นิทานสอนใจ : การตัดสินใจของ "เลวิน"

นิทานสอนใจ : การตัดสินใจของ "เลวิน"


เลวินเป็นนักกีฬาพายเรือแคนูมือหนึ่งของประเทศ เขาพายเรือแคนูชนะคู่ต่อสู้มาทั่วสารทิศ แต่นั่นก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะการแข่งขันภายในประเทศเท่านั้น เลวินยังไม่เคยไปแข่งนอกประเทศเลย และเขาก็อยากจะลองพิสูจน์ตัวเองดูสักครั้ง

แล้วในปีหนึ่ง ประเทศของเลวินก็ได้ส่งกีฬาพายเรือแคนูเข้าแข่งขันในศึกกีฬาระดับโลกด้วย แน่นอนว่าเลวินได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมพาลูกทีมเข้าสู้ศึกครั้งนี้ แต่แล้วก่อนการเดินทางเพียงไม่กี่วัน ภรรยาของเขาซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ยอมคลอดเสียที เลวินจึงไปพบหมอเจ้าของไข้เพื่อสอบถามอาการของภรรยา หมอตอบว่า

"ภรรยาของคุณมีปัญหาด้านสุขภาพมาก่อนนะเลวิน อันที่จริงก็เสี่ยงอยู่แล้วที่จะให้เธอตั้งครรภ์ แต่เมื่อตั้งครรภ์ เราก็ต้องดูแลประคับประคองเธอให้ดีที่สุด บางทีนะเลวิน คุณอาจจะต้องเลือกว่าจะเอาภรรยาหรือลูกของคุณไว้ แค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"

เลวินไม่อยากเลือกเลย เขาและภรรยาเฝ้ารอลูกคนนี้มานาน เขาซื้อเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้ลูกหลายชุด ซื้อของเล่นมากมายรอให้เขามาเล่น และทำห้องเด็กน่ารัก ๆ ไว้คอยต้อนรับ ในขณะที่ภรรยานั้น เพราะมีเธอจึงทำให้เขามีกำลังใจที่แข็งแกร่ง มีรอยยิ้มที่เบิกบาน และมีเสียงหัวเราะที่สดใสอยู่ได้

เลวินลองไปพบผู้จัดการทีม ถ้าเขาจะขอถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ และขอโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งหน้า จะได้หรือไม่

"นายบ้าไปแล้วเลวิน นี่เป็นการแข่งขันระดับโลกเชียวนะ ถ้านายไม่ไปร่วมแข่งขันครั้งนี้ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่านายจะมีโอกาสในครั้งหน้าอีกหรือไม่ ลองคิดดูนะเลวิน นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของนายและกีฬาเรือแคนูของประเทศเรา ถ้านายไม่ไปแล้วทีมแพ้ตั้งแต่ปีแรก นายคิดหรือว่าเขาจะส่งเราลงแข่งเพื่อถ่วงคะแนนรวมในปีหน้าอีก และถ้าเกิดชนะขึ้นมา เราก็คงต้องใช้ผู้เข้าแข่งขันคนเดิมที่ชนะมาแล้ว คงไม่มีใครไปตามนายกลับมาเล่นอีกหรอกนะ"

เลวินจึงต้องคิดหนัก ถ้าเขาเดินทางไปแข่งขันในอีกประเทศหนึ่งซึ่งอยู่ไกลคนละซีกโลก เขาย่อมไม่อาจอยู่ดูแลภรรยาได้ แต่ถ้าเขาไม่ไปแข่งขันในครั้งนี้ความฝันสูงสุดของเขาก็จะต้องพังทลายลง

ภรรยาของเลวินไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เมื่อเห็นว่าสามีกำลังซึมเศร้าก็คิดว่าเขาคงทุกข์ใจกับการเลือกว่าจะไปร่วมการแข่งขันกีฬา หรืออยู่รอเธอคลอดลูกดี ภรรยาของเลวินจึงแข็งใจกล่าวต่อเลวินอย่างเหนื่อยอ่อนว่า

"คุณไปแข่งพายเรือแคนูเถอะค่ะเลวิน ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันอยู่ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลดูแล แต่ความฝันของคุณ คุณจะต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเองนะคะ"

เลวินมองหน้าภรรยา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่วันนี้เขากลับไปหาผู้จัดการทีม และเขาสละสิทธิ์โดยไม่ต่อรองขอโอกาสอะไรอีกเลย

ในที่สุด คนอื่นก็ถูกลงไปแข่งขันแทนเลวิน ในขณะที่เลวินอยู่ดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลกระทั่งเธอคลอดลูกชายอย่างปลอดภัยโดยที่เขาไม่ต้องเลือกว่าจะเอาแม่หรือลูกไว้ วันนั้น ประเทศของเขาก็ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันพายเรือแคนู


ภรรยาของเลวินสุขภาพอ่อนแอ ดังนั้นหลังคลอดลูกเธอจึงต้องพักฟื้นร่างกายอีกพักใหญ่ เลวินจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงลูกชายด้วยตัวเอง ตลอดเวลานั้น มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ และกล่าวแสดงความเสียดายที่เขาไม่ไปร่วมการแข่งขันจนพลาดเหรียญทองระดับโลกไป แต่เลวินซึ่งอุ้มลูกชายอยู่กล่าวว่า

"ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมเห็นหน้าลูก และรู้ว่าภรรยาปลอดภัย ผมก็ไม่เสียใจ หรือเสียดายอะไรกับเหรียญรางวัลพวกนั้นอีกแล้ว"

ผู้มาเยี่ยมแย้งว่า "โธ่เอ๊ย! แต่นี่เป็นโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณมุ่งมั่นกับการแข่งขันเรือแคนูมากแค่ไหน แล้วทำไมคุณถึงทำให้เรื่องแค่นี้มาฉุดเอาโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณไปได้"

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เลวินอาจจะโกรธคนที่พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เมื่อได้อุ้มลูกไว้กับอก เขาก็ไม่รู้สึกโกรธเลย เลวินรู้แล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีได้รู้ว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตนเองแม้ว่าบางครั้งสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้แค่คืบก็ตาม

"โอกาสสำคัญคงไม่มีความหมายถ้าผมต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป คุณลองคิดดูเถอะว่า ถ้าผมไปแข่งขันพายเรือแคนูที่ผมรักจนได้เหรียญทองกลับมา แต่ภรรยาและลูกของผมไม่อยู่เสียแล้ว ผมจะเอาเหรียญทองนั้นมาให้ใครดูเล่า"

ปีแล้วปีเล่าหลังจากปีนั้น เลวินก็ไม่ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันอีกเลย แต่เขาก็มีความสุขดีกับครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อลูกชายโตพอที่จะฝึกพายเรือแคนูได้ เลวินก็ได้ทำในสิ่งที่เขารักอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้ทำมันด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้สอนเจ้าหนูเลโอให้พายเรือแคนูอย่างแกล้วกล้า เลวินรู้สึกว่า ทุกครั้งที่ได้เห็นลูกชายจับไม้พายเพื่อฝึกหัดพายเรือแคนู เขาก็มีความสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่เคยทำมันด้วยตัวเองเสียอีก

20 ปีต่อมาขณะที่เลวินกำลังนั่งฟังรายการวิทยุอยู่กับภรรยานั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เลวินเดินไปรับโทรศัพท์ เป็นเสียงของเลโอเองที่ร้องบอกผู้เป็นพ่อมาตามสายด้วยความตื่นเต้นว่า

"พ่อครับ ผมทำได้แล้วครับพ่อ ผมคว้าเหรียญทองจากการพายเรือแคนูมาให้พ่อได้แล้ว ตอนนั้นพ่อเสียสละโอกาสของพ่อเพื่อผม แต่ตอนนี้ผมนำมันมาคืนพ่อได้แล้วครับ"

ดังนั้น เธอทั้งหลาย...ปัญหาสำคัญของมนุษย์ในยุคแสวงหาความเจริญโดยไม่มีวันสิ้นสุดก็คือ เรามักจะหลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตไป ตัวอย่างนี้มีเห็นได้ง่าย ๆ เธอลองมองไปรอบ ๆ ตัวเธอสิ มีใครบ้างที่ไม่ดิ้นรนแสวงหาความมั่งคั่งจากการประกอบอาชีพ มีใครบ้างที่ให้เวลากับครอบครัวมากกว่างานที่เขาทำ มีใครบ้างยอมเสียสละงานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ เพื่อกลับมาอยู่บ้านเกิดซึ่งมีพ่อแม่แก่เฒ่ารออยู่ หรือมีใครบ้างยอมทำอะไรเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง

เธออาจจะเถียงว่า ที่ดิ้นรนทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งสำคัญที่สุดทั้งนั้น แต่ความคิดนี้ต้องใช้เวลาและความพอใจเป็นตัวแปร นั่นหมายความว่า เมื่อถึงวันที่เธอหยุดขวนขวายและระลึกได้ว่ามีคนสำคัญอยู่ข้างหลัง ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่าเมื่อไร สิ่งสำคัญนั้นอาจจะไม่อยู่รอเธออีกแล้วก็ได้

เวลาในชีวิตหนึ่งของเราช่างสั้นเสียจริงเธอเอ๋ย เธอจงคิดและจัดลำดับให้ดีเถิดว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ และจงเลือกทำสิ่งนั้นก่อนเสมอ แน่ละว่า การทำเช่นนี้อาจทำให้เธอเสียอะไรดี ๆ ในชีวิตไปอีกตั้งหลายอย่าง แต่มันก็คุ้มสำหรับการรักษาสิ่งที่ดีที่สุดเอาไว้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เธอจะรู้จักกับคำว่า "ความสุข" และจะไม่นึกเสียใจในวันที่ทุก ๆ อย่างสายเกินไปแล้วเลย

//////////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ขนุนผู้ต่ำต้อย

นิทานสอนใจ : ขนุนผู้ต่ำต้อย


หมู่บ้านทองดี เป็นหมู่บ้านที่มีเศรษฐีทองคำเป็นผู้ปกครอง แม้เศรษฐีทองคำจะเป็นคนร่ำรวยแต่ก็ไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้าน กลับใช้คุณธรรมและเงินทองของตนทำนุบำรุงหมู่บ้าน และดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้อยู่กินดีเสมอ ชาวบ้านจึงเคารพรักใคร่เศรษฐีทองคำมาก

เศรษฐีทองคำ มีลูกสาวแสนสวยคนหนึ่ง ชื่อว่า ดอกแก้วดอกแก้วเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มฐานะดีทั้งในและนอกหมู่บ้านหลายคน แต่ตัวเธอนั้นยังไม่สมัครใจรักใคร่กับชายใด ซึ่งเศรษฐีทองคำก็เห็นด้วยที่ลูกสาวไม่รีบร้อนออกเรือน เพราะหมายมั่นว่าเมื่อถึงเวลาสมควรแล้ว จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตน รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ให้ตกเป็นของลูกเขยในอนาคตด้วย ดังนั้นเศรษฐีทองคำจึงอยากใช้เวลาเลือกเฟ้นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นทั้งหัวหน้าหมู่บ้าน และผู้ที่จะมาดูแลทรัพย์สินของตนเองให้เกิดประโยชน์แก่หมู่บ้านได้ในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นในวันหนึ่ง เศรษฐีทองคำจึงให้คนไปป่าวประกาศทั่วหมู่บ้าน และเลยไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงว่า

"มีข่าวล่ามาบอกจ้า มีข่าวล่ามาบอก อีกสามวันเมื่อฟ้าสาง ท่านเศรษฐีทองคำจะทำการเลือกคู่ให้แก่คุณหนูดอกแก้วบุตรสาวคนสวยของท่าน ขอให้บุรุษทุกท่านทั้งคนมีและคนยาก แต่ยังโสดสนิท ที่สนใจเข้ารับการเลือกคู่ครั้งนี้ไปสมัครกันถ้วนหน้า หากบุรุษคนใดผ่านการคัดเลือกและได้แต่งงานกับคุณหนูดอกแก้ว เขาผู้นั้นจะได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมดจากท่านเศรษฐีและได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ต่อจากท่านด้วยจ้า"

เมื่อมีประกาศนี้ออกมา พวกผู้ชายที่รู้ข่าวต่างพากันตื่นเต้นดีใจ รวมทั้ง ขนุน หนุ่มน้อยคนยากที่อาศัยอยู่ตรงกระต๊อบปลายนาด้วย

ขนุนนั้นเคยพบหน้าแม่ดอกแก้วคนสวยอยู่ครั้งหนึ่ง และเกิดหลงรักปักใจมานับแต่บัดนั้น แต่ขนุนเป็นคนเจียมตัว เขาคิดว่าตนเองไม่คู่ควรกับลูกสาวของท่านเศรษฐี จึงไม่เคยพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับนาง อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านเศรษฐีมีประกาศออกมาเช่นนี้ ขนุนก็คิดว่าเขาน่าจะไปลองสมัครดูสักหน่อย หากมีบุญวาสนาต้องกันก็คงได้ครองคู่ แต่หากต้องผิดหวังเขาก็ไม่เสียใจ และขอยินดีกับหญิงที่เขาแอบรักด้วย

ถึงวันเลือกคู่ ขนุนรีบไปที่บ้านของเศรษฐีทองคำแต่เช้า เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าที่นั่นเต็มไปด้วยบุรุษมากหน้าหลายตา และทุกคนก็เหมือนจะเป็นบุรุษจากครอบครัวผู้มีฐานะดี มีชาติตระกูล ในขณะที่บางคนก็ดูทรงภูมิท่าทางมีการศึกษาสูง

ขนุนเห็นแล้วก็รู้สึกใจแป้ว ดูเหมือนในที่นั้นจะมีเขาเพียงผู้เดียวที่ดูต่ำต้อย ไร้สกุลรุนชาติ และไม่มีการศึกษาที่สูงส่งอะไร

"ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลยขนุนเอ๋ย ดูสิ มีแต่บุรุษระดับสูงที่คู่ควรกับแม่ดอกแก้วอย่างแท้จริง แกน่าจะรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว ใครเขาจะมาเลือกคนอย่างแกให้ลูกสาวของเขา โธ่เอ๋ย...คนไม่เจียมตัว" ขนุนพร่ำว่าตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสมัครเข้ามาแล้วก็ต้องอยู่ให้เสร็จสิ้นการคัดเลือก

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เศรษฐีทองคำก็ออกมาป่าวประกาศว่า "ทุกๆท่านโปรดฟังทางนี้...เรา...เศรษฐีทองคำ แห่งหมู่บ้านทองดี ได้แจ้งความประสงค์ถึงการรับสมัครผู้ที่จะเข้ามาเป็นบุตรเขยของเราไปแล้วว่า ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก นอกจากจะได้บุตรสาวแสนสวยของเราไปครอง ยังได้ทรัพย์สมบัติและต้องดำรงตำแหน่งผู้ปกครองของหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย ซึ่งอย่างหลังนี้ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะเมื่อไม่มีเราแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปจะต้องเข้าถึงชาวบ้านและดูแลพวกเขาได้ดีไม่แพ้เรา ดังนั้นทุกท่านจงบอกถึงความสามารถของท่านให้เราได้รู้ว่า หากท่านเข้ามาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ท่านมีดีอันใดในตัวเอง ที่จะนำมาใช้ดูแลหมู่บ้านนี้ต่อจากข้า ขอจงบอกมาให้ข้ารู้"

ชายอ้วนลูกเศรษฐีหมู่บ้านใกล้เคียง ก้าวออกมาก่อนใครเพื่อน พร้อมกับกล่าวว่า "ข้ามีเงินทองมากมาย ข้าจะใช้เงินทองของข้าแจกจ่ายชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี"

อัศวินผู้กล้า กล่าวต่อเป็นลำดับต่อมาว่า "ข้าจะปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยคมดาบในมือข้า แม้นมีผู้ร้ายหน้าไหนเข้ามาก่อกวนความสงบ ข้าก็จะใช้ดาบของข้าบั่นคอมันทันที"

นายวิศวกรมือหนึ่ง กล่าวว่า "ข้าจะจัดสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ให้เป็นหมู่บ้านที่สวยงามที่สุด และพรั่งพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายต่างๆนานา"

นายแพทย์หนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่า "หมอเทวดา" กล่าวว่า "ข้าจะใช้ความรู้ทางการแพทย์ของข้า รักษาผู้คนที่เจ็บป่วยในเมือง ให้มีสุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย"

ผู้สมัครต่างกล่าวอ้างถึงคุณสมบัติพิเศษในตัวเองให้เศรษฐีทองคำพิจารณาทีละคน ๆ จนกระทั่งมาถึงขนุนในลำดับสุดท้าย

