยของปีศาจน้อยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงดังขึ้นว่า “ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ท่านได้รับการเคารพจากคนทั่วไปว่าเป็นเทพ ชาวบ้านต่างแวะเวียนมากราบไหว้ไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้กลับถูกไอ้คนชั่วลบหลู่ดูหมิ่น สงสัยข้าน้อยคงต้องจัดการสั่งสอนให้ไอ้คนชั่วผู้นี้ได้พบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเสียกระมัง” เทพผู้ยิ่งใหญ่จึงตอบว่า “ถ้าเจ้าจะจัดการก็ไปจัดการไอ้คนหลังซะ”

ฝั่งปีศาจน้อยเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่เข้าใจจึงไถ่ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ไอ้คนแรกต่างหากล่ะท่านที่บังอาจเหยียบย่ำท่านไว้ใต้ฝ่าเท้า การกระทำเช่นนี้เป็นการลบหลู่ท่านอย่างหาที่สุดไม่ได้! ส่วนไอ้คนหลังมันทั้งพินอบพิเทา ทั้งเช็ดถูรูปเคารพของท่านจนสะอาดเอี่ยม เหตุใดท่านจึงให้ข้าไปจัดการไอ้คนหลังเสียล่ะ?”

พอสมุนกล่าวจบ เทพผู้ยิ่งใหญ่จึงตอบว่า “ไอ้คนแรกน่ะ ในเมื่อแม้แต่เทพยดา ภูติ ผี วิญญาณมันก็ไม่เชื่อแต่แรกอยู่แล้ว แล้วข้าจะส่งเจ้าไปจัดการมันจะมีประโยชน์อะไรเล่า!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ยกตำแหน่งให้ท่านก็แล้วกัน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ยกตำแหน่งให้ท่านก็แล้วกัน



นานมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งเมื่อมีชีวิตอยู่ประกอบคุณงามความดีไว้มากมาย พอเสียชีวิตลงต้องไปเข้าเฝ้าท้าวยมราช เพื่อกำหนดว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นอะไร โดยเมื่อพิจารณาจากบุญกรรมและการประกอบคุณงามความดีแล้ว ในโลกหน้าชายผู้นี้จะต้องได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ท้าวยมราชจึงไต่ถามขึ้นว่า “ชาติที่แล้วเจ้าทำความดีช่วยเหลือผู้คนมากมาย ประกอบกรรมดีไว้ไม่น้อย ชาติหน้าเมื่อเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ มีความปรารถนาอะไรพิเศษหรือไม่?”

ชายผู้นั้นจึงนั่งคุกเข่าลง และทูลต่อท้าวยมราชไปว่า “กล่าวโดยไม่ปิดบังท่านผู้เป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย ครั้งยังมีลมหายใจอยู่ข้าเคยเขียนบทกลอนระบุถึงความปรารถนาในชาติหน้าของตนเองไว้หนึ่งบท หวังท่านผู้ยิ่งใหญ่เมตตาทำให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริงด้วยเถิด”

พอได้ยินดังนั้นท้าวยมราชจึงกล่าวขึ้นว่า “เรื่องขี้ผง! เจ้าลองท่องให้ข้าฟังซิว่า กลอนที่เจ้าเขียนว่าอย่างไรบ้าง!”

ชายผู้นั้นจึงคุกเข่าท่องบทกลอนที่ตนเองแต่งไว้ด้วยเสียงอันดัง : “บิดาข้าขึ้นชั้นจัดจอหงวน อีกบ้านสวนนับพันไร่ไม่ขาดเหลือ ถึงบ่อปลาและดอกไม้ล้วนเหลือเฟือ เมื่อมีซึ่งภรรยาหรือสนมก็กลมเกลียว เรือนพักประดับรับด้วยเงินทอง อีกทั้งห้องเต็มเสบียงเรียงข้าวสาร กองพูนหีบสมบัติรวมทรัพย์ศฤงคาร ด้านฐานะเปรียบได้กับนายคน ส่วนปราณตนขออย่างน้อยสักร้อยปี ...”

