นิทานสอนใจ :บาบูผู้ทรงความยุติธรรม
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ติดตามคอลัมน์ครอบครัวตัวหนอนที่ได้นำนิทานดี ๆ มานำเสนออย่างต่อเนื่อง วันนี้เป็นนิทานจากหนังสือ "รวมนิทานคัดสรร ด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว" เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ของสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ซึ่งต้องขอขอบคุณ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ส่วนเนื้อเรื่องของนิทานจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีเมือง ๆ หนึ่งสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม ที่เมือง ๆ นี้มีพระราชาพระนามว่า "บาบู" เป็นผู้ปกครอง
พระราชาบาบูทรงเป็นพระราชาที่ประชาชนรักมาก เพราะพระองค์ทรงยึดเอาความยุติธรรมเป็นที่ตั้งในการปกครองบ้านเมือง ถึงขนาดทรงให้แขวนกระดิ่งทองคำเสียงกังวานก้องไว้หน้าพระราชวัง เมื่อชาวบ้านคนใดมีความเดือดร้อน หรือได้รับความอยุติธรรมใด ๆ ก็ให้มาสั่นกระดิ่งทอง แล้วพระองค์จะเสด็จออกมารับฟังและช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ด้วยพระองค์เอง
มาในระยะหลัง ๆ ปรากฏภาวะแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ประชาชนปลูกข้าวไม่ได้ พืชผลต่าง ๆ ล้มตายไปตาม ๆ กัน ทุก ๆ วันจึงมีประชาชนมาสั่นกระดิ่งทองคำเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระราชาบาบู โดยในช่วงแรก ๆ พระราชาบาบูได้มีราชโองการเบิกข้าวสารและพืชผลที่เก็บไว้ในคลังผลผลิตของพระราชวังมาแจกจ่ายแก่ชาวบ้านเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่เมื่อต้องแจกเช่นนี้ไปทุก ๆ วัน ข้าวสารและพืชผลต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่เต็มคลังก็เริ่มร่อยหรอ ไม่พอแก่การแจกจ่าย ทำให้ทรงกลุ้มพระทัยเป็นอย่างมาก
ในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยส่งพระราชสาส์นไปกับนกพิราบถึงเจ้าชายบาเบ พระโอรส ซึ่งทรงศึกษาวิชาการปกครองอยู่ในป่ากับพระอาจารย์
เจ้าชายบาเบเมื่อได้รับพระราชสาส์นจากพระบิดาก็ไม่รอช้า ทรงเข้าพบพระอาจารย์เพื่อขอลากลับบ้านเมืองทันที อย่างไรก็ตาม เจ้าชายบาเบก็อดที่จะโอดครวญแก่พระอาจารย์ด้วยความเสียดายไม่ได้ ในเรื่องที่ตนเองไม่อาจอยู่ศึกษาจนจบหลักสูตรดังเช่นเจ้าชายจากเมืองอื่น ๆ พระอาจารย์ฟังเจ้าชายโอดครวญแล้วกล่าวว่า
"ความรู้ไม่ได้มีอยู่ที่นี่ที่เดียวดอก บาเบ ครูสอนการปกครองที่ดีที่สุดไม่ใช่ข้า แต่คือประชาชนของเจ้าเอง"
เจ้าชายบาเบเห็นจริงดังคำพระอาจารย์ว่า จึงรีบกราบลาแล้วทรงม้าคู่บารมีเสด็จกลับเมืองในทันที
เจ้าชายบาเบทรงม้าติดต่อกันสามวันสามคืน โดยไม่ยอมหยุดพัก เนื่องด้วยเห็นว่าความเดือดร้อนที่กำลังเกิดแก่ประชาชนนั้นรอช้าไม่ได้ และแล้วในวันที่ 4 ซึ่งเจ้าชายบาเบและม้าทรงของพระองค์รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
มีลูกวัวน้อยตัวหนึ่งเดินออกมาจากพงหญ้าทึบข้างทางเพื่อเล็มหญ้าอ่อนตรงทางที่เจ้าชายบาเบเสด็จผ่าน ด้วยความเหน็ดเหนื่อยผสมอาการสะลึมสะลือ เพราะไม่ได้นอนหลับมาหลายวัน ทำให้เจ้าชายบาเบบังคับม้าทรงให้หลบลูกวัวน้อยไม่ทัน เป็นเหตุให้ม้าทรงเหยียบลูกวัวน้อยถึงแก่ความตาย เจ้าชายบาเบทรงตกพระทัยตื่นจากอาการสะลึมสะลือนั้น รีบเหลียวกลับไปมองพร้อมกับร้องอุทานว่า
"หยุดก่อนเจ้าม้าเอ๋ย เห็นทีว่าข้าคงจะเหยียบเด็กคนใดเข้าแล้ว"
เจ้าชายบาเบจ้องไปยังร่างที่พระองค์คิดว่าเป็นเด็ก แต่แล้วก็เห็นเพียงแค่วัวน้อยตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งสิ้นลมหายใจอยู่เท่านั้น