"เรียนท่านเศรษฐี" ขนุนกล่าวอย่างนอบน้อม "ข้าน้อยขนุน เป็นเพียงคนต่ำต้อย ไร้เงินทอง ไร้อำนาจ และขาดการศึกษา ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดโดดเด่นพอที่จะนำมากล่าวอ้างแก่ท่านได้ แต่ข้าน้อยกล้ายืนยันว่าตัวข้าน้อยนั้นยึดมั่นความดีเป็นที่ตั้ง และข้าน้อยจะใช้ความดีอันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวข้าน้อยอยู่ตลอดเวลา มาดูแลความทุกข์ร้อนของชาวบ้านด้วยความเมตตาขอรับ"

เมื่อได้ฟังสิ่งที่ขนุนพูด หลายคนในที่นั้นต่างพากันหัวเราะเยาะ บางคนแกล้งพูดล้อเลียนให้ขนุนได้ยินว่า "ขนุนคนต่ำต้อย...ไม่รู้จักคำว่าเจียมตัวบ้างเลยหรือ"

ในตอนนั้นเอง มีคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งลนลานมาบอกแก่เศรษฐีทองคำว่า

"เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับนายท่าน ตอนนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านของเรากำลังเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เพราะท่อระบายน้ำเสียอุดตัน ทำให้ระบบระบายน้ำขัดข้อง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วหมู่บ้านแล้วขอรับ"

เมื่อได้ฟังเหตุร้ายฉุกเฉินนั้น เศรษฐีทองคำจึงอาสาสมัครจากบุรุษในกลุ่มที่มาสมัครเป็นลูกเขยให้ลงไปในท่อระบายน้ำ เพื่อเอาสิ่งอุดตันออก แต่ในท่อระบายน้ำนั้นแสนจะเหม็นเน่าเหลือกำลัง จึงไม่มีใครกล้าเสนอตนลงไปทำงานชิ้นนี้ ต่างคนต่างบ่ายเบี่ยงและอ้างว่างานต่ำต้อยเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนถนัด

ขนุนคนต่ำต้อยรอดูท่าทีของบุรุษผู้สูงส่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอาสา ตนเองจึงยกมือขึ้นแล้วบอกแก่ท่านเศรษฐีทองคำว่าจะเป็นผู้ลงไปในท่อระบายน้ำเอง

"แต่ในนั้นเหม็นมากนะ เจ้าหนุ่ม" เศรษฐีทองคำกล่าวหยั่งเชิงขนุน

"ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เพราะข้าน้อยนั้นเป็นลูกชาวนาคนยากจน เมื่อเกิดมาก็กินอยู่กับกองดินและกองขี้วัวอยู่แล้ว งานแค่นี้ไม่ได้ทำให้ข้าน้อยรู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ข้าน้อยเป็นคนต่ำต้อย จึงไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะทำให้ข้าน้อยคิดว่า ตนเองนั้นอยู่สูงเสียจนหยิบจับสิ่งนั้นไม่ได้"

ว่าแล้ว ขนุนก็ลงไปในท่อระบายน้ำแล้วเริ่มค้นหาสิ่งอุดตันที่ทำให้น้ำในท่อไม่ไหล การกระทำของขนุนครั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของเศรษฐีทองคำโดยตลอดและแม้แต่ดอกแก้ว ลูกสาวคนสวยของเศรษฐีเอง เมื่อรู้เรื่องจากสาวใช้ก็รู้สึกชื่นชมในตัวขนุนยิ่งนัก หลังจากนั้นก็ลอบมองขนุนอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา

ขนุนใช้เวลาไม่นานก็สามารถนำสิ่งอุดตันออกจากท่อระบายน้ำได้ และทันทีที่เขาขึ้นมากท่อระบายน้ำ ดอกแก้วก็นำพวงมาลัยคล้องคอให้อย่างเขินอาย

"อะ...อะไรกันนี่ แม่ดอกแก้ว" ขนุนตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ "นางคล้องมาลัยผิดคนแล้วล่ะ เพราะข้าไม่ใช่คนที่ท่านเศรษฐีเลือกหรอก"

"ถ้าท่านคือขนุนคนต่ำต้อย ก็เห็นทีว่าคงถูกคนแล้ว เพราะท่านพ่อและแม้แต่ตัวข้าเองก็เห็นว่าท่านสมควรถูกเลือกมากกว่าใคร ๆ" ดอกแก้วบอกขนุน

"ใช่แล้ว" เศรษฐีทองคำพูดขึ้นบ้าง

"แม้เจ้าจะเป็นขนุนคนต่ำต้อย แต่การกระทำของเจ้าได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นแล้วว่า แท้จริงเจ้านั้นสูงส่งยิ่งกว่าคนร่ำรวย นักรบ หรือแม้แต่ผู้มีการศึกษาดีแต่ไม่สามารถช่วยหมู่บ้านนี้ได้ยามมีภัยเดือดร้อน แท้จริงแล้ว ข้ารู้สึกสรรเสริญในความต่ำต้อยของเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะความต่ำต้อยนี้เองทำให้เจ้าไม่เกี่ยงงานหนักดังคนที่คนคิดว่าตนเองสูงส่ง ทำให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความยากลำบาก ดังนั้น เจ้าจึงเหมาะที่จะเป็นลูกเขยข้า และเป็นผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ สืบต่อไป"

สิ้นเสียงประกาศของเศรษฐีทองคำ ชาวบ้านทุกคนก็พากันโห่ร้องแสดงความยินดีต้อนรับว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ เพราะซึ้งน้ำใจขนุนคนต่ำต้อย ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่รังเกียจงานต่ำต้อย จนช่วยให้ชาวบ้านรอดพ้นความเดือดร้อนในครั้งนี้

บทสรุปของผู้แต่ง

แม้เธอจักเป็นคนต่ำต้อยในสายตาของใครๆ แต่จงอย่าทำตัวเองให้ต้อยต่ำตามความคิดของเขา เพราะแม้เธอจะเป็นคนต่ำต้อย แต่เธอมิใช่คนไร้คุณค่า ซึ่งคุณค่าในตัวเธอนั้น จะปรากฏชัดเมื่อเธอกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็จะประจักษ์ชัดเองว่า แท้จริงแล้วเธอคือคนที่น่าสรรเสริญ มิใช่คนต่ำต้อยอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก หรือแม้แต่เธอทั้งหลายถูกยกย่องว่าเป็นผู้สูงส่ง ก็จงอย่ารังเกียจงานที่ต่ำต้อย ถ้างานนั้นจะสร้างประโยชน์ให้แก่คนหมู่มาก จงคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ แล้วเธอจะเป็นคนที่สูงส่งได้อย่างแท้จริง

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ของขวัญแด่ "พระราชา"

นิทานสอนใจ : ของขวัญแด่ "พระราชา"


นานมาแล้วมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ในพระทัยของพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความเมตตา ประชาชนจึงเคารพเทิดทูนพระองค์มากถึงขนาดช่วยกันแต่งเพลงสรรเสริญพระเกียรติขึ้น และขับขานเพลงนี้แด่พระองค์ถึงสามเวลา คือ เช้า กลางวัน และเย็น

เพลงสรรเสริญนี้ได้ยินไปถึงฤาษีที่บำเพ็ญตบะแก่กล้าอยู่ในป่าลึก ฤาษีสงสัยว่าพระราชาพระองค์นี้จะดีเลิศดั่งบทเพลงที่ตนได้ยินจริงหรือไม่ จึงเดินทางมาหาพระราชา และบอกว่าจะมอบของขวัญที่วิเศษที่สุดให้แก่พระองค์

"เหตุใดท่านจึงลำบากนำของขวัญมามอบให้กับเราด้วยเล่า" พระราชาตรัสถามฤาษีด้วยความแปลกใจ ฤาษีตอบว่า

"เพราะพระองค์คือราชาผู้เป็นที่รักของปวงชน หม่อมฉันจึงอยากตอบแทนพระองค์ที่ทำให้ประชาชนในแผ่นดินของพระองค์มีความสุข ซึ่งมิใช่ว่าพระราชาทุกพระองค์จะทำได้"

กล่าวจบ ฤาษีก็ว่ามนต์คาถาแล้วเสกดาบล้อมพลอยเล่มหนึ่งออกมา

"ด้วยดาบนี้" ฤาษีพูด "พระองค์จะมีพละกำลังมากมาย และสามารถเอาชนะคนทั้งโลกได้"

พระราชาทรงมองดาบเล่มนั้นแค่วูบหนึ่ง แล้วตรัสแก่ฤาษีว่า "ขอบคุณท่านฤาษี แต่ดาบนี้คงไม่เป็นประโยชน์อันใดกับเราดอก เพราะเราไม่ปรารถนาที่จะทำสงครามแม้แต่น้อย"

"แต่สงครามที่ชนะจะทำให้พระองค์ขยายอาณาเขตออกไปได้กว้างไกล และพระนามของพระองค์จะกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วสารทิศ" ฤาษีกล่าวแนะ

"แต่สงครามก็ทำให้เกิดความสูญเสียทุกหย่อมหญ้าเช่นกัน" พระราชาทรงแย้งและกล่าวต่อว่า

"สงครามยังทำให้เด็กจำนวนมากต้องกำพร้า ทำให้ภรรยาผู้ซื่อสัตย์เป็นหม้าย ทำให้คนแก่เฒ่าขาดลูกหลานดูแลในบั้นปลาย เราไม่อยากให้ประชาชนของเราหลั่งน้ำตา และเป็นทุกข์เพราะสงคราม ดังนั้นเราจะไม่มีวันทำสงครามกับบ้านเมืองอื่นเพียงเพราะต้องการขยายอาณาเขตซึ่งเราเองก็มีพอแล้ว หรือให้ใคร ๆ มาพูดเยินยอเราด้วยเรื่องนี้ดอก"

ฤาษีฟังแล้วรู้สึกชื่นชมพระราชามาก จึงกล่าวต่อไปว่า

"พระองค์คือพระราชาผู้มีหัวใจประเสริฐโดยแท้ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะขอมอบเพชรพลอยให้แก่พระองค์แทนก็แล้วกัน"

โดยไม่ต้องคิด พระราชาทรงปฏิเสธอีกครั้ง "เรามีของพวกนั้นแล้วล่ะท่านฤาษี คงไม่ต้องการมันจากท่านอีกดอก"

"แต่ที่พระองค์มีอยู่มันน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพระราชาของบ้านเมืองอื่น ทรงรับเพชรพลอยของหม่อมฉันไปเถิด แล้วพระองค์จะเป็นพระราชาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เมื่อพระองค์อยากจะได้อะไรก็ใช้เพชรพลอยเหล่านี้ซื้อหามาได้หมดแม้แต่ข้าทาสบริวาร" ฤาษีกล่าว แต่พระราชาตรัสว่า

"เราอาจจะมีน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่เรามีมากพอแล้วสำหรับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สิ่งของ หรือแม้แต่ข้าทาสบริวารก็ตาม ดังนั้นท่านจงเก็บเพชรพลอยของท่านไปเถิด เพราะเราไม่อยากร่ำรวยหรืออยากมีอะไรเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีกแล้ว"


ฤาษีรู้สึกยินดีในคำตอบของพระราชามาก จึงเสนอของขวัญชิ้นใหม่แก่พระองค์ทันที

"ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันจะท่องมนต์เพื่อเบิกทางนำพระองค์สู่สรวงสวรรค์ดีไหม พระองค์จะพบแต่ความสุขกายสบายใจเมื่อได้ไปอยู่ที่นั่น"

แต่พระราชาเองก็ทรงปฏิเสธทันทีเช่นกัน "โอ..อย่าทำเช่นนั้นเลยท่านฤาษี เราไม่อยากไปสวรรค์หรอก เพราะทุกวันนี้เราก็ได้อยู่ในสวรรค์ที่มีความสุขมากแล้ว"

ฤาษีไม่เข้าใจ พระราชาจึงทรงอธิบายว่า "เราเป็นพระราชา เมื่อเราปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนของเรามีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ และอยู่กันอย่างมีความสุขแล้ว เมื่อนั้นตัวเราก็มีความสุขไม่ต่างจากการอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย เพราะฉะนั้นเราขออยู่ที่นี่กับประชาชนของเราเถิดนะท่านฤาษี"

ฤาษีซาบซึ้งในคำตรัสของพระราชาจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

"พระองค์คือพระราชาผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้ หม่อมฉันปลื้มปีติแทนประชาชนของพระองค์จริง ๆ" ฤาษีกล่าวสรรเสริญพระราชาด้วยความจริงใจ

"แม้พระองค์จะไม่รับของขวัญชิ้นใดจากหม่อมฉันเลย แต่หม่อมฉันก็จะมอบเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ชนิดหนึ่งให้เป็นของขวัญแด่พระองค์"

"เมล็ดพันธุ์ดอกไม้อย่างนั้นหรือ" พระราชาทรงสนพระทัย ด้วยว่าพระองค์มีความรัก ความเมตตาอยู่ในพระทัย จึงทรงชื่นชอบดอกไม้เป็นพิเศษ

"ใช่แล้ว เมล็ดพันธุ์นี้เป็นเมล็ดพันธุ์วิเศษ เมื่อพระองค์ทรงปลูก มันจะงอกขึ้นมาเป็นดอกไม้แห่งความรัก ความเมตตา ใครก็ตามหากได้ดมกลิ่นดอกไม้ชนิดนี้ จิตใจของเขาก็จะถูกขัดเกลาให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และมีชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดไป"

พระราชาทรงยินดีที่จะรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ พระองค์ตรัสว่า

"ไม่มีของขวัญอะไรจะวิเศษเท่าเมล็ดพันธุ์นี้อีกแล้ว เราจะนำเมล็ดพันธุ์ของท่านไปหว่านให้ทั่วเมือง เพื่อให้ประชาชนของเราได้สูดดมกลิ่นแห่งความรักความเมตตาทุกวัน พวกเขาจะได้รักกัน มีความเมตตามอบให้กันและพบกับความสุขตลอดไป"

กล่าวจบพระราชาก็ขอบคุณฤาษีเป็นการใหญ่ ฤาษีให้พรแก่พระราชาและลากลับไปบำเพ็ญตบะในป่าใหญ่ดังเดิม

บทสรุปของผู้แต่ง

พระราชาที่เป็นพระราชาแท้จริงนั้นจะตระหนักถึงหน้าที่ที่แท้จริงของพระองค์อยู่ตลอดเวลา พระราชาที่แท้จริงจะทรงทราบว่าสวรรค์ให้พระองค์เกิดมาสูงส่งเพื่ออะไร..ไม่ใช่ทำตนให้มีอำนาจที่สุด ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความมั่นคง และไม่ใช่เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก แต่สวรรค์ให้พระองค์เป็นพระราชา เพื่อมอบความสุขให้แก่ประชาชนของพระองค์เอง

เราอาจจะไม่ได้เกิดมาสูงส่งเป็นถึงพระราชา แต่เราก็สามารถตระหนักในหน้าที่ของเราได้ และหน้าที่ของเราจะนำมาซึ่งของขวัญชิ้นสำคัญในชีวิต ตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อความยิ่งใหญ่เหนือคนอื่นโดยไม่รู้จักกับคนที่จริงใจกับเราสักคน เพื่อความร่ำรวยที่เมื่อตายไปเราก็ต้องทิ้งทั้งหมดไว้ข้างหลัง หรือมีชีวิตอย่างธรรมดา ๆ แต่เป็นเพื่อนสนิทกับความสุขไปตลอดทั้งชีวิต

ลองเลือกของขวัญสักชิ้นให้กับชีวิตของตัวเองดูสิ ..