พอฟังบทกลอนดังกล่าวไม่ทันจบ ท้าวยมราชก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วกล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “หากปรากฎเรื่องเช่นนี้จริงก็คงประเสริฐ ตัวข้าจะได้ยกตำแหน่งท้าวยมราชให้กับเจ้าเลย ส่วนข้าจะขอไปผุดไปเเกิดแทนก็แล้วกัน!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คุยกันได้

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คุยกันได้



นานมาแล้ว มีชายจอมตระหนี่ถี่เหนียวผู้หนึ่งต้องการจะเชิญซือฟู่ (อาจารย์) มาสอนหนังสือลูกชายที่บ้าน หลังจากเชิญมาที่บ้านสำเร็จจึงกล่าวกับซือฟู่ที่เชิญมาว่า “บ้านของข้ายากจนยิ่ง เกรงว่าเมื่อเชิญท่านมาสอนแล้วอาจมีบางเรื่องขัดหูขัดตาไปบ้าง รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง” ด้านซือฟู่ที่ได้รับเชิญมาจึงกล่าวตอบว่า “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอกท่าน! ข้าเป็นคนอย่างนี้แหละ มีข้อเสียอย่างนึงคือหากมีปัญหาอะไรก็พูดคุยเจรจากันได้”

ชายเจ้าบ้านเมื่อได้ยินดังนั้นก็แสดงความยินดีปรีดา กล่าวถามว่า “เวลาซือฟู่มาสอน อาหารที่จะจัดใส่สำรับให้กับท่านมีแต่อาหารจำพวกพืชผัก ไม่มีเนื้อสัตว์อย่างนี้ท่านไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?” ด้านซือฟู่ก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร”

ชายคนดังกล่าวจึงถามต่อว่า “บ้านของข้าไม่มีคนรับใช้ หากถึงเวลาต้องปัดกวาดเรือน หรือต้องเปิดปิดประตูในตอนเช้าและตอนค่ำคงต้องรบกวนซือฟู่แล้ว อย่างนี้ก็ไม่เป็นไรใช่ไหมท่าน?” ด้านซือฟู่ก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร”

เจ้าบ้านยังถามต่อไปอีกว่า “หากคนในบ้านหรือลูกของข้าต้องการซื้อเครื่องใช้ไม้สอยเล็กๆ น้อยๆ อะไร สามารถรบกวนซือฟู่ให้วิ่งหาซื้อสักหน่อยได้หรือไม่?” ซือฟู่เมื่อได้ฟังก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร” เมื่อถามจบสามคำถาม เจ้าบ้านจอมขี้เหนียวพอได้ยินคำตอบดังนี้ก็ยิ้มกว้างพร้อมกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตกลงกันตามนี้แล้วกันนะท่าน!”

ก่อนจะจบการสนทนา ซือฟู่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ จากนั้นกระอึกกระอักกล่าวขึ้นว่า “จริงๆ แล้ว ตัวข้าเองก็มีเรื่องอะไรต้องบอกกล่าวให้ชัดเจนเสียก่อน หวังว่าท่านฟังแล้วจะไม่ตื่นตระหนกตกใจ” เจ้าบ้านจึงตอบไปว่า “ซือฟู่มีอะไรหนักอกก็บอกกล่าวกับข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ คุยกันได้อยู่แล้ว”

ซือฟู่จึงตอบไปว่า “จริงๆ ข้าอยากจะสารภาพกับท่านว่า ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย ตัวหนังสือสักตัวก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่เป็นไรใช่ไหมท่าน?”

yengo หรือ buzzcity

รื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คู่หูทำธุรกิจ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน คู่หูทำธุรกิจ



นาย ก. กับ นาย ข. เป็นสหายสนิทกัน ทั้งสองคนมีความคิดว่าจะร่วมทุนทำธุรกิจหมักสุราขาย พอนั่งลงเจรจารายละเอียด นาย ข.ก็ถามขึ้นว่า “สหายเอ๋ย... เราจะร่วมทุนกันอย่างไรดี?” นาย ก. ตอบว่า “ไม่เห็นจะยาก ในเมื่อทางบ้านเจ้าปลูกข้าวพันธุ์ดี เจ้าก็เอาข้าวทางบ้านเจ้ามา ส่วนทางบ้านข้าเป็นแหล่งบ่อน้ำแร่ชั้นเยี่ยม ข้าก็จะเป็นคนเอาน้ำแร่มา”

นาย ข. ก็ถามต่อว่า “อย่างนั้นเมื่อหมักสุราเสร็จ แล้วเราจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร?” ด้าน นาย ก.ก็ตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมา เวลาข้าจะทำอะไรไม่เคยทำให้สหายต้องขาดทุนอยู่แล้ว พอหมักสุราได้ที่ ข้าก็จะเอาแค่น้ำในส่วนของข้าไป ส่วนที่เหลือก็ยกให้เจ้าหมด อย่างนี้ยุติธรรมไหมล่ะ!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน แม้แต่ฮ่องเต้ยังกลัว