"โธ่เอ๋ย ที่แท้ก็แค่ลูกวัว" เจ้าชายบาเบเอ่ยอย่างโล่งใจ แล้วรีบควบม้าทรงต่อไปจนกระทั่งถึงบ้านเมืองและได้เข้าเฝ้าพระราชาบาบู ซึ่งเมื่อได้เห็นหน้าพระโอรสก็รู้สึกดีพระทัยเหลือจะกล่าว รวมทั้งข้าราชบริพารต่างก็พากันโห่ร้องแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในระหว่างที่ความยินดีปรีดากำลังบังเกิดอยู่นั้นเอง จู่ ๆ เสียงกระดิ่งทองคำก็ดังก้องกังวาน พระราชาบาบูจึงรีบละจากพระโอรสออกไปรับเรื่องเดือดร้อนจากชาวบ้านทันที แต่เมื่อเห็นผู้สั่นกระดิ่ง พระราชาบาบูก็ทรงรู้สึกแปลกพระทัยยิ่ง เพราะผู้สั่นกระดิ่งในครั้งนี้คือแม่วัวสาวที่มีน้ำตาไหลอาบแก้ม และร้องครวญอย่างน่าเวทนา
"มีใครในที่นี้รู้บ้าง ว่าเหตุใด แม่วัวตัวนี้จึงมาสั่นกระดิ่งทองคำร้องเรียกเรา" พระราชาบาบูตรัสถามข้าราชบริพารแต่ไม่มีใครทราบ จึงทรงมีราชโองการออกไปว่า
"เราเชื่อว่าต้องมีเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัสเกิดแก่แม่วัวตัวนี้แน่ จงไปสืบความจากชาวบ้านและผู้เห็นเหตุการณ์ ถึงเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นแก่แม่วัว แล้วนำความนั้นมาบอกเราเดี๋ยวนี้"
เหล่าทหารรีบรุดออกจากวังไปสอบถามชาวบ้าน แล้วรีบกลับมากราบทูลให้พระราชาบาบูทรงทราบ เมื่อทรงรับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงรับสั่งให้เจ้าชายบาเบเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามเจ้าชายว่า
"ลูกพ่อ พ่อรู้เรื่องที่ลูกได้คร่าชีวิตลูกวัวน้อยแล้ว ไยเจ้าจึงทำเช่นนั้นเล่า"
"กราบทูลเสด็จพ่อ ด้วยความรีบร้อนเดินทางกลับบ้านเมือง ทำให้ลูกขาดสติในการบังคับม้า ม้าของลูกจึงพลาดไปเหยียบลูกวัวจนถึงแก่ชีวิตพระเจ้าข้า" เจ้าชายบาเบตอบ
"เมื่อเจ้าทำให้ชีวิตลูกวัวน้อยหลุดลอยไปแล้ว เจ้าแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้างเล่าลูกรัก" พระราชาบาบูตรัสถามอีก
"ลูกมิได้ทำสิ่งใดเลย ด้วยเห็นว่านั่นเป็นเพียงแค่ลูกวัวตัวหนึ่งเท่านั้น"
เมื่อทรงได้ฟังคำตอบเช่นนั้น พระราชาบาบูถึงกับทรงทรุดตัวลงบนพระที่นั่ง เจ้าชายบาเบเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย เนื่องจากไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ตนทำลงไปนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างไร
"ลูกทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือเสด็จพ่อ" เจ้าชายบาเบตรัสถามด้วยความกังวลใจ
"เจ้าเป็นถึงลูกพระราชา ไยดูแคลนคุณค่าของชีวิตเช่นนั้น แม้นั่นจะเป็นลูกวัว แต่ลูกวัวก็มีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเจ้า ลองหันไปดูสิลูกรัก หากชีวิตของลูกวัวน้อยไม่มีค่าดังเช่นที่เจ้าว่า เหตุใดจึงทำให้แม่วัวเศร้าโศกถึงขนาดต้องมาร้องทุกข์กับพ่อ ลูกรัก หากเจ้ามองไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเล็กน้อยในวันนี้ แล้ววันหน้าเจ้าจะปกครองประเทศด้วยใจที่เป็นธรรมได้อย่างไร ต่อไปเจ้าคงต้องละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งความเป็นธรรม ละทิ้งสิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งละทิ้งประชาชนและสูญสิ้นประเทศ ลูกรัก..พ่อไม่ยอมให้พระราชาเช่นนั้นมาปกครองประชาชนของพ่อเป็นแน่ และความผิดของเจ้าสมควรได้รับการชำระโทษอย่างเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย"
เมื่อตรัสจบ พระราชาบาบูก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะลงโทษพระโอรสด้วยวิธีเดียวกับที่เจ้าชายได้ทำกับลูกวัวน้อย สร้างความตกตะลึงให้แก่ทหารและข้าราชบริพารในที่แห่งนั้นเป็นอันมาก ต่างทัดทานให้พระราชาทรงตัดสินพระทัยใหม่ ด้วยเห็นว่าการลงโทษนี้ร้ายแรงเกินไปสำหรับความผิดของเจ้าชายที่ฆ่าลูกวัวหนึ่งตัว