/////////////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ขออีก 1 นาที

นิทานสอนใจ : ขออีก 1 นาที


ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น ทำอะไรชักช้า และค่อนข้างขี้เกียจ ทุก ๆ เช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่างแทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที

"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก"

การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย เขากล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู

"ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า ทั้ง ๆ ที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว

"ขออีก 1 นาทีครับครู" เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน

วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที.. ขออีก 1 นาที" ตลอด ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก

สักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ"

"แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก

"อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก

"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่

"แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ

"รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง

ทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป

"แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น

"แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"


พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้"

คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก

"เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา แต่ไม่มีใครฟัง พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า..แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัด

เจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ คน ๆ นั้นอยากได้เงินมาก ๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ

พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่

ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริง ๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่...ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป...ไม่มีเลย

บทสรุปของผู้แต่ง

เงยหน้ามองเข็มวินาทีอันเล็ก ๆ ที่เดินอยู่ในนาฬิกาสิ..นั่นล่ะ คือ เวลาในชีวิตของเรา

ทันทีที่เธอคิดว่า "เดี๋ยว ขอเวลาอีกหน่อย" หรือ "เดี๋ยว เอาไว้ทำวันหลัง" รู้ไว้เลยว่าเธอกำลังสูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย คนที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาทำงานย่อมทำงานได้มากกว่าคนนอนตื่นสายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กที่ทำการบ้านเสร็จมาจากโรงเรียนก็ได้วิ่งเล่นในตอนเย็นกับเพื่อน ๆ อย่างเต็มที่ คนที่รู้คุณค่าของเวลามักได้เปรียบคนอื่นและเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปน้อยมาก แน่นอนว่า ชีวิตของคนแบบนี้ย่อมปรีดิ์เปรมไปด้วยความสุขสมหวัง

เข็มวินาทีเดินเร็วกว่าจังหวะการหายใจอีก ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น มักมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางทีก็เกิดขึ้นเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันนี้เราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่พูดว่า "เดี๋ยว" และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เราก็ไม่กลัวที่จะรับมือกับมัน และไม่ต้องตั้งคำถามที่ไร้ประโยชน์ในภายหลังว่า "เมื่อวานเรามัวทำอะไรอยู่"

/////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง

นิทานสอนใจ : ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง


ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถขับหลายคัน มีบริวารมากมายรายล้อม ปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมา บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น ชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไป ชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ใบหน้าน้อยๆ น่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ แม่ของเด็กตายจากไปนานแล้ว ลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีก แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลย พ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบ สู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อย ๆ บีบปากผู้เป็นพ่อเบา ๆ

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกเลยไม่ชอบ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้ว พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

"ร้องไห้ทำไม ลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ" เด็กหญิงตอบยิ้ม ๆ

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีห้องนอนสวย ๆ เหมือนก่อน ไม่มีที่วิ่งเล่นกว้าง ๆ ไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียน ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ไม่มีอาหารดี ๆ กิน แล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูง ๆ"

"พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คน ๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

"คนทำงานเก่ง ๆ มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอก เพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อย ๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

"ไม่จ้ะ คุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้าน และไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอ ตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกัน เด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

"ถ้าคนๆ นี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้ และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหา เขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกัน งั้นเราจะลองไปดูก็ได้" ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอก ไม่นานเขาก็เจอบ้านของคน ๆ นั้น ซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดา ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจ นี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่ คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

"คนที่คุณต้องการพบ คงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องรับแขก แต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญ เพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้ว ชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของ ชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

"เกียรติบัตรฉบับนี้ มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขาย และความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะ เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดา ๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ เตียงเขา


"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิ เธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมาก เลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติด ๆ ขัด เขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่า คนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่า และยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้น เป็นของชายพิการคนนี้ หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ เป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

"ใช่ ผมทำงานขายประกัน หลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้ม ๆ

"ไม่หรอกครับ ผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียว แต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้ คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

"ดูเหมือนว่า คุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับ ไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอก และถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ คุณไม่สบาย หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจ ผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ

"นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเอง คติพจน์ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

"ขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาว ซึ่งเป็นครูอนุบาล รวมทั้งเด็ก ๆ จากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อย ๆ เพราะเด็ก ๆ ได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะ แกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อย ๆ และแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมาก คุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแกเป็นเด็กที่น่ารัก อยู่เพื่อแกเถอะ ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

"แต่ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผม ตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ในสังคมที่มนุษย์ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ เรามักจะเห็นผู้พ่ายแพ้เกิดมามากกว่าผู้ชนะเสมอ ดังนั้น หากทั้งชีวิตจะต้องพบกับความพ่ายแพ้บ้างครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร...ในเมื่อสมองและหัวใจเธอยังดีอยู่ เธอจะกลัวความพ่ายแพ้ไปทำไมกัน

สำหรับชายพิการคนนี้ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน หากแม้นว่าชายคนนี้ยังมีใจร่าเริงได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองพิการไร้มือไร้เท้า แล้วเราจะมีข้อแก้ตัวอันใดมาคร่ำครวญถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่กันเล่า

คุณรู้จักใครบ้างที่พร่ำบ่นเพราะเขาไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอย่างที่เขาต้องการ ใครบ้างที่หงุดหงิดอยู่นั่นแล้วเวลาที่ตนเองเป็นหวัด เวลาที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น เวลาที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เวลาที่ไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น หรือแม้แต่เวลาที่เขาเป็นทุกข์เพราะเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดเวลา

หากรู้จักคน ๆ นั้น ก็จงเล่าเรื่องชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงให้เขาฟังเถิด

/////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ซาลาเปาในกล่องวิเศษ

นิทานสอนใจ : ซาลาเปาในกล่องวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวฐานะยากจน แต่ละวันไม่มีอาหารเพียงพอให้ทุกคนรับประทาน ต้องทนอดมื้อกินมื้อตามยถากรรม แต่กระนั้นทุกคนในครอบครัวก็ไม่เคยประกอบพฤติกรรมไม่สุจริต พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และมักปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก่อนนอน รวมทั้งนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน โดยพ่อแม่ของครอบครัวนี้จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเพียงให้ลูก ๆ ของพวกเขามีอาหารรับประทานพออิ่มท้องไปวัน ๆ เท่านั้น

วันหนึ่งขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังสวดมนต์กันอยู่นั้น พลันเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้น ฑูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฎกายต่อหน้าพวกเขาและมอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งให้แก่ผู้เป็นพ่อ พร้อมกับบอกว่า

"นี่คือกล่องวิเศษ ในกล่องนี้จะมีซาลาเปาอยู่สองลูกให้พวกเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าพวกเจ้าจะต้องหยิบกินเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น ส่วนอีกลูกก็ให้อยู่ในกล่องเช่นเดิม ถ้าทำดังนี้พวกเจ้าจะไม่มีวันอดและมีซาลาเปากินไปตลอดชีวิต"

กล่าวจบฑูตสวรรค์ก็หายวับไป

ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงเปิดกล่องวิเศษออก และปฏิบัติตามคำของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด โดยเขาหยิบซาลาเปาออกมาจากกล่องวิเศษเพียงลูกเดียวเท่านั้นแล้วแบ่งให้ทุกคนในครอบครัวรับประทาน ซาลาเปาในกล่องวิเศษนี้รสชาติเลิศรสยิ่ง และน่าแปลกที่แม้ทุกคนจะได้รับประทานไปเพียงคนละนิดคนละหน่อย แต่แค่นั้นก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้องได้ตลอดทั้งวัน

วันรุ่งขึ้นผู้เป็นพ่อก็เปิดกล่องวิเศษเพื่อกินซาลาเปาอีก ปรากฎว่ามีซาลาเปาอยู่ในกล่องวิเศษสองลูกเท่ากับเมื่อวาน เขาจึงหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมาแบ่งให้ทุกคนในครอบครัวรับประทานแล้วปิดฝากล่องวิเศษลงโดยไม่แตะต้องซาลาเปาอีกลูกเช่นเดิม

วันถัดมาซาลาเปาก็เพิ่มมาอีกหนึ่งลูกเช่นเดิม ผู้เป็นพ่อก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้ไปทุกวัน ทำให้ครอบครัวนี้แม้จะไม่ได้ร่ำรวยขึ้น แต่ทุก ๆ คนก็ได้อิ่มท้องแลดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้นจนเป็นที่สงสัยของชายเพื่อนบ้าน

ชายเพื่อนบ้านเฝ้าสังเกตครอบครัวยากจนอยู่นานก็ไม่เห็นว่าครอบครัวนี้มีทรัพย์สินอะไรที่น่าจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่คนในบ้านกลับดูสมบูรณ์พูนสุขอย่างผิดหูผิดตา ในที่สุดเมื่อเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ชายเพื่อนบ้านจึงไปสอบถามจากภรรยาของชายยากจนว่า

"ขอโทษเถอะพี่สาว ระยะหลังมานี้ข้าสังเกตเห็นว่าครอบครัวของท่านดูมีความสุขขึ้น และเด็ก ๆ ก็ไม่ร้องไห้เพราะความหิวโหยเหมือนแต่ก่อน แต่กลับออกมาวิ่งเล่นอย่างร่าเริงและดูจะอ้วนท้วมขึ้นทุกวัน ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ไปประกอบอาชีพอะไรมาหรือ จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเช่นนี้"

ด้วยความที่ครอบครัวนี้ปฏิบัติตนในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอด ภรรยาชายยากจนจึงกล่าวตอบเพื่อนบ้านอย่างไม่คิดจะโกหกปิดบังว่า

"พวกเราหาได้ร่ำรวยเงินทอง และยังคงยากจนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่บ้านของเราได้รับความเมตตาจากฑูตสวรรค์โดยท่านได้มอบกล่องวิเศษให้แก่บ้านเรา ในกล่องใบนั้นมีซาลาเปาอยู่สองลูก และเราจะหยิบมากินได้เพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น"

"วันละหนึ่งลูก!" ชายเพื่อนบ้านร้องลั่น "แค่นั้นจะพอหรือ ในเมื่อบ้านของท่านมีคนอยู่ตั้งหลายคน"

"พอสิ แค่ซาลาเปาหนึ่งลูกนั้นก็ทำให้พวกเราอิ่มท้องและมีแรงทำงานได้ตลอดทั้งวัน แต่เราต้องหยิบมากินแค่วันละหนึ่งลูกนะ แล้ววันต่อไปซาลาเปาจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก เป็นเช่นนี้เรื่อยไปโดยไม่มีวันหมด" ภรรยาชายยากจนบอกเล่าอย่างพาซื่อโดยไม่ได้สังเกตเห็นความละโมบที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของชายข้างบ้านเลย

หลังจากวันนั้นกล่องวิเศษก็หายไปจากบ้านของครอบครัวยากจน ทุกคนในครอบครัวเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะตามไปเอาคืนจากที่ไหน พวกเขาจึงต้องทำใจยอมรับความอดอยากด้วยการสวดมนต์อธิษฐานขอให้มีอาหารประทังชีวิตอีกเช่นเดิม

ผ่านไปหลายวัน ฑูตสวรรค์ก็มาปรากฏกายอีกครั้ง พร้อมกับถามว่า

"เราให้กล่องวิเศษพวกเจ้าไปแล้ว ทำไมยังอดอยากกันอีก หรือพวกเจ้าไม่ทำตามที่เราบอก"

ชายผู้เป็นพ่อรีบตอบฑูตสวรรค์ว่า

"ข้าแต่ฑูตสวรรค์ พวกเราไม่กล้าฝืนคำสั่งของท่านหรอก เพียงแต่ที่เราต้องกลับมาอดอยากเช่นเดิมก็เพราะมีขโมยมาขโมยกล่องวิเศษที่ท่านมอบให้พวกเราไปน่ะขอรับ"

ฑูตสวรรค์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า

"เอาอย่างนี้ เราจะมองกล่องวิเศษให้เจ้าอีกหนึ่งใบ ทุกวันให้เจ้าปิดประตูหน้าต่างในบ้านให้หมด พร้อมกับลงกลอนให้แน่นหนา แต่ห้ามเปิดกล่องวิเศษใบนี้เด็ดขาดจนกว่าจะล่วงเข้าวันที่เจ็ด"

แล้วฑูตสวรรค์ก็มอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้แก่ครอบครัวยากจน แล้วหายวับไป

ครอบครัวยากจนทำตามคำบอกของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด จนชายข้างบ้านรู้สึกผิดสังเกตอีก เขาจึงตะล่อมถามภรรยาแสนซื่อของชายยากจนอีกครั้ง

"ระยะห้าหกวันนี้ ข้าสังเกตบ้านท่านไม่ค่อยเปิดประตูหน้าต่างเลยนะ พวกท่านทำอะไรกันอยู่ในนั้นหรือ จึงต้องการความมิดชิดถึงเพียงนั้น"

ภรรยาชายยากจนก็ตอบโดยไม่ปิดบังอีกเช่นเคยว่า

"กล่องซาลาเปาวิเศษของเราถูกขโมยไป ฑูตสวรรค์จึงมอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้บ้านเรา แต่พวกข้าก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าข้างในเป็นอะไร เพราะฑูตสวรรค์กำชับให้เราปิดประตูหน้าต่าง และลงกลอนให้แน่นหนาไปจนถึงวันที่เจ็ดจึงจะเปิดกล่องออกดูได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้น แต่พรุ่งนี้ก็จะครบเจ็ดวันแล้วล่ะ"

ได้ฟังดังนั้น ความละโมบก็กระโจนเข้าครอบงำจิตใจชายข้างบ้านอีก

"กล่องใบนั้นจะต้องเป็นของเรา...พรุ่งนี้เราจะกินซาลาเปาทั้งสองลูกในกล่องใบแรกให้หมด และเอากล่องเปล่า ๆ ไปสับเปลี่ยนกับกล่องวิเศษใบที่สองจากบ้านเจ้าคนยากจนพวกนั้น พวกมันจะได้ไม่สงสัย และนึกว่าฑูตสวรรค์เล่นตลกกับพวกมันเอง..ในกล่องใบที่สองคงมีเงินทองมากมายที่เพิ่มทุกวันไม่มีวันหมดดังเช่นกล่องซาลาเปาใบแรกอีกเป็นแน่"

ชายข้างบ้านคิดอย่างย่ามใจ

เช้ามืดอันเงียบสงัด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสบาย ชายข้างบ้านเปิดกล่องวิเศษใบแรกออกมาแล้วกินซาลาเปาสองลูกจนหมดโดยไม่แยแส เขาคิดว่ากล่องใบที่สองจะต้องให้อะไรกับเขามากกว่าซาลาเปาเพียงแค่สองลูก หลังจากนั้นก็ย่องไปที่บ้านของครอบครัวยากจนและงัดหน้าต่างเพื่อเข้าไปขโมยกล่องวิเศษใบที่สอง โดยนำกล่อวิเศษใบแรกไปสับเปลี่ยนด้วย

เมื่อได้กล่องวิเศษใบที่สองแล้ว ชายข้างบ้านก็รีบกลับมาที่บ้านของตนเอง เขาปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนาที่สุด แล้วค่อย ๆ แง้มฝากล่องออกดูอย่างตื่นเต้น

ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออก แมลงมีพิษมากมายก็พุ่งตัวออกมาและบินเข้าไปรุมกัดต่อยชายข้างบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเขาวิ่งหนีออกจากบ้านแทบไม่ทัน ว่ากันว่าชายข้างบ้านจอมโลภคนนี้ถูกแมลงมีพิษไล่กัดต่อยไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวและไม่มีใครเคยพบเห็นเขาอีกเลย

ฝ่ายครอบครัวยากจนนั้น เมื่อถึงเวลาเปิดฝากล่องออกก็พบซาลาเปาสองลูกอยู่ในกล่องเหมือนเดิม พวกเขาดีใจมากรีบสวดมนต์ขอบคุณฑูตสวรรค์เป็นการใหญ่ จากนั้นมาครอบครัวยากจนก็มีซาลาเปาในกล่องวิเศษที่ช่วยให้พวกเขาอิ่มท้องและมีความสุขตลอดมา

บทสรุปของผู้แต่ง

น่าแปลกใจที่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพอ เมื่อมีแล้วก็ต้องมีอีก เมื่อมีมากก็ต้องมีเพิ่ม เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือความโลภ แต่ความโลภมิใช่คนผิด มนุษย์ต่างหากที่ผิดเพราะมีความโลภ ดังนั้น หลาย ๆ ครั้งความโลภก็สอนมนุษย์ด้วยบทเรียนที่แสนเจ็บแสบ ด้วยการทำให้มนุษย์ที่มีความโลภสูญสิ้นทุกอย่างจนไม่มีอะไรเหลืออีกเลยในชีวิต

/////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ช็อกโกแลต

นิทานสอนใจ : ช็อกโกแลต


บั๊ดเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุ 10 ขวบ วันหนึ่งป้าของบั๊ดมาเยี่ยมครอบครัวของบั๊ดที่บ้าน ป้าเพิ่งไปเที่ยวต่างประเทศมาจึงซื้อของมาฝาก พ่อ แม่ และบั๊ดมากมาย แต่ที่บั๊ดเห็นแล้วตาลุกวาวคือช็อกโกแลตแท่งโตที่ป้าบอกว่าเป็นยี่ห้อที่อร่อยที่สุดของประเทศนั้น