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน แม้แต่ฮ่องเต้ยังกลัว



ในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 907) เป็นที่ร่ำลือกันว่าฮูหยินของเสนาบดีใหญ่ ฝาง เสวียนหลิง (房玄龄) เป็นสตรีที่ขี้หึงอย่างร้ายกาจ ด้านฝาง เสวียนหลิงก็ทั้งเกรงทั้งกลัวฮูหยินของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เสนาบดีใหญ่ไม่กล้าที่จะรับสตรีใดๆ มาเป็นภรรยาน้อย

กิตติศัพท์และเสียร่ำลือเรื่องภรรยาดุดังกล่าว แม้แต่ “ฮ่องเต้ถังไท่จง” ก็ยังทรงทราบ จึงตั้งพระทัยว่าจะต้องช่วยฝาง เสวียนหลิง หาภรรยาน้อยเพื่อแบ่งเบาภาระในบ้านให้จงได้ จึงสั่งให้ฮองเฮา (พระอัครมเหสี) เรียกฝางฮูหยินเข้าเฝ้าในวันหนึ่ง พร้อมแกล้งออกคำสั่งว่าในวันดังกล่าวฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการยกหญิงงามให้เป็นภรรยาน้อยของ ฝาง เสวียนหลิง เพื่อดูปฏิกิริยาของฝางฮูหยินว่าเป็นอย่างไร ด้านฝางฮูหยินเมื่อได้ยินเรื่องจากปากพระอัครมเหสีก็ยืนกรานปฏิเสธที่จะให้สามีตัวเองรับภรรยาน้อยเข้าบ้าน

เมื่อเห็นดังนั้นฮ่องเต้จึงสั่งให้ขันทียกสุรามาหนึ่งจอก โดยให้ฮองเฮาแกล้งบอกกับฝางฮูหยินว่า สุราจอกดังกล่าวเป็น “สุราพิษ” หากฝางฮูหยินยังยืนกรานที่จะขัดพระบรมราชโองการก็จะต้องถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการดื่มสุราจอกดังกล่าว กระนั้นพอได้ยินเรื่องราวและเงื่อนไขจากปากฮองเฮา ฝางฮูหยินแทนที่จะลังเลใจ กลับหยิบจอกสุราพิษขึ้นยกดื่มอย่างเด็ดเดี่ยว

ถังไท่จงฮ่องเต้เมื่อทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบจึงทรงถอนหายใจพร้อมตรัสว่า “อย่าว่าแต่ฝาง เสวียนหลิงเลย ฝางฮูหยินผู้นี้ แม้แต่ตัวข้าซึ่งเป็นฮ่องเต้เอง เมื่อได้พบเจอก็ยังเกรงกลัว”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สมบัติพัสถาน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สมบัติพัสถาน



มียาจกผู้หนึ่ง ฐานะยากจนยิ่ง ยากจนเสียกระทั่งเตาที่บ้านแทบไม่เคยก่อไฟหุงหาอาหาร ...

มีวันหนึ่งเขาบังเอิญเก็บไข่ไก่ได้หนึ่งฟอง พอหยิบไข่ไก่ขึ้นมาก็รีบวิ่งไปหาภรรยา พร้อมกับกล่าวว่า “ดูสิๆ เรามีสมบัติพัสถานกับเขามั่งแล้วล่ะทีนี้!” เมื่อภรรยาได้ยินก็ถามกลับว่า “ไหนล่ะ ไอ้สมบัติพัสถานที่เจ้าว่าอยู่ที่ไหน?” ยาจกผู้นั้นจึงยกไข่ไก่ชูขึ้นต่อหน้าภรรยาและว่า “เจ้าดูสิ นี่ไม่ใช่สมบัติหรอกหรือ? แต่ด้วยสมบัติชิ้นนี้ต้องใช้เวลาสิบปีครอบครัวเราถึงจะร่ำรวยขึ้นมาได้”

หลังจากนั้น ยาจกจึงอธิบายถึงแผนการให้กับภรรยาฟังว่า “เดี๋ยวข้าจะเอาไข่ไก่ใบนี้ไปให้แม่ไก่ของบ้านข้างๆ ช่วยฟักให้ออกมาเป็นลูกเจี๊ยบ จากนั้นจึงเลี้ยงเจ้าลูกเจี๊ยบนี้ให้เป็นแม่ไก่ พอมันโตเป็นแม่ไก่แล้วก็จะให้มันออกไข่มาเยอะๆ ซึ่งก็น่าจะได้อย่างน้อยสักเดือนละ 15 ฟอง ซึ่งก็หมายถึงไก่ 15 ตัว ภายในสองปีถ้าไก่ออกไข่ ไข่กลายเป็นไก่ เราก็จะมีไก่ประมาณ 300 ตัว ไอ้ไก่ 300 ตัวนี่ถ้าคิดเป็นเงินก็น่าจะได้สัก 10 ตำลึง พอได้เงิน 10 ตำลึง ข้าก็จะเอาเงิน 10 ตำลึงนั้นไปซื้อแม่วัวมาสัก 5 ตัว จากนั้นแม่วัวก็จะคลอดออกมาเป็นลูกวัว สามปีให้หลังพวกเราก็จะมีวัว 25 ตัว สามปีต่อจากนั้น ไอ้วัว 25 ตัวฝูงนี้ก็จะคลอดลูกออกมากลายเป็นวัว 150 ตัว ซึ่งก็น่าจะตีเป็นเงินได้สัก 300 ตำลึง

