นิทานสอนใจ : ลูกแม่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชนเผ่าโบราณอยู่สองเผ่าเป็นอริต่อกันและมักจะหาเรื่องสู้รบกันอยู่บ่อยๆ ชนเผ่าที่อยู่บนภูเขามีชื่อว่า “เผ่าภูผา” อีกชนเผ่าอยู่พื้นราบด้านล่างชื่อ “เผ่าดินดำ” วันหนึ่งบนภูเขาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เผ่าภูผาจึงยกพลลงมาระรานเผ่าดินดำ เพื่อหวังจะยึดเสบียงมาเป็นของตัว
การสู้รบกินเวลาไม่นาน ไม่มีใครชนะใคร แต่เผ่าภูผาสามารถแย่งชิงอาหารและทรัพย์สินส่วนหนึ่งของเผ่าดินดำไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเผ่าภูผาถอนกำลังถอยร่นขึ้นภูเขาไปแล้ว ชาวเผ่าดินดำจึงได้รู้ว่า มีทารกชายคนหนึ่งของเผ่าถูกจับไปเป็นตัวประกันด้วย
“เด็กคนนั้นเป็นลูกของใครกัน” หัวหน้าเผ่าดินดำถามทันทีเมื่อรู้ข่าว นักรบคนหนึ่งตอบว่า “ลูกของหญิงม่ายนามว่า เมซีอา ขอรับ” “เหตุใดนางจึงเป็นม่าย” หัวหน่าเผ่าถามอีก “สามีของนางเป็นนักรบในเผ่าของเรา และเขาถูกฆ่าตายในการรบครั้งที่แล้วขอรับ” นักรบคนนั้นตอบ หัวหน้าเผ่าดินดำลอบถอนใจ ก่อนจะถามต่อว่า
“ตอนนี้เมซีอารู้ข่าวร้ายนี้หรือยัง” “เมซีอารู้แล้วขอรับ และนางเสียใจมากจนวิ่งเตลิดหายไปไหนก็ไม่ทราบ พวกเราพยายามตามนางไป แต่ก็ตามไม่เจอขอรับ”
หัวหน้าเผ่าเห็นใจหญิงม่ายเมซีอาอย่างจับใจ เขาจึงไม่ปล่อยปละและช่วยเหลือนาง ด้วยการสั่งให้นักรบจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นไปยังเผ่าภูผาและนำลูกชายของเมซีอากลับมาให้จงได้ จากนั้นจึงค่อยตามหาตัวผู้เป็นแม่ในภายหลัง
เผ่าภูผาตั้งอยู่ ณ ยอดเขาของภูเขาแห่งนั้น แต่เผ่าดินดำไม่เคยชินกับการปีนเขามาก่อน ดังนั้นแม้นักรบทุกคนจะเป็นชายฉกรรจ์ที่มีเรี่ยวแรงมาก แต่พวกเขาก็เดินทางขึ้นเขาได้แค่วันละไม่เกินหนึ่งพันก้าวเท่านั้น จนล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ด เหล่านักรบก็เริ่มอ่อนล้าและถอดใจกับการปีนเขาที่ทุลักทุเลและไม่คืบหน้าไปสักเท่าไร หลายๆ คนจับกลุ่มคุยกัน และเสนอความคิดว่าควรจะยกเลิกภารกิจนี้เสีย
“นี่ก็ล่วงมาเจ็ดวันแล้ว เรายังไปไม่ถึงไหนเลย เสบียงที่นำมาก็แทบจะหมดอยู่แล้ว ข้าว่าพวกเราเก็บของกลับกันดีกว่า ขืนเดินทางต่อเป็นได้ตายกลางทางกันหมดนี่เป็นแน่” นักรบคนหนึ่งเสนอเรื่องนี้ต่อเพื่อนๆ
“แล้วเด็กล่ะ” อีกคนถาม “หลายวันอย่างนี้ และกว่าเราจะไปถึงที่นั่นอีก บางทีพวกเผ่าภูผาอาจจะฆ่าเด็กไปแล้วก็ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าเราไปถึงแต่เด็กคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” “แต่ท่านหัวหน้ากำชับเราให้หาเด็กให้เจอ” ”ข้าว่าท่านหัวหน้าเองก็คงไม่คาดคิดหรอกว่า การเดินทางขึ้นภูเขาจะยากเย็นแสนเข็ญและใช้เวลามากขนาดนี้ ถ้าท่านรู้อย่างที่เรารู้ท่านก็คงสั่งให้เราถอนกำลังเหมือนกันล่ะ” หลังจากใช้เวลาถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็ตกลงกันว่าจะถอนกำลังกลับ