"วัวหนึ่งตัวก็คือหนึ่งชีวิต เมื่อหนึ่งชีวิตสูญสิ้นในแผ่นดินของเราอย่างไม่เป็นธรรม ตัวเราซึ่งเป็นพระราชาก็ต้องเรียกร้องความยุติธรรมนั้นคืนมาให้ เจ้าชายไม่คิดว่าหนึ่งชีวิตน้อย ๆ ของลูกวัวสำคัญ ฉะนั้นเราจะทำให้เจ้าชายรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดก่อนสิ้นชีวิต เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจคุณค่าของชีวิตมากขึ้น และเราผู้เป็นพ่อก็สมควรได้รับโทษแห่งความสูญเสีย ดังเช่นที่แม่วัวกำลังได้รับอยู่ขณะนี้..ตัวเราจะเป็นผู้คร่าชีวิตลูกของเราเอง"
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเหล่าเสนาอำมาตย์ เจ้าชายบาเบกลับยอมรับโทษจากพระบิดาด้วยจิตใจที่สำนึกผิด ทรงเดินไปยังหน้าพระราชวังแล้วล้มตัวลงนอนทอดกายบนดินที่ร้อนระอุ เพื่อรอรับการลงพระอาญาจากพระบิดา
"ลูกพร้อมรับโทษจากเสด็จพ่อแล้ว ขอให้ลงโทษลูกให้สมกับความผิดด้วยเถิด"
พระราชาบาบูมองพระโอรสแล้วรู้สึกประหนึ่งพระทัยจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ก็ต้องแข็งใจทรงม้าพระที่นั่งเพื่อลงโทษเจ้าชายด้วยพระองค์เองตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ ม้าพระที่นั่งเหยียบร่างของเจ้าชายอย่างแรงจนพระโลหิตทะลักออกทางพระโอษฐ์และพระนาสิก และทำให้เจ้าชายสิ้นพระชนม์ในทันที
ท่ามกลางความตกใจและเสียงร่ำไห้ พระราชาบาบูทรงลงจากม้าอย่างคนสิ้นวิญญาณ แล้วทรุดกายลงไปนั่งบนพื้นดินข้าง ๆ ร่างพระโอรส น้ำพระเนตรไหลอาบเต็มพระพักตร์
ทันใดนั้นเอง มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นที่ร่างของแม่วัวที่มาร้องทุกข์ หลังสิ้นแสงนั้นร่างของแม่วัวก็หายไป ปรากฏเป็นฤาษีเฒ่าที่น่าเลื่อมใสขึ้นมาแทน
"อย่าทุกข์ใจไปเลยองค์ราชา คุณธรรมที่มั่นคงของท่านได้ประจักษ์แก่สามโลกแล้ว เราจะชุบชีวิตพระโอรสของท่าน ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของเราเช่นกัน กลับคืนมา ณ บัดนี้"
กล่าวจบ ฤาษีก็วาดไม้เท้าขึ้นกลางอากาศแล้วชี้ไปยังร่างเจ้าชายบาเบ สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าชายบาเบรู้สึกพระองค์ ลุกขึ้นมามีลมหายใจอีกครั้ง สร้างความยินดีให้กับทุกคนโดยเฉพาะพระราชาบาบูเป็นอันมาก
"พระอาจารย์มาช่วยศิษย์หรือพระเจ้าค่ะ" เจ้าชายบาเบตรัสถาม
"เปล่าเลยบาเบ" พระฤาษีตอบ "ความยุติธรรมอันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของพระราชาแห่งพระบิดาของเจ้าต่างหากที่ช่วยเจ้าไว้ ลูกวัวตัวนั้นเป็นร่างเสกจากข้าเพื่อทดสอบคุณธรรมในพระบิดาของเจ้า ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พระราชาบาบูทรงมีความยุติธรรมเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่ง บาเบ..เจ้าไม่ต้องกลับไปศึกษาวิชาการปกครองจากข้าอีกดอก ในเมื่อพระบิดาของเจ้าคือพระอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว จงศึกษาคุณธรรมจากพระราชาผู้นี้ แล้วเจ้าจะเป็นพระราชาผู้ครองใจประชาชนได้ในเวลาไม่นาน"
กล่าวจบพระฤาษีก็ให้พรแก่พระราชาบาบูว่า
"ด้วยความยุติธรรมอันโดดเด่นของท่าน ข้าขออวยพรให้บ้านเมืองท่านพ้นจากภัยแล้งเสียเดี๋ยวนี้ และขอให้บ้านเมืองของท่านอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุข และเทิดทูนพระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเป็นที่ตั้งดังเช่นท่านตลอดไป"
สิ้นคำให้พรสุดท้าย พระฤาษีก็หายตัวไป เสียงโห่ร้องของชาวบ้านดังก้องไปทั้งเมือง พร้อมกับฝนตกลงมาจากฟากฟ้า เจ้าชายบาเบทรงสวมกอดพระราชาบาบูและทรงให้คำมั่นสัญญาว่า จะเป็นพระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมดังเช่นพระบิดาให้จงได้