“พอเรามีเงิน 300 ตำลึงนี้ ข้าก็จะเอาไปปล่อยกู้ ภายในสามปี 300 ตำลึง ก็จะงอกเงยเป็น 5 พันตำลึงแบบสบายๆ จากนั้นข้าก็จะเอาเงินสองในสามของ 5 พันตำลึงนี้มาซื้อบ้านใหม่ จากนั้นจะเอาเงินที่เหลืออีกหนึ่งในสามมาจับจ่ายจ้างคนรับใช้ หาเมียน้อย เพียงเท่านี้ข้ากับเจ้าก็จะสามารถใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายได้อย่างสุขสงบ ลองคิดดูสิว่านี่จะไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจได้อย่างไร?”

พอภรรยาได้ยินคำว่า “หาเมียน้อย” จากปากสามีก็หูผึ่งขึ้นมาทันที พร้อมกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แย่งไข่ไก่จากมือสามีมาเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจาย พลางกล่าวโวยวายว่า “ไอ้ของอุบาทว์พันธุ์นี้เอาไว้ไม่ได้!”

ฝ่ายยาจกเมื่อเห็นภรรยากระทำวู่วามเช่นนั้นก็โมโหโกรธาอย่างยิ่ง ลงไม้ลงมือทุบตีกันอยู่เที่ยวหนึ่ง จากนั้นสามีก็นำเรื่องฟ้องต่อนายอำเภอ เมื่อนายอำเภอลงมาไกล่เกลี่ยก็เอ่ยปากถามภรรยาว่า “เรื่องที่สามีเจ้าจะหาภรรยาน้อย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งสิ้น เหตุใดเจ้าจึงต้องโมโหโกรธาทำร้ายทำลายข้าวของด้วย”

ฝ่ายภรรยาเมื่อได้ยินก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านนายอำเภอ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสมมติของสามีข้าน้อย แต่ข้าน้อยก็ต้องสกัดกั้นไว้เสียก่อนมิให้มันเพ้อฝันเสียจนเกินเลยไปกว่านี้ เหมือนตัดต้นไม้ต้องถอนรากถอนโค่นนั่นแล”

ได้ฟังดังนั้นนายอำเภอจึงได้แต่ยิ้ม และปล่อยตัวภรรยากลับไป

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผู้รู้ใจ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ผู้รู้ใจ



มีอาจารย์พิณ (ฉิน; 琴) ผู้หนึ่ง เนื่องจากไม่มีอันจะกิน เลยแบกพิณมานั่งเล่นอยู่ริมถนนเพื่อขอทาน ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเมื่อเห็นเครื่องดนตรีสวยงาม บ้างก็นึกว่าอาจารย์พิณกำลังเล่นเครื่องสายจำพวกผีผา (เครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง) ซึ่งเน้นความคึกคักสนุกสนาน จึงล้อมวงกันเข้ามารับฟัง

สักพักหนึ่งเมื่ออาจารย์พิณบรรเลงแต่เพลงชั้นสูง ที่มีท่วงทำนองเนิบช้าน่าเบื่อหน่าย ชาวบ้านจึงค่อยๆ ทยอยกันแยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง อีกทั้งไม่มีใครทิ้งสตางค์ลงชามเลยแม้แต่อีแปะเดียว

ขณะที่อาจารย์พิณทอดถอนหายใจ ใช้สายตาส่งผู้ฟังเดินจากไปทีละคน ทีละคนอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นผู้คนหนึ่งที่ยืนกอดอกสงบนิ่งอยู่ด้านข้าง อาจารย์พิณจึงเอ่ยปากขึ้นด้วยภาคภูมิใจว่า “ถือเป็นเรื่องยากยิ่งนักในการหา ‘ผู้รู้ใจ’ เช่นท่าน ที่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามถ่ายทอดผ่านเสียงพิณ ไม่เสียทีที่ข้าอุตสาหะมานั่งดีดพิณอยู่ริมถนน”

ชายคนดังกล่าวเมื่อได้ยินก็ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเดินยิ้มเข้าไปกล่าวกับอาจารย์พิณว่า “นายท่านอย่าตีความหรือเข้าใจอะไรไปเองเลย หากพิณของท่านไม่ได้วางบนตั่งที่ข้าลืมทิ้งเอาไว้เมื่อเช้า ข้าอาจจะเดินหนีไปตั้งนานแล้วก็ได้”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นั่งสมาธิ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน นั่งสมาธิ



มีชายผู้หนึ่งคารวะอาจารย์เซนเพื่อขอฝึกนั่งสมาธิด้วย ...

