นิทานสอนใจ : ผมอยากได้รองเท้า
มีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมปลายนา พ่อแม่มีอาชีพทำนา ส่วนลูกชายคนเดียวอายุสิบขวบเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้าน มาระยะหลังฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวในนาก็ไม่ออกรวงสวยเหมือนแต่ก่อนและพากันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พ่อกับแม่ก็เห็นว่า ถ้าดันทุรังอยู่ต่อไปคงได้อดตายกันทั้งสามคน และลูกก็ไม่ได้เรียนหนังสือ พวกเขาจึงตัดสินใจพาลูกชายอพยพเข้าไปอยู่ในเมืองและหางานทำ แต่งานก็หายากเต็มที ในที่สุดทั้งสองก็ใช้เงินที่พอมีติดตัวไม่มากลงทุนค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาของลูกชายจนหมด
โรงเรียนในเมืองต่างจากโรงเรียนในชนบทลิบลับ นอกจากค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกจิปาถะที่มีมากกว่าแล้ว เด็กนักเรียนในเมืองยังมีอุปกรณ์การศึกษาครบครัน และมีชุดนักเรียนขาว ๆ ใส่กันอีกด้วย ลูกชายชาวนานั้นเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ในโรงเรียนชนบทก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพราะเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่นั่นต่างเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ชุดนักเรียนเก่าแค่ไหนก็ใส่ได้ ไม่อายเพื่อน แต่สำหรับโรงเรียนในเมืองแล้ว ความขาดแคลนถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น
วันหนึ่งลูกชายกลับมาที่ห้องเช่าเล็ก ๆ และบ่นกับพ่อแม่ว่า ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว
"ทำไมล่ะลูก" ผู้เป็นแม่ถามด้วยความตกใจ เพราะการศึกษาคือสมบัติยั่งยืนอย่างเดียวที่แม่ผู้ขาดแคลนอย่างนางจะหามาให้ลูกได้ ขอเพียงลูกตั้งใจเรียนเท่านั้นนางก็ไม่เหนื่อยเลย
"ผมอายเพื่อน" ลูกชายบอก "เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนใส่ชุดนักเรียนสะอาด ๆ ทั้งนั้น แล้วทุกคนก็ใส่ถุงเท้ากับรองเท้ากันหมดเลย มีผมคนเดียวที่ใส่เสื้อเหลืองอ๋อยไปโรงเรียน แถมยังเดินเท้าเปล่าไปอีก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง ผมไม่ชอบเลย"
"เราไปโรงเรียนเพื่อหาความรู้นะ ไม่ได้ไปประชันชุดสวยกับใคร ลูกไม่น่าจะคิดมาก" ผู้เป็นพ่อติง แต่คนเป็นแม่เข้าใจจิตใจของลูกดี นางหันไปบอกสามีว่า
"อย่าว่าลูกเลยนะพี่ เราพาลูกมาอยู่ในเมืองเขาก็เห็นเพื่อนมีของใช้ดี ๆ ก็ต้องอยากมีเหมือนคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา อันที่จริงชุดนักเรียนของลูกก็เริ่มจะคับแล้ว ถึงลูกไม่พูดฉันก็คิดจะซื้อให้แกใหม่อยู่พอดีน่ะแหละ"
ผู้เป็นพ่อเงียบไป เขาติดตามและเริ่มเห็นด้วยกับภรรยา ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีไม่ขัดก็หันมาบอกลูกชายว่า "แม่ต้องขายของเก็บเงินอีกสักสองสามวันก่อนนะ แต่ก็คงซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่ให้ลูกได้แค่สองชุด ลูกต้องซักและผลัดกันใส่เอาเอง"
"ได้ครับแม่" ลูกชายรีบรับคำพร้อมกับยิ้มแฉ่ง
สามวันต่อมา แม่ก็ซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่มาให้ลูกชายสองชุด ลูกชายเห็นแล้วดีใจมากถึงกับกระโดดโลดเต้น แต่เขาก็หารองเท้านักเรียนไม่เจอ จึงร้องถามแม่ว่า
"รองเท้านักเรียนล่ะครับ ถุงเท้าด้วย"
ผู้เป็นพ่อกุมขมับและร้องขึ้นมาทันที "โอยลูก แกจะเอาอะไรจากพ่อแม่นักหนา แค่เสื้อผ้าสองชุดนั้น เงินเก็บของเราก็แทบจะหมดบ้านอยู่แล้ว นี่พ่อกับแม่ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของมาขายต่อ"
"แต่ถ้าไม่มีรองเท้า ผมก็ไม่อยากไปโรงเรียน" เด็กชายหันไปออดอ้อนแม่ "ผมจะเดินได้อย่างไรถ้าไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียน แม่ก็รู้ว่าดินในเมืองมันร้อนขนาดไหน"
"โรงเรียนใกล้แค่นี้ ทนร้อนนิดเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า" ผู้เป็นพ่อพูดเสียงแข็ง "ความรู้อยู่ที่รองเท้าหรือไง มันอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียรของแกต่างหาก"