ในระหว่างที่กำลังเก็บของอยู่นั้นเอง จู่ๆ นักรบคนหนึ่งก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “พวกเรา! ดูนั่นสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาทางนี้ นางคือเมซีอาใช่รึไม่ ” ทุกคนหันไปมอง เป็นเมซีอาจริงๆ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่าห่อผ้าในอ้อมอกของนาง นางอุ้มลูกชายของนางกลับมาด้วย เหล่านักรบวิ่งไปหาเมซีอา นางดูเหนื่อยอ่อนมากแต่ก็ไม่ยอมส่งลูกชายให้ใครช่วยอุ้ม พวกนักรบจึงช่วยกันหาน้ำมาให้เมซีอาล้างหน้าและดื่มแก้กระหาย
“เจ้าไปพบลูกชายที่ไหนหรือเมซีอา พวกภูผามันทิ้งลูกของเจ้าไว้กลางทางอย่างนั้นหรือ” ทหารคนหนึ่งถาม เมซีอาตอบว่า “เปล่าเลยท่าน ข้าตามเผ่าภูผาขึ้นไปถึงยอดเขาและอ้อนวอนขอให้เขาคืนลูกชายแก่ข้า พวกนั้นเห็นใจจึงยอมคืนลูกชายมาให้ข้าในที่สุด”
นักรบฟังเมซีอาพูดแล้วถึงกับตะลึงตาค้าง “ขึ้นไปถึงยอดเขา! เจ้าคนเดียวภายในเจ็ดวันน่ะหรือ ขนาดพวกเรายังทำไม่ได้เลย” เมซีอาตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองทำได้อย่างไร ข้ารู้แต่ว่าข้าต้องไปเพราะลูกของข้ารอข้าอยู่ที่นั่น เป็นธรรมดาของคนเป็นแม่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันทิ้งลูก แต่สำหรับพวกท่าน ท่านไม่ใช่พ่อแม่ของลูกชายข้า และเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานของท่าน ท่านมาหาเขาตามหน้าที่แต่ไม่ได้มาด้วยความรัก หน้าที่อาจทำให้ท้อถอยได้ในวันหนึ่ง แต่อานุภาพแห่งความรักจะให้พลังกับเราตลอดไป”
เหล่านักรบฟังเมซีอาพูดแล้วถึงกับน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง เมื่อกลับลงไปถึงเผ่า พวกเขาก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในชนเผ่าฟัง ทุกคนล้วนสรรเสริญเมซีอาและยกย่องให้นางเป็นยอดหญิงคนแรกแห่งเผ่าดินดำ
บทสรุปของผู้แต่ง
ในฐานะแม่ เมซีอาไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นิทานเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริง แม่บางคนอาจจะทำเพื่อลูกของเธอมากกว่าที่เมซีอาทำเสียอีก ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพลังแห่งความรักที่คนเป็นแม่มีให้แก่ลูก เราอาจจะคิดว่าเราเองก็รักแม่มาก แต่นั่นไม่มีทางเท่ากับที่แม่รักเรา เพราะเรารักแม่อย่างมีข้อแม้ อย่างน้อยเราก็ต้องการความรักความอบอุ่นจากท่าน แต่แม่รักเราโดยปราศจากเงื่อนไข
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น