บทแรกอาจารย์เซนสอนว่า เบื้องต้นของการนั่งสมาธิคือ จงนั่งนิ่งๆ หลับตาลงและขจัดเรื่องฟุ้งซ่านออกจากความคิด ชายคนดังกล่าวเมื่อได้เรียนบทแรกก็กลับไปบ้านและเริ่มฝึกนั่งสมาธิตามที่อาจารย์เซนสอน

คืนหนึ่ง ชายผู้นี้ลุกขึ้นตั้งแต่กลางดึก ขณะที่ฝึกนั่งฝึกสมาธิจนเกือบรุ่งสางก็นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนบ้านยืมข้าวไปหนึ่งโต่ว (ประมาณ 10 ลิตร) ยังไม่คืน ดังนั้นจึงรีบปลุกภรรยาที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ พร้อมกับกล่าวว่า

“ที่รักๆ ... ที่อาจารย์เซนสอนว่านั่งสมาธิน่ะมีประโยชน์ ไม่ผิดคำอาจารย์จริงๆ เลย ถ้าไม่ฝึกนั่งสมาธิข้าคงถูกโกงข้าวสารไปหนึ่งโต่วแล้ว” ชายคนดังกล่าวพูดพลางตบเข่าดังฉาดใหญ่

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ยืมโลงศพ

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ยืมโลงศพ


นานมาแล้วมีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้นในอำเภอแห่งหนึ่ง โรคระบาดดังกล่าวร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าบ่อยครั้งเมื่อมีคนเป็นไข้ในตอนเช้า พอตกค่ำก็เสียชีวิตเสียแล้ว ทำให้หลายต่อหลายคน รวมถึงญาติสนิทมิตรสหายไม่มีโอกาสที่จะเตรียมตัวเตรียมใจแต่อย่างใด โดยชาวบ้านเรียกขานโรคระบาดชนิดนี้ว่า “ไข้เสือ” ด้วยความต้องการเปรียบเทียบว่าโรคระบาดชนิดนี้นั้นดุร้ายรุนแรงราวกับเสือร้าย

มีชายผู้หนึ่งติด “ไข้เสือ” จนเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน ญาติของเขาจึงเข้าไปหาซื้อโลงศพในตลาด ทว่าหาโลงศพชั้นดีไม่ได้ เมื่อหาของที่ต้องการไม่พบจึงไต่ถามเจ้าของร้านโลงศพได้ความว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งในอำเภอสั่งทำโลงศพอย่างดีเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าตอนตัวเองลาโลกไปแล้ว บรรดาญาติๆ ของชายที่เสียชีวิตจึงบากหน้าไปหาเศรษฐีเพื่อขอยืมโลงศพโดยให้คำมั่นสัญญาว่าหลังเสร็จงานศพจะสั่งทำโลงศพแบบเดียวกันคืนให้ ทว่า เมื่อได้ยินข้อเสนอเศรษฐีกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

บรรดาญาติของผู้ตายพอได้ยินคำปฏิเสธจึงกลับมาปรึกษาหารือกันว่า จะทำอย่างไรให้เศรษฐีให้ยืมโลงศพ ชายหนุ่มผู้เป็นญาติรายหนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “คนรวยมักจะมองเรื่องเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์เป็นสำคัญ ทำไมเราไม่ขอยืมโลงศพเขาโดยสัญญาว่านอกจากจะคืนโลงศพแบบเดียวกันให้แล้ว ยังจะจ่ายดอกเบี้ยให้ด้วยล่ะ?” เมื่อตกลงกันได้แล้วบรรดาญาติๆ จึงมอบหมายให้ญาติรายนั้นเดินทางไปขอร้องเศรษฐีอีกครั้ง

เมื่อพบกับเศรษฐีชายหนุ่มจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า “หากท่านเศรษฐียินยอมให้พวกเรายืมโลงศพที่ท่านเตรียมเอาไว้ หลังจากเสร็จงานแล้วนอกจากที่พวกเราจะคืนโลงศพแบบเดียวกับที่ท่านให้ยืมเป๊ะๆ แล้ว เราจะเพิ่มโลงศพให้อีก 2-3 ใบถือเป็นดอกเบี้ย อย่างนี้ท่านเศรษฐีเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เจ้าที่