ความจริงบั๊ดเป็นเด็กเอื้อเฟื้อคนหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเก็บช็อกโกแลตไว้กินคนเดียว เพราะเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก ดังนั้นเมื่อป้ากลับไปแล้วบั๊ดจึงคว้าช็อกโกแลตแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันทีโดยที่พ่อและแม่ไม่ทันได้สังเกตเห็น

'เอาเข้ามากินในห้องอย่างนี้ไม่มีใครแย่งเราได้ เราจะได้กินช็อกโกแลตแท่งนี้ให้เต็มที่ไปเลย' บั๊ดพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

บั๊ดลงมือแกะห่อช็อกโกแลตพลางจินตนาการถึงรสชาติเข้มข้นหวานมันที่กำลังจะแตะลิ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงร้อง เรียกชื่อเขาดังมาจากหน้าบ้าน

"บั๊ด บั๊ด ยู้ฮู! บั๊ด"

เสียงเรียกแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาเอง พวกนั้นคงชวนไปเตะฟุตบอลเหมือนทุกวัน แต่วันบั๊ดแสร้งทำหูทวนลมเสีย เพราะเขาอยากกินช็อกโกแลตมากกว่าออกไปวิ่งเล่น

"บั๊ด บั๊ด เฮ้! บั๊ด อย่ามาทำไก๋ เรารู้นะว่านายอยู่บ้าน นั่นไง รองเท้านายวางอยู่นั่น เราเห็นนะเพื่อน"

เพื่อนของบั๊ดฉลาดเป็นกรด บั๊ดจึงต้องวางช็อกโกแลตแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง

"โทษทีเราหลับอยู่ พวกนายมีอะไรหรือเปล่า" บั๊ดชะโงกหน้าออกไปถามจึงได้รู้ว่าเพื่อน ๆ มากันหลายคนทีเดียว เพื่อนคนที่ตะโกนเรียกบั๊ดตอบว่า

"จะมีอะไรล่ะ ก็มาชวนไปเตะบอลน่ะสิ นายนัดพวกเราเองนะ จำไม่ได้รึไง"

"วันนี้เราไปไม่ได้แล้ว พวกนายไปเล่นกันก่อนเถอะ"

"ทำไมล่ะ"

"เรา..." บั๊ดคิดคำแก้ตัว "อ้อ ใช่แล้ว เราต้องทำการบ้าน"

"การบ้านอะไร" เพื่อนอีกคนถามขึ้น บั๊ดจึงได้รู้ว่ามีคนที่เรียนห้องเดียวกันกับเขาปะปนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย บั๊ดตกใจ "ไม่มีสักหน่อยนี่นา" เพื่อนห้องเดียวกันคนนั้นหันไปพูดกับคนอื่น ๆ แล้วเด็กชายที่ตะโกนเรียกบั๊ดจึงร้องถามบั๊ดว่า

"เฮ้ บั๊ด นายเป็นอะไรกันแน่..หรือว่าพ่อซื้อเกมใหม่มาให้แล้วแอบเล่นคนเดียว..ดีล่ะ พวกเราจะขึ้นไปบุกห้องนอนเพื่อเล่นเกมสุดมันนั้นด้วย"

'ถ้าพวกนี้มาเห็นช็อกโกแลตเรา เราก็จำต้องแบ่งให้ แล้วจะเหลือกินเองสักเท่าไรล่ะ' สมองของบั๊ดคิดเรื่องช็อกโกแลตขึ้นมาทันที แล้วปากเขาก็ร้องขึ้นเร็วเท่าความคิดว่า

"ไม่มี ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เอาล่ะ ๆ เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ พวกนายรออยู่ตรงนั้นแหละ"

พูดจบบั๊ดก็วิ่งกลับมาที่เตียงนอนแล้วเอาช็อกโกแลตที่แกะค้างไว้แต่ยังไม่ได้กินแม้แต่น้อยซุกไว้ใต้ผ้าปูที่นอน เพราะเป็นที่ที่เขาแน่ใจว่าจะปลอดภัยจากมนุษย์ทุกคนในโลก จากนั้นจึงวิ่งลงไปหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ด้านล่าง

เด็ก ๆ เล่นฟุตบอลกันตั้งแต่บ่ายถึงเย็นจึงชวนกันเลิก วันนี้ทุกคนยังไม่กลับบ้านของตัวเองทันที แต่กลับชวนกันไปเล่นที่บ้านของบั๊ดต่อ บั๊ดซึ่งมีใจพะวงถึงแต่ช็อกโกแลตใต้ผ้าปูที่นอนอยู่ตลอดเวลาจำต้องตอบรับคำขอของเพื่อน ๆ อย่างเสียไม่ได้


ปกติเวลาบั๊ดชวนเพื่อน ๆ มาเล่นที่บ้าน เขาจะพาเพื่อน ๆ ขึ้นไปเล่นบนห้องนอน แต่วันนี้บั๊ดไม่เอ่ยปากชวนใครขึ้นไปบนห้องนอนของเขาเลย ดีที่แม่ของบั๊ดทำขนมอบไว้จึงนำขนมอบและน้ำหวานมาให้บั๊ดและเพื่อน ๆ กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ทุกคนสนุกสนานเฮฮายกเว้นบั๊ด แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

'เมื่อไรเจ้าพวกนี้จะกลับไปเสียทีนะ เราเสียเวลาอยู่กับพวกมันมาทั้งวันแล้ว เราอยากกินช็อกโกแลตของเราเสียที' บั๊ดคิดซ้ำไปซ้ำมาด้วยความหงุดหงิด

กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น เด็ก ๆ จึงขอตัวกลับบ้าน บั๊ดดีใจมากแต่ต้องเก็บซ่อนอาการไว้ ครั้นเพื่อน ๆ กลับไปจนหมดแล้ว บั๊ดจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดแต่สวนกับพ่อที่เดินลงมา และถามบั๊ดว่า

"ลูกเห็นช็อกโกแลตที่ป้าซื้อมาฝากบ้างไหม เห็นป้าบอกว่าอร่อยนักหนา พ่อก็เลยจะชิมดูเสียหน่อยว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที"

บั๊ดอึก ๆ อัก ๆ เพราะไม่ค่อยอยากแบ่งช็อกโกแลตให้ใคร แต่เมื่อเป็นพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงพาพ่อไปที่ห้องนอนและเปิดผ้าปูที่นอนออก ทันทีที่ได้เห็นของวางอยู่ สองพ่อลูกร้องออกมาด้วยความตกใจ

ช็อกโกแลตแท่งนั้นยังวางอยู่ที่เดิม แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกินได้อีกต่อไป เนื่องจากกองทัพมดได้จัดการกัดกินช็อกโกแลตแท่งนั้นจนกลายเป็นรูพรุนไปเสียทั้งแท่ง พ่อของบั๊ดจึงต้องเอาช็อกโกแลตแท่งนั้นไปทิ้งถังขยะก่อนจะมาสอบถามความจริงจากบั๊ดซึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว พ่อก็พูดกับบั๊ดว่า "เพราะลูกแกะซองช็อกโกแลตทิ้งไว้ มดจึงได้กลิ่นและไปบอกเพื่อน ๆ ของมันให้มากินช็อกโกแลตด้วยกัน นั่นเป็นเพราะพวกมันไม่หวงสิ่งดี ๆ ไว้กับตนเพียงตนเดียว แต่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ นั้นให้กับเพื่อน ๆ ของมันด้วย มดทุกตัวจึงได้กินช็อกโกแลตอร่อยแท่งนี้อย่างมีความสุข แต่สำหรับลูก ลูกคิดแต่จะกินให้อร่อยคนเดียว อยากมีความสุขเพียงคนเดียว สุดท้ายลูกก็จะไม่เหลืออะไรอย่างนี้เอง จำไว้นะ สิ่งดี ๆ มีไว้แบ่งปัน มิใช่เก็บไว้กับตัวเอง"

บั๊ดปล่อยโฮด้วยความเสียใจที่ตัวเองตระหนี่ไม่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น จึงต้องเสียช็อกโกแลตไปทั้งหมด ต่อไปนี้เขาจะทำตัวเสียใหม่อย่างที่พ่อสอน

พ่อกอดบั๊ดและปลอบเขาอย่างอ่อนโยน

บทสรุปของผู้แต่ง

เรามาช่วยกันเพิ่มความสุขให้แก่โลกของเรากันสักหน่อยดีไหม วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่แบ่งปันสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่แล้วให้คนอื่นบ้าง ไม่ต้องมากมาย แบ่งให้เขาเท่าที่เราจะให้ได้ และเพียงพอที่จะทำให้เราเห็นรอยยิ้มสวย ๆ และได้ยินเสียงหัวเราะดัง ๆ ของเขาก็พอ

การแบ่งปันอาจจะทำให้เราเหลือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขน้อยลง แต่จะเพิ่มกลิ่นแห่งความสุขให้อบอวลอยู่ในโลกมากขึ้น และเราเองก็จะ ได้รับความสุขเพิ่มขึ้นอีกจากเรื่องดี ๆ ที่เราทำลงไป ก็เหมือนเวลาเราเล่าเรื่องตลกให้ใครฟังนั่นล่ะ เราไม่ได้ต้องการเงินทองจากเขาสักหน่อย เราแค่อยากให้เขายิ้มหรือหัวเราะไปกับเรื่องที่เราเล่า แค่นั้นเองที่เราอยากเห็น และแค่ได้เห็นก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว

/////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ยอดเขายายกะตา

นิทานสอนใจ : ยอดเขายายกะตา


กบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ที่เชิงเขายายกะตา ตามตำนานของฝูงกบเหล่านี้เล่าว่า ยอดเขายายกะตาเป็นยอดเขาที่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับกบ หากกบตัวใดสามารถปีนขึ้นไปถึงยอดเขายายกะตาได้ ก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์ มีแมลงรสอร่อยกิน ไม่อดอยากไปจนตลอดชีวิตการเป็นกบ

แต่กระนั้นก็ตาม การปีนขึ้นเขาก็เป็นเรื่องยากมากสำหรับกบ ดังนั้นจึงยังไม่เคยมีกบตัวใดลองพิสูจน์ตำนานนี้ดูสักที แล้ววันหนึ่ง ฝูงกบเกิดนึกสนุกชวนกันแข่งขันปีนขึ้นยอดเขายายกะตา ใครไปถึงยอดเขาเป็นตัวแรก นอกจากจะเป็นสิริมงคลแก่ตนตามตำนานแล้ว ยังจะได้รับรางวัลสุดยอดกบจากเพื่อน ๆ อีกด้วย


เมื่อถึงเวลา กบทุกตัวก็เริ่มปีนขึ้นเขาพร้อมกัน กบตัวที่แข็งแรงกว่าสามารถแซงเพื่อนตัวอื่น ๆ ขึ้นไปอยู่แถวหน้าได้ แต่ปีนไปได้เพียงครึ่งทาง พวกมันก็เริ่มถอดใจ ทนความเหนื่อยล้า และความลำบากไม่ได้

"ข้าเหนื่อย ข้าไปไม่ไหวแล้ว" กบตัวที่แข็งแรงที่สุดว่า

"ข้าก็เหมือนกัน เมื่อยแข้งเมื่อยขาไปหมด อยากกลับบ้านเสียจริง" กบอีกตัวบอก ตัวอื่น ๆ จึงพากันเสริมเป็นการใหญ่

"นั่นน่ะสิ ยอดเขายายกะตาเป็นเพียงตำนาน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีกบตัวไหนเคยปีนขึ้นไปถึง"

"บางทีอาจจะเป็นนิทานหลอกเด็กของพวกบรรพบุรุษที่ว่างจัดของเราก็ได้"

"อย่างนั้นก็กลับกันเถอะ เปลืองแรงเปล่า ๆ" กบตัวที่แข็งแรงที่สุดบอก แล้วทุก ๆ ตัวซึ่งเป็นกบที่อยู่แถวหน้าสุดก็หันหลังปีนลงเขาไป

เมื่อพวกกบที่อยู่ข้างหลังเห็นกบแถวหน้าปีนลงมาก็ถามด้วยความแปลกใจว่า

"อ้าว ลงมาทำไมน่ะเพื่อน"

กบตัวที่แข็งแรงที่สุดตอบว่า "ก็แล้วจะปีนขึ้นไปให้เสียแรงเสียเวลาสทำไมล่ะ อย่างไรก็ปีนไม่ถึงหรอก ยอดเขายายกะตาอยู่สูงลิ่วขนาดนั้น พวกกบอย่างเราจะมีทางไปถึงได้อย่างไร"

"แต่บรรพบุรุษของเราเคยไปถึงที่นั่นนะ" กบอีกตัวซึ่งอยู่แถวหลังแย้ง

"บรรพบุรุษหลอกเราเพื่อสร้างความเก่งกล้าให้ตัวเองน่ะสิ ทางแบบนี้จะมีใครปีนไปถึงได้ล่ะ ไม่มีทางหรอก" กบแถวหน้าอีกตัวโต้

พวกกบแถวหลังเมื่อเห็นกบแถวหน้าซึ่งมีความแข็งแรงมากยังพูดถึงขนาดนี้ก็ชักจะคล้อยตามไปโดยง่าย สุดท้ายพวกมันจึงชวนกันปีนตามลงมาด้วย

"กลับเถอะ พวกเราไม่มีทางปีนขึ้นไปได้หรอก เสียเวลาเปล่า ๆ" พวกกบที่ปีนลงเขาป่าวประกาศให้เพื่อน ๆ ที่กำลังปีนสวนทางขึ้นไปรู้ "ขนาดกบที่แข็งแรงที่สุดในฝูงยังปีนไม่ไหวเลย แล้วเราจะปีนได้อย่างไร กลับลงไปเถอะ"

พวกกบแถวหลัง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็เชื่อสนิทใจคิดว่าทางข้างหน้าคงลำบากมาก และพวกตนคงไม่มีทางปีนขึ้นไปได้จริง ๆ จึงชักชวนกันกลับ ไม่ปีนขึ้นเขาอีกต่อไป

เมื่อกบทุกตัวปีนลงมา พวกมันก็สังเกตเห็นว่ามีสมาชิกในฝูงตัวหนึ่งหายไป

"ใครหายไปหนึ่งตัว" พวกกบร้องถามกันและกันด้วยความเป็นห่วงเพื่อน แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจดังลงมาจากยอดเขายายกะตาว่า

"ข้าถึงแล้ว! ข้ามาถึงแล้ว!"

