นิทานสอนใจ : ใกล้ "พระพุทธเจ้า" เข้าไปทุกทีแล้ว

นิทานสอนใจ : ใกล้ "พระพุทธเจ้า" เข้าไปทุกทีแล้ว


"ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว" ลองฟังให้ดีจะรู้ว่าพวกเราใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้วหรือไม่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ไปเยี่ยมมธยานาจารย์ คือ อาจารย์แห่งนิกายเซ็น ชื่อว่า "กาซาน" เพราะนิสิตคนนั้น เขาแตกฉานในการศึกษา เขาจึงถามอาจารย์กาซานว่าเคยอ่านคริสเตียนใบเบิลไหม

ท่านอาจารย์กาซานซึ่งเป็นพระเถื่อน อย่างพระสมถะนี้จะเคยอ่านใบเบิลได้อย่างไร พระเถื่อนจึงตอบว่า "เปล่า! ดังนั้นช่วยอ่านให้ฉันฟังที"

นิสิตคนนั้นก็อ่านคัมภีร์ใบเบิล ตอน Saint Mathew ไปตามลำดับไปถึงประโยคที่ว่า "ไม่ต้องห่วงอนาคต" คือไม่ต้องห่วงวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้มันจะดำเนินไปได้เองและเราจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แม้แต่นกกระจอกก็จะไม่อดตาย อะไรทำนองนี้

ท่านอาจารย์กาซานก็บอกว่า "ใครที่พูดประโยคนี้ได้ ฉันคิดว่า เขาคนนั้นเป็นผู้รู้แจ้งคนหนึ่งทีเดียว" คือ เป็น An enlightened one คนหนึ่งทีเดียว แต่นิสิตคนนั้นก็ยังไม่หยุดอ่าน คงอ่านต่อไป มีความหมายว่า "ขอเถิด แล้วจะได้แสวงหา แล้วจะพบ จงเคาะเข้าเถิดแล้วมันจะเปิดออกมา เพราะว่าใครก็ตามที่ขอแล้วจะต้องได้รับ ใครที่แสวงหาแล้วย่อมได้พบ และใครที่เคาะประตูแล้วมันก็จะเปิดออกมา"

พอถึงตอนนี้ อาจารย์กาซานบอกว่า "แหม! วิเศษที่สุด ใครๆ ที่กล่าวเช่นนี้ได้ ก็ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้วทุกที"

นิทานเรื่องนี้สอนว่า ถ้ารู้ธรรมะจริงจะไม่เห็นเป็นลัทธิคริสเตียน หรือพุทธ หรือะไรอื่น ในจิตใจของผู้ที่รู้ธรรมะจริง จะไม่รู้สึกว่า มีการแบ่งแยกว่า มีคริสต์ มีพุทธ มีอิสลาม มีฮินดู มีอะไร เพราะไม่ได้ฟังเสียงเหล่านั้น ไม่ต้องเป็นนิกายอะไร ครูบาอาจารย์สำนักไหน คัมภีร์อะไร หรือการอ้างหาหลักฐานชนิดไหน

การไม่มีจิตใจหรือความรู้สึกที่ค้านหรือรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น จะฟังแต่เนื้อหาของธรรมะนั้น และศึกษาเรียนรู้ก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นอย่างไร สูง ต่ำ ก็รู้ว่าสูงหรือต่ำ ดังคำกล่าวที่ว่า"เคาะเข้าเถิดจะเปิดออกมานี้" มันเหมือนอย่างที่เราพูดว่าถ้าปฏิบัติให้ถูก มันก็จะง่าย ง่ายที่สุดในการที่จะบรรลุนิพพาน เดี๋ยวนี้ไปนอนหลับสบายกันเสียหมด ทั้งพระทั้งฆราวาสก็ได้ ไม่มีใครเคาะ ไม่มีใครแสวงหา หรือไม่มีใครขวนขวายนั่นเอง

ถ้าฟังกันแต่เนื้อหาของธรรมะแล้วมันก็ไม่มีพุทธ ไม่มีคริสเตียน ไม่มีเซ็น ไม่มีเถรวาท ไม่มีมหายานอย่างนี้ ไม่มีอาการที่จะเป็นเขาเป็นเราเลย จิตมันว่างเปล่า มันจึงมีเขาฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้มีเรา อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ ฉะนั้น ความกระทบกันระหว่างเขากับเราไม่อาจจะเกิดขึ้นและไม่มีทางเกิด ไม่มีแม้พื้นฐานที่จะเกิด เห็นธรรมะเป็นพระเป็นเจ้า เห็นพระเป็นเจ้าเป็นธรรมะไปเสียแล้ว

เหมือนว่าพระเป็นเจ้าของฝ่ายที่นับถือศาสนาที่พระเป็นเจ้านั้น มีการสร้าง มีการทำลาย มีการให้รางวัล มีการกระทำทุกอย่างตามหน้าที่ของผู้เป็นเจ้า เราก็มีสิ่งที่ทำหน้าที่อย่างนั้น ครบทุกอย่างเหมือนกัน แต่เรากลับไปเรียกว่า "ธรรม" เหมือนความหมายของคำว่า "ธรรมะ" ที่บอกว่า ความโง่และความหลง คือ อวิชชาต่างหากที่ไปสมมติให้ว่าเป็นชื่อนั้นชื่อนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ พวกนั้นพวกนี้ จนมีเขามีเรา จริยธรรมทั้งหมดของธรรมชาติทั้งหมดนั้นมีเรื่องเดียว แนวเดียว และสายเดียวกัน

ขอให้สนใจในความจริงข้อนี้เถอะว่า "จริยธรรมทั้งหมดของโลกนี้ หรือของโลกอื่นด้วยก็ได้ ย่อมมีแนวเดียวและสายเดียว และตรงเป็นหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ต้องพูดว่า ของประเทศนั้น ของประเทศนี้ ศาสนานั้นศาสนานี้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เป็นจริยธรรมจะมีหลายรูป หรือหลายเหลี่ยม ดังที่กล่าวมาแล้วก็ยังเป็นอันเดียวแนวเดียวสายเดียวกันอยู่นั่นเอง มีแต่ระบบไหนใกล้จุดหมายปลายทางกว่าเท่านั้น แต่เรื่องเนื้อหาต้องเป็นเรื่องเดียวกันหมด"

ขึ้นชื่อว่าธรรมะแล้ว ต้องเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ว่าอันไหนหรือใครจะกล่าวนั้นมันใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปหรือยัง ฉะนั้นเราอย่างได้รังเกียจ อย่างได้ชิงชัง ว่าคนนั้นคนนี้เป็นคริสเตียน และกลายเป็นศัตรูกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าไม่รู้ธรรมะอย่างลึกซึ้ง ยิ่งเป็นครูบาอาจารย์แล้วด้วย ไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้โดยเด็ดขาด

yengo หรือ buzzcity

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น