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เจ้าที่



“หวังจือซวิ่น” ถูกแต่งตั้งให้ไปเป็นผู้ว่าเซวียนโจว (เมืองในมณฑลอานฮุย) ครั้งหนึ่งฮ่องเต้มีบัญชาเรียกหวังจือซวิ่นให้กลับมายังนครหลวง โดยประสงค์ให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับในพระราชวังด้วย

เมื่อถึงวันเลี้ยงต้อนรับ ระหว่างที่งานรื่นเริงกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ก็มีนักแสดงแต่งกายเป็น “ภูติตัวน้อย” ออกมาเต้นระบำอย่างออกสีออกสัน

เมื่อเห็นภูติตัวน้อยเต้นรำเริงร่าอยู่บนเวที เหล่าขุนนาง ซึ่งนั่งเป็นผู้ชมอยู่เต็มพื้นที่จึงหันไปกระซิบกระซาบกันว่า “ไอ้ที่อยู่บนเวทีนี่ ตัวเทพหรือตัวภูติจากท้องที่หรือท้องถิ่นไหนกัน?”

ภูติตัวน้อยบนเวทีเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากหมู่ผู้ชมเริ่มดังขึ้นจึงหยุดเต้นระบำ และกล่าวตอบไปว่า “ข้าน้อยเป็นเจ้าที่ของเซวียนโจวน่ะนายท่าน”

พอได้ยินคำตอบดังนั้น ขุนนางคนหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าที่จากเซวียนโจวมาทำอะไรที่นครหลวงหรือ?”

ภูติตัวเดิมจึงกล่าวตอบว่า “ตอนที่ท่านหวังจือซวิ่นถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ท่านกวาดทรัพย์สินของเซวียนโจวมาเรียบวุธ แม้แต่หน้าดินของเซวียนโจวก็ถูกยักยอกกลับมาด้วย ข้าน้อยในฐานะเจ้าที่ตัวน้อยๆ ไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ติดตามท่านกลับมายังนครหลวงด้วยน่ะนายท่าน”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ลงขันเจาะเพดาน

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน ลงขันเจาะเพดาน



มีชายผู้หนึ่งชื่นชอบการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเป็นที่สุด ไม่ว่าญาติสนิทมิตรสหายจะมีเรื่องราวใด เขามักจะหาช่องทางในการเอารัดเอาเปรียบได้ทุกครั้งไป โดยเงินทองที่เขาเอารัดเอาเปรียบได้มาก็มักจะใช้ไปในเรื่องสำมะเลเทเมา ทุกครั้งที่เพื่อนๆ นัดสังสรรค์กัน เมื่อถึงเวลาออกเงิน เขามักจะเป็นคนรวบรวมเงิน โดยที่ตัวเองก็จะเก็บเงียบไม่ยอมควักกระเป๋าตัวเองแม้แต่บาทเดียว แถมเงินทอนส่วนที่เหลือก็มักจะยักยอกเข้ากระเป๋าตัวเองเสียอีก

ยมบาลรังเกียจชายจอมเอารัดเอาเปรียบผู้นี้เป็นที่สุด โดยเมื่อชายผู้นี้เสียชีวิตและต้องตกลงไปสู่ขุมนรก ยมบาลจึงส่งเขาไปอยู่ในขุมนรกอันมืดมิด

ชายคนดังกล่าวเมื่อถึงเวลาเดินเข้าไปใน “ขุมนรกมืด” ซึ่งไม่มีแม้แสงสว่างใดๆ จึงพยายามร้องตะโกนขึ้นว่า “ห้องนี้มืดไปไหม … ที่นี่มีคนอยู่ทั้งหมดกี่คน? เอาอย่างนี้ดีไหมพวกเราลงขันกันเจาะเพดานรับแสง ห้องนี้จะได้สว่างขึ้นหน่อย!”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน อาศัยหลานช่วยแก้แค้น

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน อาศัยหลานช่วยแก้แค้น



มีชายผู้หนึ่งเป็นบุตรชายที่อาจเรียกได้ว่าอกตัญญู เพราะ เมื่อบิดาเริ่มแก่เฒ่าทำอะไรเชื่องช้าลง ก็มักจะด่าทอ หรือบางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกับพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง ด้านผู้เฒ่าแม้จะถูกลูกชายตบตี หรือ กดขี่ข่มเหงอย่างไร แต่กลับรักหลานชายของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าพบอะไรดี อะไรเหมาะก็มักจะนึกถึงหลานชายเป็นอันดับแรก เรียกว่าทั้งรัก ทั้งเอ็นดู และตามใจหลานชายเป็นที่สุด