กบที่อยู่เชิงเขามองขึ้นไปบนยอดเขายายกะตา แล้วพวกมันก็เห็นกบตัวหนึ่งกระโดดเริงร่าอยู่บนนั้น

"ข้ารู้แล้วว่า ทำไมที่นี่จึงมีชื่อว่า ยอดเขายายกะตา ก็เพราะมีรูปปั้นยายกะตาที่ใจดีอยู่บนนี้นี่เอง..ว่าแต่ทำไมเพื่อน ๆ ถึงลงไปกันหมดล่ะ..แต่ไม่เป็นไร ข้าจะขอพรจากรูปปั้นนี้ และขอเผื่อเพื่อน ๆ ด้วยก็แล้วกันนะ"

เหล่ากบมองหน้ากันด้วยความฉงน เหตุใดกบตัวนั้นจึงเอาชนะความยากลำบากปีนไปถึงยอดเขายายกะตาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อกบตัวนั้นปีนลงมา พวกกบตัวอื่น ๆ ก็พากันเข้าไปแสดงความยินดีด้วยใจจริง และรุมถามข้อข้องใจเป็นการใหญ่

"ทำไมเจ้าถึงปีนไปถึงนั่นได้ล่ะเพื่อน เมื่อกบที่แข็งแรงบอกว่าเราไม่อาจขึ้นไปถึงบนนั้นได้ ทำไมเจ้าไม่เชื่อเล่า"

กบตัวนั้นได้แต่ยิ้มหน้าแฉล้ม

"ว่าอย่างไร ทำไมไม่ตอบ" เพื่อนกบถามอีก

กบตัวนั้นก็ยิ้มตอบเพื่อน ๆ อีก

"เอ๊ะ! เจ้านี่มันกวนเสียจริง" เพื่อนกบชักหงุดหงิดที่ไม่ได้คำตอบเสียที แต่แล้วกบตั้วนั้นก็พูดขึ้นมาว่า

"ดูเหมือนเพื่อนจะโกรธอะไรข้าสักอย่างนะ แต่อย่าได้โกรธไปเลย เพราะข้าหูหนวกมานานแล้ว ไม่ได้ยินที่เพื่อนพูดหรอก"

พวกกบได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่า เหตุใดกบตัวนี้จึงปีนขึ้นไปถึงยอดเขายายกะตาได้ นั่นก็เพราะมันหูหนวกจึงไม่ได้รับฟังคำพูดของใครที่ทำให้ตนคิดท้อถอย สามารถปีนไปถึงยอดเขายายกะตา ได้รับพรจากรูปปั้นยายกะตา และได้รางวัลสุดยอดกบไปครองในที่สุด

บทสรุปของผู้แต่ง

หนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จทั้ง ๆ ที่เห็นเป้าหมายของชีวิตอยู่ตรงหน้าแล้วก็คือ "การฟังคนอื่นมากเกินไป" นั่นเอง

เราอาจเป็นคนยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องแยกแยะให้ถูกด้วยว่า ความคิดเห็นอันไหนติเพื่อก่อ หรืออันไหนไม่มีประโยชน์ที่จะสนใจ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรด้วยใจรัก และคิดไตร่ตรองดูแล้วว่า สิ่งนั้นทำให้ชีวิตของเรามีความสุข และไม่เบียดเบียนใคร เราก็จงตั้งใจทำให้บรรลุผลเถิด ถ้าเมื่อใดมีคำบ่นว่าอย่างไร้ประโยชน์ส่งมาถึงตัวก็ขอให้ทำเป็นหูหนวกเสีย ไม่อย่างนั้นเราจะเหน็ดเหนื่อยกับการไล่ตามความคิดของคนอื่น และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปในที่สุด

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อกลับบทบาทกัน และเราเป็นคนพูดถึงเป้าหมายในชีวิตของผู้อื่น ก็ขอให้พูดแสดงความคิดเห็นแต่ในข้อที่เป็นประโยชน์แก่เขา ให้กำลังใจเขา อย่าด่วนสรุปความคิดและเป้าหมายของเขาว่าเป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราเองต่างหากที่เป็นคนใช้ไม่ได้ การทำลายความหวัง และความฝันของคนอื่น ไม่ต่างกับการฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเป็นเรื่องที่คนดี ๆ ไม่ทำกัน

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ผมอยากได้รองเท้า

นิทานสอนใจ : ผมอยากได้รองเท้า


มีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมปลายนา พ่อแม่มีอาชีพทำนา ส่วนลูกชายคนเดียวอายุสิบขวบเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้าน มาระยะหลังฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวในนาก็ไม่ออกรวงสวยเหมือนแต่ก่อนและพากันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พ่อกับแม่ก็เห็นว่า ถ้าดันทุรังอยู่ต่อไปคงได้อดตายกันทั้งสามคน และลูกก็ไม่ได้เรียนหนังสือ พวกเขาจึงตัดสินใจพาลูกชายอพยพเข้าไปอยู่ในเมืองและหางานทำ แต่งานก็หายากเต็มที ในที่สุดทั้งสองก็ใช้เงินที่พอมีติดตัวไม่มากลงทุนค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาของลูกชายจนหมด

โรงเรียนในเมืองต่างจากโรงเรียนในชนบทลิบลับ นอกจากค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกจิปาถะที่มีมากกว่าแล้ว เด็กนักเรียนในเมืองยังมีอุปกรณ์การศึกษาครบครัน และมีชุดนักเรียนขาว ๆ ใส่กันอีกด้วย ลูกชายชาวนานั้นเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ในโรงเรียนชนบทก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพราะเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่นั่นต่างเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ชุดนักเรียนเก่าแค่ไหนก็ใส่ได้ ไม่อายเพื่อน แต่สำหรับโรงเรียนในเมืองแล้ว ความขาดแคลนถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น

วันหนึ่งลูกชายกลับมาที่ห้องเช่าเล็ก ๆ และบ่นกับพ่อแม่ว่า ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว

"ทำไมล่ะลูก" ผู้เป็นแม่ถามด้วยความตกใจ เพราะการศึกษาคือสมบัติยั่งยืนอย่างเดียวที่แม่ผู้ขาดแคลนอย่างนางจะหามาให้ลูกได้ ขอเพียงลูกตั้งใจเรียนเท่านั้นนางก็ไม่เหนื่อยเลย

"ผมอายเพื่อน" ลูกชายบอก "เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนใส่ชุดนักเรียนสะอาด ๆ ทั้งนั้น แล้วทุกคนก็ใส่ถุงเท้ากับรองเท้ากันหมดเลย มีผมคนเดียวที่ใส่เสื้อเหลืองอ๋อยไปโรงเรียน แถมยังเดินเท้าเปล่าไปอีก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง ผมไม่ชอบเลย"

"เราไปโรงเรียนเพื่อหาความรู้นะ ไม่ได้ไปประชันชุดสวยกับใคร ลูกไม่น่าจะคิดมาก" ผู้เป็นพ่อติง แต่คนเป็นแม่เข้าใจจิตใจของลูกดี นางหันไปบอกสามีว่า

"อย่าว่าลูกเลยนะพี่ เราพาลูกมาอยู่ในเมืองเขาก็เห็นเพื่อนมีของใช้ดี ๆ ก็ต้องอยากมีเหมือนคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา อันที่จริงชุดนักเรียนของลูกก็เริ่มจะคับแล้ว ถึงลูกไม่พูดฉันก็คิดจะซื้อให้แกใหม่อยู่พอดีน่ะแหละ"

ผู้เป็นพ่อเงียบไป เขาติดตามและเริ่มเห็นด้วยกับภรรยา ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีไม่ขัดก็หันมาบอกลูกชายว่า "แม่ต้องขายของเก็บเงินอีกสักสองสามวันก่อนนะ แต่ก็คงซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่ให้ลูกได้แค่สองชุด ลูกต้องซักและผลัดกันใส่เอาเอง"

"ได้ครับแม่" ลูกชายรีบรับคำพร้อมกับยิ้มแฉ่ง

สามวันต่อมา แม่ก็ซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่มาให้ลูกชายสองชุด ลูกชายเห็นแล้วดีใจมากถึงกับกระโดดโลดเต้น แต่เขาก็หารองเท้านักเรียนไม่เจอ จึงร้องถามแม่ว่า

"รองเท้านักเรียนล่ะครับ ถุงเท้าด้วย"

ผู้เป็นพ่อกุมขมับและร้องขึ้นมาทันที "โอยลูก แกจะเอาอะไรจากพ่อแม่นักหนา แค่เสื้อผ้าสองชุดนั้น เงินเก็บของเราก็แทบจะหมดบ้านอยู่แล้ว นี่พ่อกับแม่ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของมาขายต่อ"

"แต่ถ้าไม่มีรองเท้า ผมก็ไม่อยากไปโรงเรียน" เด็กชายหันไปออดอ้อนแม่ "ผมจะเดินได้อย่างไรถ้าไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียน แม่ก็รู้ว่าดินในเมืองมันร้อนขนาดไหน"

"โรงเรียนใกล้แค่นี้ ทนร้อนนิดเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า" ผู้เป็นพ่อพูดเสียงแข็ง "ความรู้อยู่ที่รองเท้าหรือไง มันอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียรของแกต่างหาก"

"อย่าดุลูกนักเลยพี่ ลูกกลัวไปหมดแล้ว" แม่ปรามพ่อก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายว่า "ลูกเอ๋ย แม่ก็อยากให้ลูกมีเหมือนเพื่อน ๆ นั่นแหละ แต่แม่ไม่มีเงินเหลือแล้วจริง ๆ ลูกอดทนเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียนอีกสักพักเถอะนะ"

เด็กชายปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าจะไม่มีทางได้ใส่รองเท้าไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขานั่งร้องไห้ทั้งคืนจนผล็อยหลับไป

รุ่งเช้าเด็กชายงอแงจะไม่ไปโรงเรียนเพราะไม่มีรองเท้านักเรียนใส่ เขาเอาแต่พูดว่า "ผมอยากได้รองเท้า...ผมอยากได้รองเท้า" อยู่อย่างนั้น คนเป็นพ่อไม่สนใจเดินไปจัดของใส่รถเข็นเพื่อนำออกขาย แต่คนเป็นแม่สงสารลูกชายจึงเฝ้าปลอบโยน และพูดให้เห็นถึงความสำคัญของการไปโรงเรียน จากนั้นจึงเดินไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเอง

เด็กชายออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็ทำหน้าเบ้ "โอย ผมแสบเท้าครับแม่ แม่ดูสิผมไม่มีรองเท้าใส่แล้วผมจะไปโรงเรียนได้อย่างไร" พูดจบก็ร้องไห้ออกมาอีก ผู้เป็นแม่นั้นมีใจสงสารลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังใจแข็งกึ่งจูงกึ่งลากจนพาลูกไปถึงหน้าประตูโรงเรียนจนได้ ลูกชายก็ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด และในตอนนั้นเองที่เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เด็กคนนั้นต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เพราะขาของเขาด้วนไปข้างหนึ่ง เขาเดินด้วยความยากลำบาก แต่ก็ยังพยายามเดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านหน้าเด็กชายและแม่ของเขาเข้าไปข้างในโรงเรียน สองแม่ลูกมองเด็กคนนั้นด้วยความตกตะลึง

"ผมไม่อยากได้รองเท้าแล้วครับแม่ แค่มีเท้าสองข้างให้เดินไปไหนได้สะดวกก็เป็นบุญมากแล้ว ต่อไปผมจะไม่ร้องไห้เอาร้องเท้าจากแม่อีก ผมสัญญาครับ" ลูกชายหันไปพูดกับแม่ของเขาในที่สุด

บทสรุปจากผู้แต่ง

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่คงมีหลายครั้งทีเดียวที่เราคิดว่าเราไม่มีในสิ่งที่ควรจะมี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสิ้งนั้นไว้เลยก็ได้ แต่ที่เราอยากได้ก็เพราะว่าคนอื่นมี แต่เรายังไม่มีต่างหาก

ในขณะที่เราเองคิดว่าตัวเองโชคร้าย ไม่มีความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ และหมดกำลังใจที่จะทำสิ่งใด เราเคยหันมองคนอื่นบ้างไหม ทำไมเขายังอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีน้อยกว่าเราเองเสียอีก ถ้าเราเป็นนักเรียน เราอาจจะหมดกำลังใจไปโรงเรียนเพราะไม่ใช่คนเรียนเก่ง และในโรงเรียนก็สอนแต่วิชาการน่าเบื่อทั้งวัน แต่ในขณะที่เราเองกำลังหาวด้วยความเบื่อหน่ายนั้น เด็ก ๆ อีกมากมายกลับต้องทำงานและถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณอยู่ในโรงงานนรกที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เด็กพวกนี้อยากมีชีวิตอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แค่ได้รู้จักชีวิตแบบนั้นสักวินาทีก็ยังดี แต่พวกเขาทำไม่ได้เพราะไม่มีโอกาส

ดังนั้นถ้าเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ซึ่งไม่ค่อยซื้ออะไรให้เลย ทำให้ต้องหัวเสียกระฟัดกระเฟียดใส่พ่อแม่อยู่บ่อย ๆ และนินทาว่าท่านตระหนี่เหลือร้าย แต่รู้หรือไม่ว่า เด็ก ๆ อีกหลายคนต้องเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ถ้าคิดว่าบ้านของเราหลังเล็กเกินไป ลองนึกถึงคนที่นอนใต้สะพานดูเถิด เขาพอใจเพียงได้อะไรสักอย่างหนึ่งมากันแดดกันฝนไปวัน ๆ และถ้าเราคิดว่ารถของเราเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว คนที่ต้องวิ่งตากฝนอยู่บนถนน คนที่ต้องยืนโหนรถเมล์เป็นชั่วโมง ๆ ลองคิดดูว่า เราโชคดีแค่ไหนกับชีวิตในทุกวันนี้

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ความสุขของนานา

นิทานสอนใจ : ความสุขของนานา


มีครอบครัวของผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ และบุตรสาวแสนน่ารักอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า "นานา" นานาเป็นบุตรสาวที่พ่อแม่ของเธอรักดั่งแก้วตาดวงใจ อะไรที่เป็นความสุขของนานา พ่อกับแม่ก็จะสรรหามาให้

แม้จะดูเหมือนเป็นเด็กที่ถูกตามใจ แต่นานาซึ่งเป็นเด็กน่ารักก็ไม่เคยใช้ความรักของพ่อแม่มาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ไม่เหมาะสม นานารู้ว่าพ่อแม่รักเธอมาก ถ้าเธอเป็นเด็กดี พ่อกับแม่ก็จะมีความสุข แต่ถ้าเธอเป็นเด็กไม่ดีพ่อกับแม่ก็จะทุกข์ทรมาน นานาอยากให้พ่อกับแม่มีความสุข ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะเป็นเด็กดี และประพฤติแต่ในสิ่งที่ดี ๆ ซึ่งก็ทำให้พ่อแม่ของเธอมีความสุขมากจริง ๆ

วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบสองขวบของนานา พ่อกับแม่จึงถามเธอว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ "หนูอยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่มีรอยยิ้มของเด็กมากมายมาร่วมฉลองกับหนูด้วยค่ะ" นานาบอกพ่อกับแม่พร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ ซึ่งกุมเอาทั้งหัวใจของพ่อและแม่ของเธอไว้ได้ทั้งหมด

"ได้สิจ๊ะลูก พ่อกับแม่จะจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ให้กับหนู และเชิญเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนทุกคนมาร่วมงานนี้ด้วย” พ่อของนานารีบสนองความต้องการของบุตรสาว แต่นานาไม่ได้ต้องการแบบนี้ เธอจึงกล่าวค้านว่า

"ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หนูไม่ต้องการฉลองกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เพราะว่าเพื่อน ๆ ทุกคนล้วนมีทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพร้อมอยู่แล้ว พวกเขาอาจจะยิ้มและหัวเราะที่ได้ร่วมสนุกในงาน แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่อยากจะยิ้มจริง ๆ หนูอยากเห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ ที่อยากจะยิ้ม แต่ไม่เคยได้ยิ้มต่างหากละคะ"

พ่อกับแม่เข้าใจในสิ่งที่นานาพูดทันที ด้วยความเป็นคนโอบอ้อมอารี นานาจึงอยากมอบความสุขในวันเกิดของเธอให้คนอื่น ๆ ด้วยนั่นเอง ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงติดต่อไปที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เพื่อขอจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาที่นั่น ซึ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าก็ตอบรับกลับมาอย่างยินดียิ่ง ดังนั้นครอบครัวของนานาจึงช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ และขนมมากมายให้เพียงพอแก่เด็กกำพร้าที่นั่น

เมื่อไปถึง มีเด็กมากมายยืนรออยู่แล้ว หลังจากจัดสถานที่เสร็จงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น

"ตายแล้ว!" แม่ของนานาร้องลั่น "ฉันหยิบเทียนวันเกิดมาไม่ครบ ขาดไปตั้งสามเล่มแน่ะ”

"ทำไมคุณไม่รอบคอบเลยนะ" พ่อของนานาต่อว่าภรรยา "นานาอายุครบสิบสองขวบวันนี้ แต่คุณกลับเอาเทียนมาแค่เก้าเล่ม ลูกต้องเสียใจแน่ที่มีเทียนปักอยู่บนเค้กของแกไม่ครบ"

แต่นานาเดินมาได้ยินเข้าพอดี เธอจึงเข้าไปหาพ่อกับแม่แล้วบอกอย่างอารมณ์ดีว่า "อย่าทะเลาะกันเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้หนูเสียใจหรอกค่ะ"

ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงเลิกต่อว่ากัน และหันไปบอกเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าว่า "ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็พร้อมแล้ว เริ่มงานเลี้ยงกันเลยเถิดค่ะ เอาล่ะนานาเตรียมอธิษฐานแล้วตัดเค้กนะลูก"

แต่เจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะ และกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า "เอ่อ...ขอความกรุณาคอยอีกประเดี๋ยวได้ไหมคะ ยังมีเด็กอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะวันนี้แกงอแงแต่เช้า ไม่ยอมออกจากห้องเลย แต่มีเจ้าหน้าที่ไปรับตัวแกมาแล้ว ช่วยรออีกนิดเถิดนะคะ โมโมแกไม่เคยได้เห็นงานแบบนี้ ไม่เคยได้กินขนมเค้กนี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรกในชีวิตแก"