"อย่าดุลูกนักเลยพี่ ลูกกลัวไปหมดแล้ว" แม่ปรามพ่อก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายว่า "ลูกเอ๋ย แม่ก็อยากให้ลูกมีเหมือนเพื่อน ๆ นั่นแหละ แต่แม่ไม่มีเงินเหลือแล้วจริง ๆ ลูกอดทนเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียนอีกสักพักเถอะนะ"
เด็กชายปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าจะไม่มีทางได้ใส่รองเท้าไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขานั่งร้องไห้ทั้งคืนจนผล็อยหลับไป
รุ่งเช้าเด็กชายงอแงจะไม่ไปโรงเรียนเพราะไม่มีรองเท้านักเรียนใส่ เขาเอาแต่พูดว่า "ผมอยากได้รองเท้า...ผมอยากได้รองเท้า" อยู่อย่างนั้น คนเป็นพ่อไม่สนใจเดินไปจัดของใส่รถเข็นเพื่อนำออกขาย แต่คนเป็นแม่สงสารลูกชายจึงเฝ้าปลอบโยน และพูดให้เห็นถึงความสำคัญของการไปโรงเรียน จากนั้นจึงเดินไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเอง
เด็กชายออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็ทำหน้าเบ้ "โอย ผมแสบเท้าครับแม่ แม่ดูสิผมไม่มีรองเท้าใส่แล้วผมจะไปโรงเรียนได้อย่างไร" พูดจบก็ร้องไห้ออกมาอีก ผู้เป็นแม่นั้นมีใจสงสารลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังใจแข็งกึ่งจูงกึ่งลากจนพาลูกไปถึงหน้าประตูโรงเรียนจนได้ ลูกชายก็ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด และในตอนนั้นเองที่เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เด็กคนนั้นต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เพราะขาของเขาด้วนไปข้างหนึ่ง เขาเดินด้วยความยากลำบาก แต่ก็ยังพยายามเดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านหน้าเด็กชายและแม่ของเขาเข้าไปข้างในโรงเรียน สองแม่ลูกมองเด็กคนนั้นด้วยความตกตะลึง
"ผมไม่อยากได้รองเท้าแล้วครับแม่ แค่มีเท้าสองข้างให้เดินไปไหนได้สะดวกก็เป็นบุญมากแล้ว ต่อไปผมจะไม่ร้องไห้เอาร้องเท้าจากแม่อีก ผมสัญญาครับ" ลูกชายหันไปพูดกับแม่ของเขาในที่สุด
บทสรุปจากผู้แต่ง
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่คงมีหลายครั้งทีเดียวที่เราคิดว่าเราไม่มีในสิ่งที่ควรจะมี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสิ้งนั้นไว้เลยก็ได้ แต่ที่เราอยากได้ก็เพราะว่าคนอื่นมี แต่เรายังไม่มีต่างหาก
ในขณะที่เราเองคิดว่าตัวเองโชคร้าย ไม่มีความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ และหมดกำลังใจที่จะทำสิ่งใด เราเคยหันมองคนอื่นบ้างไหม ทำไมเขายังอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีน้อยกว่าเราเองเสียอีก ถ้าเราเป็นนักเรียน เราอาจจะหมดกำลังใจไปโรงเรียนเพราะไม่ใช่คนเรียนเก่ง และในโรงเรียนก็สอนแต่วิชาการน่าเบื่อทั้งวัน แต่ในขณะที่เราเองกำลังหาวด้วยความเบื่อหน่ายนั้น เด็ก ๆ อีกมากมายกลับต้องทำงานและถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณอยู่ในโรงงานนรกที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เด็กพวกนี้อยากมีชีวิตอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แค่ได้รู้จักชีวิตแบบนั้นสักวินาทีก็ยังดี แต่พวกเขาทำไม่ได้เพราะไม่มีโอกาส
ดังนั้นถ้าเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ซึ่งไม่ค่อยซื้ออะไรให้เลย ทำให้ต้องหัวเสียกระฟัดกระเฟียดใส่พ่อแม่อยู่บ่อย ๆ และนินทาว่าท่านตระหนี่เหลือร้าย แต่รู้หรือไม่ว่า เด็ก ๆ อีกหลายคนต้องเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ถ้าคิดว่าบ้านของเราหลังเล็กเกินไป ลองนึกถึงคนที่นอนใต้สะพานดูเถิด เขาพอใจเพียงได้อะไรสักอย่างหนึ่งมากันแดดกันฝนไปวัน ๆ และถ้าเราคิดว่ารถของเราเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว คนที่ต้องวิ่งตากฝนอยู่บนถนน คนที่ต้องยืนโหนรถเมล์เป็นชั่วโมง ๆ ลองคิดดูว่า เราโชคดีแค่ไหนกับชีวิตในทุกวันนี้
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น