ด้านเพื่อนบ้านเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก อยู่มาวันหนึ่งจึงเอ่ยปากถามท่านผู้เฒ่าขึ้นว่า “ลูกชายของลุงอกตัญญูอย่างนี้ ทั้งด่าทอทั้งตบตีลุงไม่เว้นแต่ละวัน ทำไมลุงถึงยังรักและทะนุถนอมลูกของลูกชายถึงขนาดนี้ล่ะ?”

ผู้เฒ่าเมื่อได้ยินดังนั้น จึงกล่าวตอบไปว่า “ข้าเองเลี้ยงหลานคนนี้น่ะก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนักหรอก เพียงแค่หวังว่าเมื่อมันเติบใหญ่ขึ้น พอมันโตก็คิดว่ามันจะช่วยล้างแค้นให้ปู่มันบ้างแค่นั้นแหละ”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เทพอัสนีบกพร่องต่อหน้าที่

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เทพอัสนีบกพร่องต่อหน้าที่



มีชายผู้หนึ่งขึ้นชื่อได้ว่าเป็นลูกอกตัญญูอย่างร้ายกาจ เทพอัสนีเห็นดังนั้นจึงมีบัญชาให้ใช้สายฟ้าฟาดลงโทษเจ้าลูกจอมอกตัญญูให้ตกตายเสีย

เมื่อใกล้ถึงเวลาลงทัณฑ์ เรื่องกลับรู้ไปถึงหูเจ้าลูกจอมอกตัญญู เจ้าตัวจึงวิ่งโร่ไปขอความเมตตาจากเทพอัสนี โดยคุกเข่าพลางกล่าวว่า “ช้าก่อนท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่! ก่อนจะลงโทษข้าน้อย ข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องการจะถามท่านเรื่องหนึ่ง ท่านเป็นเทพอัสนีองค์ใหม่ หรือเป็นเทพอัสนีองค์เดิมที่ปฏิบัติหน้าที่มานานแล้ว”

เทพอัสนีพอได้ยินก็หน้านิ่วคิ้วขมวดพลางกล่าวสวนไปว่า “เจ้าอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม?”

เจ้าลูกจอมอกตัญญูจึงตอบว่า “หากท่านเป็นเทพอัสนีองค์ใหม่ ดังนั้นข้าน้อยก็สมควรโดนฟ้าผ่าตายแล้ว แต่หากท่านเป็นเทพอัสนีองค์เดิมที่ปฏิบัติหน้าที่มานานแล้ว ข้าก็แค่อยากจะถามท่านว่า ก่อนหน้านี้นั้นตอนที่พ่อของข้าทำกับปู่อย่างที่ข้าทำวันนี้ ท่านไปทำอะไรอยู่ไหน?”

yengo หรือ buzzcity

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สวรรค์อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่

เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน สวรรค์อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่


นานมาแล้วมีชายกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย คุยไปๆ จนคุยไปถึงเรื่องว่าสวรรค์อยู่ห่างจากผืนดินเท่าใดกันแน่ โดยต่างคนก็ต่างออกความเห็นกันไปคนละทิศละทาง ยืนกรานว่าทัศนะของตัวเองถูกต้องที่สุด

สักพักก็มีชาวนาผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเรื่องราวที่ทั้งหมดคุยกัน จึงพูดสอดแทรกขึ้นว่า “พวกลื้อจะเถียงกันไปทำไม สวรรค์อยู่ห่างจากดินก็แค่สามสี่ร้อยลี้ หากเดินจากตรงนี้ขึ้นไปสวรรค์ ถ้าเดินช้าหน่อยก็สัก 4 วันถึง ถ้าเดินเร็วหน่อยก็ 3 วันถึง เดินไปเดินกลับ 6-7 วันก็น่าจะเหลือเฟือ พวกลื้อจะเสียเวลามาเถียงกันทำไม อั๊วไม่เข้าใจริงๆ?”

ชายกลุ่มดังกล่าวเมื่อได้ยินชาวนาอธิบายระยะห่างระหว่างพื้นดินกับสวรรค์อย่างมั่นอกมั่นใจต่างก็อ้าปากค้าง ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า สาเหตุที่ชาวนากล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนี้มีหลักฐานอะไรมายืนยันหรือไม่?