ทันทีที่พูดจบ เจ้าหน้าที่อีกคนก็จูงโมโมเดินเข้ามาในงาน ดูแวบแรกใคร ๆ ก็รู้ว่าโมโมไม่เต็มใจที่จะมางานนี้นัก หน้าของเธอบิดเบี้ยวเหมือนคนเจ็บทรมาน และแววตาของเธอดูไม่เป็นมิตรกับใคร ๆ เลยแต่ทันใดนั้นเอง เมื่อสายตาของโมโมหันไปเห็นขนมเค้กแสนสวย ปักเทียนเก้าเล่มตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สีหน้าและแววตาของโมโมก็เปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคยบิด ๆ เบี้ยว ๆ ของโมโมบัดนี้กลับยิ้มแฉ่ง ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายสดใส ผิดจากเมื่อครู่เหมือนคนละคน

"ทุกคนรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบเก้าขวบของหนู หนูขอตัดเค้กเลยได้ไหมคะ" โมโมร้องอย่างดีใจยิ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าได้ยินโมโมพูดอย่างนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

ในที่สุดเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ขอให้ครอบครัวของนานารอโมโมก่อนเมื่อครู่ก็ตัดสินใจเดินไปหาพ่อและแม่ของนานา และพูดอย่างอึกอักว่า “ได้โปรดเถิดค่ะ ได้โปรดมอบเค้กก้อนนั้นให้แก่โมโม ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่โมโมไม่เคยยิ้มอย่างนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่แกยิ้มได้ เพราะฉะนั้นได้โปรดให้โมโมได้ตัดเค้ก และคิดว่าพวกเราจัดเตรียมทุกอย่างนี้มาเพื่อแกเถิดนะคะ"

พ่อกับแม่ของนานาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ขอมากเกินไป พวกเขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาบุตรสาวสุดที่รัก และอุตส่าห์นึกถึงเด็ก ๆ ที่นี่ แต่ทำไมคนที่นี่ ถึงกล้ามาบอกให้พวกเขาเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกันนี้ให้กับเด็กอีกคนหนึ่งได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่พ่อและแม่ของนานาจะกล่าวคำปฏิเสธ นานาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "ได้สิคะ หนูจะมอบเค้กวันเกิดของหนูให้แก่เด็กคนนั้น นอกจากนั้นหนูก็คิดว่า เราควรร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้เธอโดยเอ่ยชื่อของเธออีกด้วย"

เจ้าหน้าที่ได้ยินนานากล่าวอย่างจริงใจเช่นนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง เธอกล่าวขอบคุณนานาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการใหญ่ ฝ่ายพ่อกับแม่ของนานาก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมทั้งสนเท่ห์ใจในการตัดสินใจของนานาเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเป็นความต้องการของบุตรสาว ทั้งคู่ก็ยินยอมตามนั้นโดยไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไรอีก งานวันเกิดของนานาจึงถูกเปลี่ยนเป็นของโมโมไปโดยปริยาย และโมโมก็ดูมีความสุขมากที่ได้ตัดเค้กวันเกิด

เมื่อครอบครัวของนานากลับถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่ยังกลัวว่านานาจะเสียใจที่ไม่ได้ตัดเค้กวันเกิดจึงพูดปลอบใจนานาเป็นการใหญ่

"ไม่เป็นไรนะนานาลูกรักของพ่อ เดี๋ยวพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ลูกใหม่" พ่อของนานาว่า "และแม่ก็จะทำเค้กก้อนใหญ่กว่าเก่าให้ลูกด้วย" แม่ของนานาเสริม

แต่นานาไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เลย เธอยิ้มน้อย ๆ ให้พ่อกับแม่ ก่อนจะตอบว่า "ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อคุณแม่ เพราะหนูได้เห็นรอยยิ้มจากคนที่ยิ้มยากที่สุด ด้วยเค้กวันเกิดของหนู หนูมีความสุขมากเหลือเกินกับรอยยิ้มของเด็กคนนั้น และนี่ก็ถือเป็นงานฉลองวันเกิดที่วิเศษที่สุดของหนูแล้วค่ะ"

บทสรุปของผู้แต่ง

พอจะเข้าใจไหมว่า เพราะอะไร เด็กหญิงนานาจึงมีความสุขเมื่อเธอต้องเสียเค้กวันเกิดของเธอให้แก่เด็กคนอื่นไป ถ้าเราเป็นนานา เราจะมีความสุขอย่างเด็กหญิงคนนี้ หรือรู้สึกเศร้าใจที่สูญเสียสิ่งที่เธอเองก็ต้องประสงค์ไปเล่าในกรณีของเด็กหญิงนานา เพราะเธอรู้จักการ 'ให้' อย่างแท้จริง ดังนั้นเธอจึงมีความสุขที่การสูญเสียของเธอทำให้อีกคนหนึ่งมีความสุขยิ่งกว่า เนื่องจากคนเรานั้นหากทำอะไรเพื่อตัวเองเพียงฝ่ายเดียวอยู่ตลอดเวลาก็มักจะไม่เคยลิ้มรสแห่งความสุขที่แท้จริงได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น เราก็จะได้รู้จักกับความสุขแท้จริงซึ่งมีมากกว่า ถ้าอยากมีความสุขแท้จริงบ้าง เราก็ควรรู้จักการ 'ให้' อย่างที่นานาได้รู้จักมาแล้ว

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : หัวใจของนิสรีน

นิทานสอนใจ : หัวใจของนิสรีน


นิสรีนเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม หากเปรียบไปแล้วก็เหมือนดั่งดอกไม้ตูมที่กำลังเริ่มผลิบาน นิสรีนเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผิวของเธอ ขาวนุ่มดุจหิมะในฤดูหนาว และผมยาวสลวยของเธอนั้นมีสีดำเงางามดั่งไม้มะเกลือ นอกจากความงดงาม ในรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นิสรีนยังมีกิริยามารยาทที่งดงามน่าเอ็นดูสมเป็นกุลสตรี และมีจิตใจเมตตากรุณาแก่ทุกคน ดังนั้นเธอจึงเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ รวมไปถึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเดียวกันอีกด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่ในสวนตามลำพัง นิสรีนเกิดความรู้สึกว่าตนเองหายใจขัด และเจ็บหน้าอกด้านซ้ายอย่างรุนแรง เด็กสาวเจ็บปวด และทรมานมากจนแทบจะยันกายยืนไว้ไม่ไหว แต่ด้วยความเข้มแข็งที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในใจ และความคิดถึงที่มีต่อพ่อกับแม่มากในตอนนั้น ทำให้นิสรีนแข็งใจพาร่างของตนเดินกลับไปถึงบ้านได้ในที่สุด พ่อกับแม่ของนิสรีนรีบเชิญหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจดูอาการของบุตรสาวทันที หมอประจำหมู่บ้านใช้เวลาตรวจอยู่สักครู่ก็ออกมารายงายผลการตรวจ ซึ่งทำให้พ่อกับแม่ของเด็กสาวแทบล้มทั้งยืน

"ข้าเสียใจด้วย นิสรีนน้อยมีปัญหาที่หัวใจ และเธอคงจะอยู่กับเราได้ไม่นาน"

"ไม่มีวิธีใดรักษาลูกสาวข้าให้หายได้เลยหรือท่านหมอ แม้จะต้องใช้เงินทองมากมายเพียงไร ข้าก็จะหามาให้ท่าน ขอเพียงช่วยชีวิตลูกสาวของข้าให้ได้เท่านั้น" พ่อของนิสรีนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

"ข้าเสียใจด้วยจริง ๆ ตอนนี้เรายังไม่มีวิธีรักษาโรคหัวใจให้หายขาดได้หรอก โธ่..นิสรีนน้อยผู้น่าสงสาร หากมีวิธีใดที่ข้าจะช่วยลูกสาวท่านได้ ข้าไม่รอช้าแน่" หมอประจำหมู่บ้านให้คำมั่น แต่ทว่าเป็นคำมั่นที่แลดูเศร้าสร้อยมาก

พ่อกับแม่ไม่ได้ปิดบังความจริงแก่นิสรีน เพราะคนในครอบครัวนี้ ไม่เคยกล่าวคำเท็จแก่กัน นิสรีนนั่งฟังเรื่องเกี่ยวกับโรคร้ายของเธออย่างสงบ แล้วแย้มยิ้มกับพ่อและแม่เพื่อให้ทั้งสองคลายกังวลว่า "อย่ากังวลไปเลยจ้ะ พ่อจ๋าแม่จ๋า ลูกไม่เป็นไรหรอก ได้รู้ความจริงอย่างนี้ก็ดีแล้ว ลูกจะได้ใช้เวลาที่เหลือในแต่ละวันของลูกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และคุ้มค่ามากที่สุด"

แม้จะไม่มีวิธีรักษาโรคหัวใจของนิสรีนให้หายขาด แต่นิสรีนก็ต้องไปพบหมอประจำหมู่บ้านที่โรงหมอเพื่อรับยาบรรเทาอาการปวดทรวงอกมากินทุกวัน อันเป็นวิธีรักษาเพียงวิธีเดียวในตอนนี้ที่หมอประจำหมู่บ้านพอจะช่วยเยียวยาเธอได้

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นิสรีนกำลังรอรับยาในโรงหมออยู่นั้น ชายคนหนึ่งท่าทางยากจนได้อุ้มเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เข้ามาในโรงหมอเพื่อรอรับการรักษา เมื่อเด็กหญิงคนนั้นเห็นนิสรีนก็ส่งยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา นิสรีนยิ้มตอบอย่างใจดี แต่ก็แอบจับสังเกตได้ว่า เด็กคนนี้ตัวเล็กและผอมเซียวผิดจากเด็กทั่ว ๆ ไป และสีหน้าของพ่อเธอก็ดูอมทุกข์และเศร้าสร้อยมาก นิสรีนจึงนึกสงสัยว่า เด็กน้อยคนนี้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอันใดหนอ

"ขอโทษนะคะคุณน้า" นิสรีนกล่าวขึ้นกับพ่อเด็กหญิงหลังจากที่เขาปล่อยให้ลูกสาวไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้น "ไม่ทราบว่าลูกสาวของคุณน้าป่วยด้วยโรคอะไรหรือคะ จึงทำให้คุณน้าดูเศร้าสร้อยถึงเพียงนี้"

ชายผู้นั้นหันมามองนิสรีนด้วยแววตาเศร้าหมอง ก่อนจะตอบอย่างไร้กำลังว่า

"น้ามียาย่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เมื่อปีที่แล้วแม่ของแกเพิ่งป่วยตายไป หลังจากนั้นอีกสามเดือน น้าก็พบว่ายาย่าป่วยด้วยโรคเนื้อร้ายที่ยากจะรักษาได้ และต้องรอความตายเพียงอย่างเดียว"

"แต่ก็พอมีทางรักษาไม่ใช่หรือคะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ แกต้องหายแน่" นิสรีนให้กำลังใจ แต่ชายผู้นั้นกลับมีสีหน้าทุกข์ระทมยิ่งกว่าเก่า


"ไม่หรอกหนู...ที่ประเทศของเรา ยังไม่มีหมอรักษาโรคนี้เลย ดังนั้นยาย่าจะไม่มีวันหายหรอก หากไม่ได้เดินทางไปรักษายังประเทศโพ้นทะเลโน้น และนั่นต้องใช้เงินมากทีเดียว ตัวน้าเองก็เป็นเพียงช่างทำรองเท้าจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนเล่า"

นิสรีนรู้สึกสงสารช่างทำรองเท้า และลูกสาวของเขามาก โดยเธอเก็บเอาเรื่องนี้มานอนคิดที่บ้านและอยากหาทางช่วยเหลือให้เด็กคนนี้ได้รับการรักษา แม้ครอบครัวของนิสรีนจะจัดได้ว่าเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง แต่ทรัพย์สมบัติในครอบครัวเธอก็คงไม่พอที่จะช่วยให้เด็กน้อยยาย่าได้รับการรักษายังประเทศโพ้นทะเลได้

อีกประการหนึ่ง เธอก็ไม่อยากรบกวนทรัพย์สมบัติของพ่อและแม่มากเกินไป เพราะอยากให้ทั้งสองได้ใช้ทรัพย์สมบัติที่มีเลี้ยงดูตนเองให้กินดีอยู่ดีจนชั่วชีวิตแทนตัวเธอที่คงไม่มีโอกาสอยู่ดูแลพ่อแม่ไปจนแก่เฒ่า

นิสรีนหมกมุ่นครุ่นคิดถึงวิธีช่วยเด็กน้อยยาย่าอยู่หลายวันหลายคืน จนกระทั่งคืนหนึ่ง เธอก็คิดได้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเด็กคนนี้ โดยไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมากนัก เมื่อคิดได้ดังนั้น นิสรีนจึงแจ้งความคิดนี้แก่พ่อและแม่ของเธอในทันที

"ลูกตัดสินใจว่าจะวิ่งไปทั่วประเทศ ผ่านทุกเขตการปกครอง ผ่านทุกหมู่บ้านเพื่อขอรับเงินบริจาคมาช่วยยาย่าผู้น่าสงสารให้ได้เดินทางไปรักษาตัวยังประเทศโพ้นทะเล"

พ่อกับแม่ของนิสรีนตกใจมาก ต่างพากันทัดทานเป็นการใหญ่ "ลูกกำลังเจ็บป่วยมากนะ ลืมไปแล้วหรือ...ลูกรัก พ่อกับแม่ไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงชีวิตเช่นนั้นหรอก"

พ่อของนิสรีนกล่าวแก่บุตรสาว แต่ตัวเธอนั้นมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนมองข้ามตัวเองไปนานแล้ว "พ่อจ๋า แม่จ๋า...ลูกไม่ลืมหรอกว่าลูกกำลังป่วยหนัก และกำลังจะตาย แต่เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่าลูกจึงอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ของลูกทำสิ่งที่ดีที่สุดก่อนที่ลูกจะตาย โรคร้ายของลูกนั้นไม่มีทางรักษา แต่โรคร้ายของเด็กคนนั้น อาจหายได้ถ้าเขาได้รับโอกาสนะจ๊ะ" นิสรีนกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..มันจะไม่เสียแรงเปล่าหรือลูก ลองคิดดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่ให้เงินลูก เขาจะเชื่อหรือว่าลูกทำไปเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่หลอกเอาเงินเขาไปใช้เอง ในเมื่อเขาก็ไม่รู้จักลูกสักหน่อย" แม่ของนิสรีนว่า "ลูกไม่รู้หรอกจ้ะแม่ว่าสิ่งที่ลูกทำจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ลูกอาจจะได้รับเงินบริจาคกลับมามากมาย หรืออาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่ลูกก็เชื่อว่าความตั้งใจของลูกจะส่งผลดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรืออย่างน้อยเมื่อลูกตายไปแล้ว ดินแดนแห่งความสุขหลังความตายจะได้อ้าแขนรับลูกอย่างเต็มใจอย่างไรล่ะจ๊ะ"

เมื่อไม่อาจเปลี่ยนจิตใจอันแน่วแน่ของบุตรสาวได้ พ่อกับแม่ของนิสรีนจึงปรับเปลี่ยนทัศนคติแล้วหันมาสนับสนุนสิ่งที่เธอทำอย่างเต็มที่ พวกเขาทำแผนที่เส้นทางการเดินทาง ในประเทศให้แก่นิสรีนจ้างม้าข่าวไปกระจายข่าวยังหมู่บ้าน และเขตการปกครองต่าง ๆ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้การวิ่งรับเงินบริจาคของนิสรีนบรรลุผลมากที่สุด นิสรีนเริ่มออกวิ่งตามลำพัง ไปยังที่ต่าง ๆ ตามแผนที่ที่พ่อกับแม่ทำไว้ให้ ระหว่างทางเธอได้พบเจอผู้คนมากมาย และได้พูดคุยกับคนเหล่านั้นอย่างมีอัธยาศัยถึงเหตุผลที่เธอต้องวิ่งรอบประเทศเพื่อหาเงินบริจาค ทำให้ทุกคนที่ได้พูดคุยกับนิสรีนรู้สึกชื่นชมในน้ำใจของเธอยิ่งนัก จึงยินยอมมอบเงินบริจาคให้ด้วยความจริงใจ อีกทั้งยังไปชักชวนเพื่อน ๆ และคนรู้จักให้มาร่วมบริจาคกับเธออีกด้วย


