นิทานสอนใจ : การตัดสินใจของ "เลวิน"
เลวินเป็นนักกีฬาพายเรือแคนูมือหนึ่งของประเทศ เขาพายเรือแคนูชนะคู่ต่อสู้มาทั่วสารทิศ แต่นั่นก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะการแข่งขันภายในประเทศเท่านั้น เลวินยังไม่เคยไปแข่งนอกประเทศเลย และเขาก็อยากจะลองพิสูจน์ตัวเองดูสักครั้ง
แล้วในปีหนึ่ง ประเทศของเลวินก็ได้ส่งกีฬาพายเรือแคนูเข้าแข่งขันในศึกกีฬาระดับโลกด้วย แน่นอนว่าเลวินได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมพาลูกทีมเข้าสู้ศึกครั้งนี้ แต่แล้วก่อนการเดินทางเพียงไม่กี่วัน ภรรยาของเขาซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ยอมคลอดเสียที เลวินจึงไปพบหมอเจ้าของไข้เพื่อสอบถามอาการของภรรยา หมอตอบว่า
"ภรรยาของคุณมีปัญหาด้านสุขภาพมาก่อนนะเลวิน อันที่จริงก็เสี่ยงอยู่แล้วที่จะให้เธอตั้งครรภ์ แต่เมื่อตั้งครรภ์ เราก็ต้องดูแลประคับประคองเธอให้ดีที่สุด บางทีนะเลวิน คุณอาจจะต้องเลือกว่าจะเอาภรรยาหรือลูกของคุณไว้ แค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"
เลวินไม่อยากเลือกเลย เขาและภรรยาเฝ้ารอลูกคนนี้มานาน เขาซื้อเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้ลูกหลายชุด ซื้อของเล่นมากมายรอให้เขามาเล่น และทำห้องเด็กน่ารัก ๆ ไว้คอยต้อนรับ ในขณะที่ภรรยานั้น เพราะมีเธอจึงทำให้เขามีกำลังใจที่แข็งแกร่ง มีรอยยิ้มที่เบิกบาน และมีเสียงหัวเราะที่สดใสอยู่ได้
เลวินลองไปพบผู้จัดการทีม ถ้าเขาจะขอถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ และขอโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งหน้า จะได้หรือไม่
"นายบ้าไปแล้วเลวิน นี่เป็นการแข่งขันระดับโลกเชียวนะ ถ้านายไม่ไปร่วมแข่งขันครั้งนี้ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่านายจะมีโอกาสในครั้งหน้าอีกหรือไม่ ลองคิดดูนะเลวิน นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของนายและกีฬาเรือแคนูของประเทศเรา ถ้านายไม่ไปแล้วทีมแพ้ตั้งแต่ปีแรก นายคิดหรือว่าเขาจะส่งเราลงแข่งเพื่อถ่วงคะแนนรวมในปีหน้าอีก และถ้าเกิดชนะขึ้นมา เราก็คงต้องใช้ผู้เข้าแข่งขันคนเดิมที่ชนะมาแล้ว คงไม่มีใครไปตามนายกลับมาเล่นอีกหรอกนะ"
เลวินจึงต้องคิดหนัก ถ้าเขาเดินทางไปแข่งขันในอีกประเทศหนึ่งซึ่งอยู่ไกลคนละซีกโลก เขาย่อมไม่อาจอยู่ดูแลภรรยาได้ แต่ถ้าเขาไม่ไปแข่งขันในครั้งนี้ความฝันสูงสุดของเขาก็จะต้องพังทลายลง
ภรรยาของเลวินไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เมื่อเห็นว่าสามีกำลังซึมเศร้าก็คิดว่าเขาคงทุกข์ใจกับการเลือกว่าจะไปร่วมการแข่งขันกีฬา หรืออยู่รอเธอคลอดลูกดี ภรรยาของเลวินจึงแข็งใจกล่าวต่อเลวินอย่างเหนื่อยอ่อนว่า
"คุณไปแข่งพายเรือแคนูเถอะค่ะเลวิน ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันอยู่ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลดูแล แต่ความฝันของคุณ คุณจะต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเองนะคะ"
เลวินมองหน้าภรรยา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่วันนี้เขากลับไปหาผู้จัดการทีม และเขาสละสิทธิ์โดยไม่ต่อรองขอโอกาสอะไรอีกเลย
ในที่สุด คนอื่นก็ถูกลงไปแข่งขันแทนเลวิน ในขณะที่เลวินอยู่ดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลกระทั่งเธอคลอดลูกชายอย่างปลอดภัยโดยที่เขาไม่ต้องเลือกว่าจะเอาแม่หรือลูกไว้ วันนั้น ประเทศของเขาก็ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันพายเรือแคนู
ภรรยาของเลวินสุขภาพอ่อนแอ ดังนั้นหลังคลอดลูกเธอจึงต้องพักฟื้นร่างกายอีกพักใหญ่ เลวินจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงลูกชายด้วยตัวเอง ตลอดเวลานั้น มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ และกล่าวแสดงความเสียดายที่เขาไม่ไปร่วมการแข่งขันจนพลาดเหรียญทองระดับโลกไป แต่เลวินซึ่งอุ้มลูกชายอยู่กล่าวว่า
"ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมเห็นหน้าลูก และรู้ว่าภรรยาปลอดภัย ผมก็ไม่เสียใจ หรือเสียดายอะไรกับเหรียญรางวัลพวกนั้นอีกแล้ว"
ผู้มาเยี่ยมแย้งว่า "โธ่เอ๊ย! แต่นี่เป็นโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณมุ่งมั่นกับการแข่งขันเรือแคนูมากแค่ไหน แล้วทำไมคุณถึงทำให้เรื่องแค่นี้มาฉุดเอาโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณไปได้"
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เลวินอาจจะโกรธคนที่พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เมื่อได้อุ้มลูกไว้กับอก เขาก็ไม่รู้สึกโกรธเลย เลวินรู้แล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีได้รู้ว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตนเองแม้ว่าบางครั้งสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้แค่คืบก็ตาม
"โอกาสสำคัญคงไม่มีความหมายถ้าผมต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป คุณลองคิดดูเถอะว่า ถ้าผมไปแข่งขันพายเรือแคนูที่ผมรักจนได้เหรียญทองกลับมา แต่ภรรยาและลูกของผมไม่อยู่เสียแล้ว ผมจะเอาเหรียญทองนั้นมาให้ใครดูเล่า"
ปีแล้วปีเล่าหลังจากปีนั้น เลวินก็ไม่ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันอีกเลย แต่เขาก็มีความสุขดีกับครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อลูกชายโตพอที่จะฝึกพายเรือแคนูได้ เลวินก็ได้ทำในสิ่งที่เขารักอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้ทำมันด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้สอนเจ้าหนูเลโอให้พายเรือแคนูอย่างแกล้วกล้า เลวินรู้สึกว่า ทุกครั้งที่ได้เห็นลูกชายจับไม้พายเพื่อฝึกหัดพายเรือแคนู เขาก็มีความสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่เคยทำมันด้วยตัวเองเสียอีก
20 ปีต่อมาขณะที่เลวินกำลังนั่งฟังรายการวิทยุอยู่กับภรรยานั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เลวินเดินไปรับโทรศัพท์ เป็นเสียงของเลโอเองที่ร้องบอกผู้เป็นพ่อมาตามสายด้วยความตื่นเต้นว่า
"พ่อครับ ผมทำได้แล้วครับพ่อ ผมคว้าเหรียญทองจากการพายเรือแคนูมาให้พ่อได้แล้ว ตอนนั้นพ่อเสียสละโอกาสของพ่อเพื่อผม แต่ตอนนี้ผมนำมันมาคืนพ่อได้แล้วครับ"
ดังนั้น เธอทั้งหลาย...ปัญหาสำคัญของมนุษย์ในยุคแสวงหาความเจริญโดยไม่มีวันสิ้นสุดก็คือ เรามักจะหลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตไป ตัวอย่างนี้มีเห็นได้ง่าย ๆ เธอลองมองไปรอบ ๆ ตัวเธอสิ มีใครบ้างที่ไม่ดิ้นรนแสวงหาความมั่งคั่งจากการประกอบอาชีพ มีใครบ้างที่ให้เวลากับครอบครัวมากกว่างานที่เขาทำ มีใครบ้างยอมเสียสละงานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ เพื่อกลับมาอยู่บ้านเกิดซึ่งมีพ่อแม่แก่เฒ่ารออยู่ หรือมีใครบ้างยอมทำอะไรเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง
เธออาจจะเถียงว่า ที่ดิ้นรนทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งสำคัญที่สุดทั้งนั้น แต่ความคิดนี้ต้องใช้เวลาและความพอใจเป็นตัวแปร นั่นหมายความว่า เมื่อถึงวันที่เธอหยุดขวนขวายและระลึกได้ว่ามีคนสำคัญอยู่ข้างหลัง ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่าเมื่อไร สิ่งสำคัญนั้นอาจจะไม่อยู่รอเธออีกแล้วก็ได้
เวลาในชีวิตหนึ่งของเราช่างสั้นเสียจริงเธอเอ๋ย เธอจงคิดและจัดลำดับให้ดีเถิดว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ และจงเลือกทำสิ่งนั้นก่อนเสมอ แน่ละว่า การทำเช่นนี้อาจทำให้เธอเสียอะไรดี ๆ ในชีวิตไปอีกตั้งหลายอย่าง แต่มันก็คุ้มสำหรับการรักษาสิ่งที่ดีที่สุดเอาไว้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เธอจะรู้จักกับคำว่า "ความสุข" และจะไม่นึกเสียใจในวันที่ทุก ๆ อย่างสายเกินไปแล้วเลย
//////////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