ชาวนาจึงกล่าวตอบไปว่า “พวกลื้อไม่เคยเห็นประเพณีส่งเทพเจ้าเตาไฟ (灶神) ขึ้นสวรรค์หรอกหรือ ทุกปีพอถึงวันที่ 23 ของเดือนสิบสอง เมื่อส่งเทพเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์ไปรายงานเง็กเซียนฮ่องเต้ (送灶) พอวันที่ 30 เดือนสิบสอง สิ้นปีก็เป็นพิธีรับเทพเจ้าเตาไฟกลับมาจากสวรรค์ (迎灶) จากวันที่ 23 ถึง 30 ก็แค่เจ็ดวันเท่านั้นเอง หากตีเป็นระยะทาง ครึ่งนึงของเจ็ดวันก็น่าจะประมาณสามสี่ร้อยลี้ คิดไปคิดมาสวรรค์ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ประมาณนี้นั่นแหละ!"


*หมายเหตุ : ประเพณีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเทศกาลตรุษจีน (春节) โดยการเซ่นไหว้จะเริ่มขึ้นในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า โดยประเพณีเป็นประเพณีที่แพร่หลายในหมู่ชาวจีนทั่วประเทศ เนื่องจากทุกบ้านต่างมีเตาไฟเพื่อใช้ประกอบการหุงหาอาหาร ทำให้ชาวจีนเชื่อว่าเตาไฟนั้นมีเทพเจ้าสถิตย์อยู่ โดยที่ชาวจีนเรียกว่า เทพเจ้าเตาไฟ หรือ เจ้าเสิน (灶神)

นอกจากนี้ชาวจีนยังเชื่อด้วยว่าเทพเจ้าเตาไฟสถิตอยู่ในบ้านมาตั้งแต่วันสิ้นปีของปีที่แล้ว เพื่อปกปักรักษาดูแลบ้านเรือน กระทั่งถึงวันที่ 23 ของเดือนสิบสองของทุกปี เทพเจ้าเตาไฟจึงจะขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อรายงานพฤติกรรมของคนในบ้านต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เองชาวจีนจึงมีประเพณีการส่งเทพเจ้าเตาไฟเรียกว่า “ซ่งเจ้า (送灶)” จากนั้น เง็กเซียนฮ่องเต้จึงอาศัยรายงานของเทพเจ้าเตาไฟ เพื่อบันดาลโชคลาภที่แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวพึงได้ให้ในช่วงตรุษจีน ด้วยเหตุนี้สำหรับครอบครัวๆ หนึ่งแล้ว การกลับขึ้นไปบนสวรรค์ของเทพเจ้าเตาไฟเพื่อรายงานเรื่องราวของบ้านต่อเง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีความสำคัญอย่างมาก

ทั้งนี้ พิธีการส่งเทพเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์จะทำกันเวลาเย็น โดยทุกคนในบ้านจะวางโต๊ะหน้าเตาไฟ บนผนังมีรูปเทพเจ้าปิดอยู่ และวางพวกขนมหวาน หรือขนมพวกแป้ง หรือแตงเชื่อม จากนั้นวางรูปม้าหรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งใช้ไม้ไผ่สานขึ้นมาเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟ โดยมีจุดประสงค์ให้เทพเจ้าเตาไฟปากหวาน หรือ บางท้องที่ก็มีการใช้น้ำตาลเหนียวๆ ป้ายบริเวณรอบ ๆ ปากของเทพเจ้าเตาไฟ พร้อมกับพูดว่า “คำพูดดีๆ พูดเยอะๆ คำพูดไม่ดีอย่าพูด”

จากนั้นเมื่อผ่านพ้นพิธีไปแล้ว หลังจากนั้นอีก 7 วัน เทพเจ้าเตาไฟก็จะนำโชคลาภหรือเภทภัยกลับมายังพื้นโลกพร้อมกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ โดยเทพเจ้าเตาไฟถูกมองว่าเป็นผู้นำทางบนสวรรค์ เทพเจ้าองค์อื่นหลังอยู่ฉลองตรุษจีนแล้วจะกลับขึ้นสวรรค์ไป มีเพียงเทพเจ้าเตาไฟเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องครัวของบ้านเรือนและครอบครัวต่างๆ อีกยาวนานทั้งปี พิธีรับเทพเจ้าเตาไฟเรียกว่า “หยิงเจ้า (迎灶)” โดยจะรับกันในวันสิ้นปี หรือวันที่ 30 เดือนสิบสอง โดยพิธีการก็ง่ายๆ คือเมื่อถึงเวลาจุดไฟเตาใหม่และจุดธูปไหว้ ก็ถือเป็นอันเสร็จพิธี

yengo หรือ buzzcity