การกระทำของนิสรีน เป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปาก และแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ทุกคนเฝ้ารอการมาถึงของเธอ และบางคนก็ขอวิ่งไปเป็นเพื่อนเธอด้วย ดังนั้นนิสรีนจึงได้รับเงินบริจาคเพิ่มมากขึ้นในทุกที่ และได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ต่อมา เรื่องนี้ก็แพร่เข้าไปในมหาปราสาทจนความทราบไปถึงจ้าวผู้ครองประเทศ จ้าวผู้ครองประเทศจึงสั่งให้ทหารไปสืบสาวความจริงเกี่ยวกับนิสรีน และการวิ่งขอเงินบริจาคของเธอ เมื่อรู้เรื่องทั้งหมด จ้าวผู้ครองประเทศได้กล่าวคำชื่นชมนิสรีน จากนั้นจึงมีคำสั่งให้ทหารองครักษ์สามนายร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อคุ้มครองนิสรีน และให้ความช่วยเหลือเธอตามความเหมาะสม

นอกจากนั้นยังสละเงินส่วนตัวจำนวนมากบริจาคให้แก่การเดินทางของนิสรีนอีกด้วย หลายคนคิดว่า เงินที่นิสรีนหาได้ตอนนี้น่าจะมากพอแล้วสำหรับการรักษายาย่า จึงขอให้เธอหยุดวิ่งด้วยความเป็นห่วงว่าโรคหัวใจของเธอจะกำเริบ แต่นิสรีนยังคงวิ่งต่อไปตามความตั้งใจเดิม เพราะเธอรู้ว่ายังมีคนอีกมากมาย กำลังรอคอยที่จะทำความดีร่วมไปกับเธอ ซึ่งความช่วยเหลือจากจ้าวผู้ครองประเทศก็ทำให้การเดินทางของเธอราบรื่นและรวดเร็วขึ้นมาก จนกระทั่งการวิ่งขอรับเงินบริจาคของเธอเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าเวลาที่คาดหมายเอาไว้ เมื่อนิสรีนนำเงินไปให้ พ่อของเด็กหญิงยาย่าซาบซึ้งใจจนถึงกับร้องไห้ และลงไปนั่งคุกเข่า พร่ำกล่าวคำสรรเสริญเธอด้วยใจจริง นิสรีนห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้น และบอกว่า

"ความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนูคนเดียว แต่มาจากทุก ๆ คนที่ได้มอบเงินบริจาคมาให้ด้วยความศรัทธา และความเชื่อมั่นของพวกเขา พวกเขาอยากให้ยาย่าได้รับการรักษา และมีชีวิตที่สดใสต่อไปค่ะ"

เด็กน้อยยาย่า ได้เดินทางไปรักษาโรคเนื้อร้ายของเธอ ยังประเทศโพ้นทะเล พ่อของเธอส่งข่าวมาให้นิสรีน และผู้บริจาคเงินทั้งหลายทราบเป็นระยะ ๆ ว่า เงินของพวกเขานั้นได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของยาย่าให้ดีขึ้นมากมายเพียงไร และหมอบอกว่ายาย่ากำลังจะหายจากโรคร้ายได้ในไม่ช้านี้

ส่วนนิสรีนนั้น หลังกลับมาจากการวิ่งรับเงินบริจาคช่วยเหลือยาย่าแล้วก็เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ใจขึ้น เมื่อหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจเธออีกครั้ง แล้วพบว่าหัวใจของเธอเป็นปกติดี ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใดดังที่เคยตรวจพบก่อนหน้านี้ สร้างความยินดีให้แก่พ่อแม่และคนที่รู้จักนิสรีนเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นนิสรีนสาวน้อยผู้มีหัวใจมุ่งมั่นก็ใช้ชีวิตของเธออย่างมีความสุข และเมื่อถึงวัยออกเรือน เธอก็ได้แต่งงานกับองครักษ์หนุ่มผู้ที่เคยเข้าร่วมคุ้มครองเธอในการเดินทางครั้งนั้น และมีลูก ๆ ที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูถึงสามคน

บทสรุปของผู้แต่ง

การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นนั้นสำคัญมากเพราะสิ่งนี้จะสอนให้เรารู้จักการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้เราไม่เห็นแก่ตัว หรือนึกถึงแต่ความสุขของตนเองเพียงผู้เดียว คนที่เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนอื่นนั้น สุดท้ายแล้วจะรู้สึกเป็นสุขยิ่งกว่าอย่างน่าประหลาดใจแม้จะสูญเสียสิ่งที่เป็นของตนไปให้ผู้อื่นแล้วก็ตาม

โปรดอย่าตั้งคำถามเลยว่า ทำไปแล้วจะได้อะไร เพราะความเสียสละนั้นเป็นสิ่งที่กระทำอยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจ การเสียสละอาจไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ กระทั่งบางครั้งอาจแลดูสูญเปล่าด้วยซ้ำ หรืออาจจะได้รับสิ่งที่ไม่คาดฝันแสนวิเศษจากการเสียสละนั้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ขอให้ดีใจไว้เถิดว่า ในหนึ่งชีวิตที่เกิดมานี้ เราเป็นคนดีคนหนึ่งที่ทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : น้ำกับทิฐิ

นิทานสอนใจ : น้ำกับทิฐิ



นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจัง และเคร่งครัดกับชีวิต แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

กล่าวสำหรับทิฐิ เขาไม่ใช่คนร่ำรวย ดังนั้นจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย กระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน แล้วเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ชมนั่นแลนี่ และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดี ๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คน ๆ นั้นทันทีว่า

"นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"

สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย

กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง

แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเขาด้วย

"ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี" แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า

"โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"

ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า

"นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"

แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป

ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ

"นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน

"นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ

ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป

ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที

"เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด" ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก

"นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า

"ข้าไม่เอาของ ๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"

หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว

จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ๆ หนนึ่งก็ดังแว่ว ๆ ให้ได้ยินว่า

"ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"

เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที

บทสรุปของผู้แต่ง

เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง แล้วมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยสายตา และหัวใจที่ไร้อคติ หากปิดกั้นหัวใจ และสายตาเอาไว้ ก็อาจพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบางครั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาอีกแล้ว

หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน จงอย่าลืมว่าศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดี ๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่เราทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน

ดังนั้นขอให้เปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่น ๆ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น อาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิต ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : เรื่องสองพี่น้อง

นิทานสอนใจ : เรื่องสองพี่น้อง


มีครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมากจนกระทั่งพ่อแม่แก่เฒ่า และสิ้นอายุขัยไป สองพี่น้องจึงแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ก็ยังปลูกบ้านที่ในหมู่บ้านเดียวกัน และไปมาหาสู่และรักใคร่กันเสมอ สองพี่น้องยังคงยึดอาชีพชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับพ่อแม่และใช้ชีวิตสันโดษพอเพียง แม้จะไม่มีเงินทองร่ำรวยอะไรแต่ก็มีความสุขตามอัตภาพ มิได้ลำบากยากแค้นอะไรนัก

อยู่มาปีหนึ่ง ชาวนาคนพี่ทำนาได้ข้าวมากกว่าทุก ๆ ปี จึงมีใจคิดเผื่อแผ่ไปถึงน้องชาย เขากล่าวกับภรรยาของตนในเย็นวันหนึ่งว่า

"เธอจะว่าอย่างไร หากฉันจะเอาข้าวที่เราเก็บเกี่ยวได้ในปีนี้ไปแบ่งให้น้องชายของฉันบ้าง"

"ทำไมหรอจ๊ะ นาของน้องชายเธอได้ข้าวไม่ดีนักหรือ" ภรรยาของชาวนาผู้พี่เอ่ยถาม

"เปล่าหรอกจ้า นาของน้องชายฉันก็ให้ข้าวรวงดีไม่แพ้ของเราหรอก แต่ฉันเห็นว่าครอบครัวของเขามีหลายปากท้องต้องให้เลี้ยงดู ทั้งตัวเขา เมียเขา และลูกเล็ก ๆ อีกหลายคน ส่วนเรานั้นมีกันแค่สองผัวเมีย ชึ่งฉันคิดว่า แค่ข้าวเพียงไม่กี่กระสอบก็น่าจะทำให้เราสองคนอิ่มท้องไปจนถึงปีหน้าได้แล้ว" ชาวนาผู้พี่กล่าว

"อืม ฉันเห็นด้วยจ้ะ น้องชายของเธอก็มีน้ำใจกับเราสองคนเสมอมา เมื่อมีผักผลไม้ดี ๆ เกิดขึ้นในไร่นาของเขา เขาก็นำมาให้เราทุกครั้ง เมื่อเรามีข้าวมากจนเหลือกิน เธอก็จัดแบ่งไปให้ครอบครัวของน้องชายเธอบ้างเถิดจ้ะ"

เมื่อภรรยาสนับสนุนเป็นอย่างดีเช่นนั้น ชาวนาผู้พี่ก็จัดการบรรจุข้าวลงกระสอบขนาดใหญ่ แล้วรอจนมืดค่ำจึงค่อยแบกกระสอบข้าวกระสอบนั้นไปยังบ้านของน้องชาย และทิ้งกระสอบข้าวไว้ข้างนอกประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะชาวนาผู้พี่เกรงว่า ถ้าเอาไปให้ตอนกลางวันแล้วน้องชายรู้ น้องชายอาจจะปฎิเสธข้าวของเขาเพราะความเกรงใจก็เป็นได้

วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวนาผู้พี่ไปนับกระสอบข้าวที่เหลืออยู่ในยุ้งเขาต้องประหลาดใจเพราะปรากฏว่า กระสอบข้าวยังมีจำนวนเท่าเดิม

"เอ เมื่อคืนเรานำข้าวไปให้น้องหนึ่งกระสอบ แล้วทำไมข้าวเราจึงเหลืออยู่เท่าเดิม หรือว่าเราจะนับผิด ถ้าอย่างนั้นเราเอาข้าวไปให้น้องสักหนึ่งกระสอบแล้วกัน" พี่ชายผู้พี่บอกกับตัวเอง

คืนวันนั้นเข้าก็เอาข้าวอีกกระสอบไปให้น้องชาย แต่พอเช้าวันต่อมา เมื่อเขาเข้าไปนับก็ปรากฏว่าข้าวยังคงเหลือเท่าเดิมเหมือนครั้งแรก

"เอ๊ะ! จะให้เชื่ออย่างไรนี่" ชายผู้พี่ร้อง "ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเอาข้าวไปให้น้องเราอีกกระสอบหนึ่ง" คืนนั้นชาวนาผู้พี่จึงแบกกระสอบข้าวไปบ้านน้องชายอีกหนึ่งกระสอบเป็นรอบที่สาม

แสงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าในคืนวันนั้น ชายผู้พี่มองเห็นร่างของใครคนหนึ่ง กำลังแบกกระสอบข้าวตรงมาทางเขา ชายผู้พี่จ้องเขม็งตามองอีกครั้ง จึงเห็นว่า ร่างของคนคนนั้นก็คือน้องชายของเขานั่นเอง ชาวนาผู้พี่ และชาวนาผู้น้องต่างหยุดวางกระสอบข้าวลงบนพื้น แล้วมองหน้ากันอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า

"เอ๊ะ! พี่เองเหรอที่เอาข้าวมาวางไว้หน้าบ้านของฉันน่ะ"

"อ๊ะ แก่เองเหรอน้องรักที่เอาข้าวมาวางไว้ในยุ้งข้าวของพี่ทุกคืน"

แล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะด้วยความขบขันเป็นเวลานาน ต่างคนต่างก็รู้สึกรักและผูกพันกับอีกคนมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดจาอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว

บทสรุปของผู้แต่ง

สองพี่น้องชาวนารักใคร่กันดี เพราะมีน้ำใจไมตรีให้เแก่กันอยู่เสมอ เขาอาจจะรักกันบนพื้นฐานความเป็นพี่น้องก็จริง แต่เราก็สามารถรักและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอย่างจริงใจได้ โดยไม่ต้องเป็นอะไรกับเขาเลย เพราะความรัก ความเมตตา และความปรารถนาอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ไม่ใช่คุณธรรมที่สงวนไว้เฉพาะพี่น้องร่วมสายโลหิต แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติต่อกันเสมือนเช่นนั้น ถ้าทำได้แบบนี้ สังคมของเราคงน่าอยู่ขึ้นมาก เพราะเราจะมีแต่พี่น้องที่รักกันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในความเป็นจริง ทุกคนอาจไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม

ดังนั้น จำไว้เถิดว่า การช่วยเหลือคนที่อ่อนด้อยกว่าด้วยความแบ่งปันนั้นจะสร้างความสุขให้แก่ตัวเราเองมากมาย อย่ากลัวเลยว่า ถ้าแบ่งสิ่งที่เราพอจะมีให้แก่ผู้อื่นแล้ว เราจะไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะถ้าเรามีใจที่พร้อมจะแบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาก็จะไม่มีใครต้องเสียอะไรไป เนื่องจากเมื่อเราแบ่งปันบางสิ่งให้คนอื่นเพื่อช่วยเหลือเขา เขาก็จะแบ่งปันบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเรา หากเราต่างก็ช่วยเหลือกันดีเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องสูญเสียอะไรไป และยังคงมีเท่าเดิมเหมือนกันทุกคน ดังเช่นชาวนาสองพี่น้องที่แม้จะแบ่งข้าวของตัวเองให้อีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ยังมีข้าวอยู่เท่าเดิม ด้วยน้ำใจแห่งการแบ่งปันนั่นอย่างไรเล่า

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ลูกแม่

นิทานสอนใจ : ลูกแม่


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชนเผ่าโบราณอยู่สองเผ่าเป็นอริต่อกันและมักจะหาเรื่องสู้รบกันอยู่บ่อยๆ ชนเผ่าที่อยู่บนภูเขามีชื่อว่า “เผ่าภูผา” อีกชนเผ่าอยู่พื้นราบด้านล่างชื่อ “เผ่าดินดำ” วันหนึ่งบนภูเขาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เผ่าภูผาจึงยกพลลงมาระรานเผ่าดินดำ เพื่อหวังจะยึดเสบียงมาเป็นของตัว

การสู้รบกินเวลาไม่นาน ไม่มีใครชนะใคร แต่เผ่าภูผาสามารถแย่งชิงอาหารและทรัพย์สินส่วนหนึ่งของเผ่าดินดำไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเผ่าภูผาถอนกำลังถอยร่นขึ้นภูเขาไปแล้ว ชาวเผ่าดินดำจึงได้รู้ว่า มีทารกชายคนหนึ่งของเผ่าถูกจับไปเป็นตัวประกันด้วย

“เด็กคนนั้นเป็นลูกของใครกัน” หัวหน้าเผ่าดินดำถามทันทีเมื่อรู้ข่าว นักรบคนหนึ่งตอบว่า “ลูกของหญิงม่ายนามว่า เมซีอา ขอรับ” “เหตุใดนางจึงเป็นม่าย” หัวหน่าเผ่าถามอีก “สามีของนางเป็นนักรบในเผ่าของเรา และเขาถูกฆ่าตายในการรบครั้งที่แล้วขอรับ” นักรบคนนั้นตอบ หัวหน้าเผ่าดินดำลอบถอนใจ ก่อนจะถามต่อว่า
“ตอนนี้เมซีอารู้ข่าวร้ายนี้หรือยัง” “เมซีอารู้แล้วขอรับ และนางเสียใจมากจนวิ่งเตลิดหายไปไหนก็ไม่ทราบ พวกเราพยายามตามนางไป แต่ก็ตามไม่เจอขอรับ”

หัวหน้าเผ่าเห็นใจหญิงม่ายเมซีอาอย่างจับใจ เขาจึงไม่ปล่อยปละและช่วยเหลือนาง ด้วยการสั่งให้นักรบจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นไปยังเผ่าภูผาและนำลูกชายของเมซีอากลับมาให้จงได้ จากนั้นจึงค่อยตามหาตัวผู้เป็นแม่ในภายหลัง

เผ่าภูผาตั้งอยู่ ณ ยอดเขาของภูเขาแห่งนั้น แต่เผ่าดินดำไม่เคยชินกับการปีนเขามาก่อน ดังนั้นแม้นักรบทุกคนจะเป็นชายฉกรรจ์ที่มีเรี่ยวแรงมาก แต่พวกเขาก็เดินทางขึ้นเขาได้แค่วันละไม่เกินหนึ่งพันก้าวเท่านั้น จนล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ด เหล่านักรบก็เริ่มอ่อนล้าและถอดใจกับการปีนเขาที่ทุลักทุเลและไม่คืบหน้าไปสักเท่าไร หลายๆ คนจับกลุ่มคุยกัน และเสนอความคิดว่าควรจะยกเลิกภารกิจนี้เสีย

“นี่ก็ล่วงมาเจ็ดวันแล้ว เรายังไปไม่ถึงไหนเลย เสบียงที่นำมาก็แทบจะหมดอยู่แล้ว ข้าว่าพวกเราเก็บของกลับกันดีกว่า ขืนเดินทางต่อเป็นได้ตายกลางทางกันหมดนี่เป็นแน่” นักรบคนหนึ่งเสนอเรื่องนี้ต่อเพื่อนๆ

“แล้วเด็กล่ะ” อีกคนถาม “หลายวันอย่างนี้ และกว่าเราจะไปถึงที่นั่นอีก บางทีพวกเผ่าภูผาอาจจะฆ่าเด็กไปแล้วก็ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าเราไปถึงแต่เด็กคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” “แต่ท่านหัวหน้ากำชับเราให้หาเด็กให้เจอ” ”ข้าว่าท่านหัวหน้าเองก็คงไม่คาดคิดหรอกว่า การเดินทางขึ้นภูเขาจะยากเย็นแสนเข็ญและใช้เวลามากขนาดนี้ ถ้าท่านรู้อย่างที่เรารู้ท่านก็คงสั่งให้เราถอนกำลังเหมือนกันล่ะ” หลังจากใช้เวลาถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็ตกลงกันว่าจะถอนกำลังกลับ

ในระหว่างที่กำลังเก็บของอยู่นั้นเอง จู่ๆ นักรบคนหนึ่งก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “พวกเรา! ดูนั่นสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาทางนี้ นางคือเมซีอาใช่รึไม่ ” ทุกคนหันไปมอง เป็นเมซีอาจริงๆ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่าห่อผ้าในอ้อมอกของนาง นางอุ้มลูกชายของนางกลับมาด้วย เหล่านักรบวิ่งไปหาเมซีอา นางดูเหนื่อยอ่อนมากแต่ก็ไม่ยอมส่งลูกชายให้ใครช่วยอุ้ม พวกนักรบจึงช่วยกันหาน้ำมาให้เมซีอาล้างหน้าและดื่มแก้กระหาย

“เจ้าไปพบลูกชายที่ไหนหรือเมซีอา พวกภูผามันทิ้งลูกของเจ้าไว้กลางทางอย่างนั้นหรือ” ทหารคนหนึ่งถาม เมซีอาตอบว่า “เปล่าเลยท่าน ข้าตามเผ่าภูผาขึ้นไปถึงยอดเขาและอ้อนวอนขอให้เขาคืนลูกชายแก่ข้า พวกนั้นเห็นใจจึงยอมคืนลูกชายมาให้ข้าในที่สุด”

นักรบฟังเมซีอาพูดแล้วถึงกับตะลึงตาค้าง “ขึ้นไปถึงยอดเขา! เจ้าคนเดียวภายในเจ็ดวันน่ะหรือ ขนาดพวกเรายังทำไม่ได้เลย” เมซีอาตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองทำได้อย่างไร ข้ารู้แต่ว่าข้าต้องไปเพราะลูกของข้ารอข้าอยู่ที่นั่น เป็นธรรมดาของคนเป็นแม่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันทิ้งลูก แต่สำหรับพวกท่าน ท่านไม่ใช่พ่อแม่ของลูกชายข้า และเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานของท่าน ท่านมาหาเขาตามหน้าที่แต่ไม่ได้มาด้วยความรัก หน้าที่อาจทำให้ท้อถอยได้ในวันหนึ่ง แต่อานุภาพแห่งความรักจะให้พลังกับเราตลอดไป”

เหล่านักรบฟังเมซีอาพูดแล้วถึงกับน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง เมื่อกลับลงไปถึงเผ่า พวกเขาก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในชนเผ่าฟัง ทุกคนล้วนสรรเสริญเมซีอาและยกย่องให้นางเป็นยอดหญิงคนแรกแห่งเผ่าดินดำ

บทสรุปของผู้แต่ง

ในฐานะแม่ เมซีอาไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นิทานเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริง แม่บางคนอาจจะทำเพื่อลูกของเธอมากกว่าที่เมซีอาทำเสียอีก ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพลังแห่งความรักที่คนเป็นแม่มีให้แก่ลูก เราอาจจะคิดว่าเราเองก็รักแม่มาก แต่นั่นไม่มีทางเท่ากับที่แม่รักเรา เพราะเรารักแม่อย่างมีข้อแม้ อย่างน้อยเราก็ต้องการความรักความอบอุ่นจากท่าน แต่แม่รักเราโดยปราศจากเงื่อนไข

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ลิงกับลา

นิทานสอนใจ : ลิงกับลา


หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิง และ ลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิงแล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้น เจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อม จนทำให้ข้าวของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิม และอยู่อย่างสงบนิ่ง ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิง และลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่า ลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย

บทสรุปของผู้แต่ง

หลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง “ความเป็นผู้นำ” ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน

เหตุที่องค์กรหลายๆ องค์กรต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ “ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์” ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง

ดังนั้น “นายที่ดี” ไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไรนายก็ไม่มีทางรู้ ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม แต่ควรรู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้นองค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้ องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : การเดินทางของชายสามคน

นิทานสอนใจ : การเดินทางของชายสามคน


ชายสามคนเป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าแล้ง ชายทั้งสามคนได้นั่งคุยกันถึงเรื่องปากท้อง ทั้งสามต่างพากันเห็นว่าหมู่บ้านที่พวกตนอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างแห้งแล้งกันดาร หาอาหารได้ไม่ใคร่จะพอยังชีพ และดูเหมือนว่าความแห้งแล้งนี้จะเพิ่มมากขึ้นทุกที

ชายคนที่หนึ่งนั่งพ้อกับเพื่อนทั้งสองว่า

"พรุ่งนี้เราจะเอาอะไรกินกันดี เพื่อน"

ชายคนที่สองตอบอย่างซังกะตายว่า

"ข้าสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าแล้ว ขอให้พระองค์ส่งปลามาให้เราสักตัวเถิด"

ชายคนที่หนึ่งถามกลับว่า

"ถ้าพระเจ้าไม่ส่งปลามาให้ มีหวังเราคงอดตาย"

ชายคนที่สองตอบกลับทันทีว่า

"พระองค์ต้องส่งปลามาให้สิ ก็ร้องอ้อนวอนขอพระองค์ทุกคืน"

ชายคนที่สามซึ่งนั่งฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองคนอยู่นาน แล้วพูดขึ้นมาบ้างว่า

"ข้าว่า...ขืนเรายังทนทู่ซี้อยู่ที่นี่ต่อไป มีหวังได้อดตายกันสักวันแน่ๆ"

"แล้วจะให้ทำไงเล่า ก็ที่นี่มันแห้งแล้งนายก็รู้" ชายคนที่หนึ่งถามพลางอ้าปากหาว

"ข้าเคยได้ข่าวมาจากพ่อค้าผ้า เรื่องเมืองที่อยู่หลังเขาด้านตะวันออกโน้น พ่อค้าผ้าบอกกันว่า เมืองนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ข้าวปลาอาหารหาง่าย การค้าก็รุ่งเรืองมาก ข้าว่าเราย้ายไปอยู่ที่นั่นกันเถอะเพื่อน" ชายคนที่สามว่า

"แต่ทางนั้นเสือดุมากนะ ขืนไปทางนั้นคงมีหวังได้กลายเป็นอาหารของเสือร้ายดอก" ชายคนที่หนึ่งพูดอย่างตกใจ

"ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะสวดมนต์อ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยปกป้องเอง" ชายคนที่สองว่าพร้อมกับทำท่าสวดมนต์

"เถอะนะเพื่อน เราไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า อย่ามัวแต่นอนรอความตายอยู่ที่นี่เลย ถ้าพวกเราไปถึงหมู่บ้านหลังเขานั่นโดยปลอดภัย เราก็จะได้ปักหลักทำมาหากินอยู่ที่นั่น ไม่ต้องมานั่งอดอยากหิวโหยอยู่แบบนี้อีก" ชายคนที่สามกล่าวอย่างมีเหตุผล

เมื่อเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะไปลองตั้งรกรากอยู่ที่ใหม่ เพื่อนรักทั้งสามจึงเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น แล้วมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านอันแสนทุรกันดารทันที

การเดินทางข้ามเขาตะวันออกเพื่อไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3 วัน 3 คืน และตลอดทางก็เป็นป่ารกทึบทั้งหมด ดังนั้น ทั้งสามคนจึงต้องคอยระแวดระวังภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

กระทั่งในวันที่สามเมื่อเวลาโพล้เพล้ สามสหายก็เดินทางมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านซึ่งยังคงเป็นป่าทึบอยู่ แต่ก็ทำให้ทั้งสาม ใจชื้นขึ้นมาได้ ด้วยรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านเท่าไรก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ชายคนที่หนึ่งเห็นอะไรบางอย่างไหวๆ อยู่ในพุ่มไม้ด้านหลัง เขาจึงเขม้นมอง แล้วจู่ๆ ก็ร้องดังลั่นด้วยความตกใจว่า

"เสือ ! เสือตัวใหญ่มากเลยเพื่อน เสือตัวใหญ่ขนาดนี้เราคงหนีไม่ทันมันแน่ เราทุกคนต้องถูกมันจับกินจนหมดแน่...โฮ...โฮ!" ชายคนที่หนึ่งร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

"อย่ายอมแพ้สิเพื่อน ถึงเสือจะตัวใหญ่แต่ถ้าเราหนีทัน เราก็อาจจะรอดนะ"

ชายคนที่สามร้องบอกเพื่อน แต่ชายคนที่หนึ่งนั้นดูเหมือนจะเชื่อมั่นเอาจริงๆ ว่าตนไม่มีทางรอด ดังนั้นเขาจึงเอาแต่ยืนร้องไห้อย่างหวาดผวา เสือเห็นดังนั้นจึงจับชายคนที่หนึ่งกินเป็นอาหารก่อนใคร เพราะจับได้ง่ายและไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด

ชายคนที่สามเห็นเพื่อนถูกกินเป็นอาหารก็ร้องบอกเพื่อนที่เหลืออีกคนว่า

"วิ่งมาทางนี้เร็วๆ สิเพื่อน"

"วิ่งไปก็ไม่รอดหรอก ข้าจะสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าช่วย พระเจ้าผู้วิเศษจะต้องเห็นใจและมาช่วยคุ้มครองเรา"

แล้วชายคนที่สองก็หลับตาแน่นิ่งพร้อมกับทำปากขมุบขมิบสวดมนต์ถึงพระเจ้า

"โธ่เพื่อนเอ๋ย! ถ้าตัวเราไม่มีความพยายามที่จะทำอะไรด้วยตนเองก่อนแล้ว ไหนเลยพระเจ้าจะทรงมีเมตตามาช่วยเรา เราต้องช่วยตนเองให้ถึงที่สุดก่อนสิเพื่อน ไม่ใช่รอคอยแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นแบบนี้ ขืนรอไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะหยิบยื่นมาให้เรา"

แต่ชายคนที่สองไม่รับฟังเพื่อน เขาพร่ำแต่สวดมนต์ขอให้พระเจ้าช่วย เสือจึงตรงเข้าขย้ำเขาเป็นเหยื่อรายที่สอง

เมื่อเสียเพื่อนรักทั้งสองคนไปแล้ว ชายคนที่สามก็คิดว่าเขาจะไม่ยอมให้ตนเองตกเป็นอาหารของเสือร้ายดังเพื่อนทั้งสองคนอย่างเด็ดขาด คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบปีนต้นไม้ต้นที่สูงที่สุดอย่างรวดเร็ว เสือเห็นดังนั้นก็เกรงว่าเหยื่อรายที่สามของตนจะหนีรอดไปได้ จึงกระโจนเข้ามากระแทกต้นไม้อย่างแรง เพื่อให้ชายคนที่สามที่กำลังปีนต้นไม้อย่างแข็งขันตกลงมาเป็นอาหารของตนให้ได้

ชายคนที่สามนั้นแท้จริงแล้วปีนต้นไม้ไม่เก่งแต่อย่างใด และแรงกระแทกของเสือก็รุนแรงเหลือเกินจนทำให้เขาเกือบจะตกลงมาอยู่หลายครั้ง แต่เพราะใจที่สู้ และคิดว่าตัวเองต้องรอดชีวิตให้ได้จึงแข็งใจกอดต้นไม้ไว้แน่น

ฝ่ายเสือเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน มันมีกำลังมากเพราะได้กินเนื้อมนุษย์ไปแล้วถึงสองคน และยังอยากได้อีกสักหนนึ่งคนเป็นอาหารตบท้าย ดังนั้นมันจึงออกแรงกระแทกต้นไม้ไม่ยอมหยุด และเมื่อเห็นว่าชายคนที่สามเริ่มสิ้นเรี่ยวแรง มันก็ออกแรงกระแทกต้นไม้หนักขึ้น จนในที่สุดชายคนที่สามก็ร่วงหล่นลงมา

แต่ก่อนที่เสือจะตรงเข้าขย้ำร่างของชายคนที่สาม ก็พลันเกิดเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นมา เสือตกใจคิดว่าเป็นเสียงปืนของนายพรานที่ออกล่าสัตว์อยู่ในบริเวณนั้นเป็นประจำ มันจึงรีบหนีเข้าไปในป่าทันที ชายคนที่สามเห็นดังนั้นจึงรีบมองหาต้นตอของเสียง พบแต่เพียงลูกมะพร้าวขนาดใหญ่ตกอยู่ใกล้ๆ ตัว เขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงที่เกิดจากลูกมะพร้าวที่ตกลงมา เพราะแรงกระแทกของเสือนั่นเอง

ท้ายที่สุดแล้ว ชายคนที่สามก็รอดชีวิตจากเสือร้ายและเดินทางไปถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย หลังจากนั้น ชายผู้นี้ก็ได้เริ่มต้นทำมาหากินในหมู่บ้านแห่งนั้นอย่างขยันขันแข็ง จนสุดท้ายเขาก็มีฐานะร่ำรวยและสร้างครอบครัวที่แสนสุขได้

บทสรุปของผู้แต่ง

คนทุกคนเมื่อมีชีวิตแล้วก็ย่อมต้องมีปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นมาคู่กัน เพื่อเป็นบททดสอบคุณภาพชีวิตของคนๆ นั้น จงอย่ายอมแพ้กับปัญหาที่อย่างไรเธอก็ต้องเจอ แต่จงสู้และแก้ไขมันให้ได้

การแก้ปัญหานั้นขอให้ทำด้วยสติของตนเอง นึกให้ดี วิเคราะห์ให้ได้ ว่าควรแก้ปัญหาเหล่านั้นเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะมองหาความช่วยเหลือจากผู้ใดก็ตาม จงแก้ไขมันด้วยตัวของเราเองให้ดีที่สุดเสียก่อน หากยิ่งแก้ไขปัญหาต่างๆ หรือผ่านอุปสรรคที่ขวางกั้นนั้นไม่ได้ จงถามตัวเองว่า "ฉันได้พยายามจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ หรือ"

พระเจ้าทรงมีพระเมตตา แต่พระองค์ก็ทรงเลือกผู้ที่สมควรแก่ความช่วยเหลือของพระองค์ด้วยเช่นกัน

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

นิทานสอนใจ : ผู้นำคนใหม่

นิทานสอนใจ : ผู้นำคนใหม่


ระวี และ วิกรม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อทั้งสองอายุได้ 5 ปี ผู้นำหมู่บ้านก็นำเงินที่รวบรวมได้จากชาวบ้าน มอบให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง เพื่อเป็นทุนในการเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ต่อยังเมืองหลวง

“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”

ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญาแห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้

ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่

ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า

“อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”

วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า

“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน

“มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดูอย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้าเล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด

“ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว

“ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ

ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน

เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว

วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี

ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”

แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่

ฝ่ายระวีนั้น ไม่เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น

3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี

วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”

สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป

“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง

“ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก

“ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง

“ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตามวิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”

วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ

ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป

บทสรุปของผู้แต่ง

การเป็นผู้มีความรู้มากนั้นมิใช่สิ่งที่ไม่ดีหรอก ตรงกันข้าม การเป็นผู้นำที่ดี ควรที่จะหมั่นศึกษาความรู้ต่างๆ มาประดับตนเองไว้เสมอ แต่อย่ารู้วิชาจนลืมไปว่าคุณค่าแห่งความดีนั้นเป็นอย่างไร เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาขวนขวายหาความรู้ไปเปล่าๆ นอกจากนี้ ควรมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรมและความดี ความรู้จึงจะบังเกิดผลสูงสุดทั้งแก่ผู้อื่นและตัวเธอเอง ซึ่งนั้นจะทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนในทุกแห่งที่ย่างก้าวไปถึง

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity