นิทานสอนใจ : ความสุขของนานา
มีครอบครัวของผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ และบุตรสาวแสนน่ารักอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า "นานา" นานาเป็นบุตรสาวที่พ่อแม่ของเธอรักดั่งแก้วตาดวงใจ อะไรที่เป็นความสุขของนานา พ่อกับแม่ก็จะสรรหามาให้
แม้จะดูเหมือนเป็นเด็กที่ถูกตามใจ แต่นานาซึ่งเป็นเด็กน่ารักก็ไม่เคยใช้ความรักของพ่อแม่มาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ไม่เหมาะสม นานารู้ว่าพ่อแม่รักเธอมาก ถ้าเธอเป็นเด็กดี พ่อกับแม่ก็จะมีความสุข แต่ถ้าเธอเป็นเด็กไม่ดีพ่อกับแม่ก็จะทุกข์ทรมาน นานาอยากให้พ่อกับแม่มีความสุข ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะเป็นเด็กดี และประพฤติแต่ในสิ่งที่ดี ๆ ซึ่งก็ทำให้พ่อแม่ของเธอมีความสุขมากจริง ๆ
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบสองขวบของนานา พ่อกับแม่จึงถามเธอว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ "หนูอยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่มีรอยยิ้มของเด็กมากมายมาร่วมฉลองกับหนูด้วยค่ะ" นานาบอกพ่อกับแม่พร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ ซึ่งกุมเอาทั้งหัวใจของพ่อและแม่ของเธอไว้ได้ทั้งหมด
"ได้สิจ๊ะลูก พ่อกับแม่จะจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ให้กับหนู และเชิญเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนทุกคนมาร่วมงานนี้ด้วย” พ่อของนานารีบสนองความต้องการของบุตรสาว แต่นานาไม่ได้ต้องการแบบนี้ เธอจึงกล่าวค้านว่า
"ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หนูไม่ต้องการฉลองกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เพราะว่าเพื่อน ๆ ทุกคนล้วนมีทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพร้อมอยู่แล้ว พวกเขาอาจจะยิ้มและหัวเราะที่ได้ร่วมสนุกในงาน แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่อยากจะยิ้มจริง ๆ หนูอยากเห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ ที่อยากจะยิ้ม แต่ไม่เคยได้ยิ้มต่างหากละคะ"
พ่อกับแม่เข้าใจในสิ่งที่นานาพูดทันที ด้วยความเป็นคนโอบอ้อมอารี นานาจึงอยากมอบความสุขในวันเกิดของเธอให้คนอื่น ๆ ด้วยนั่นเอง ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงติดต่อไปที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เพื่อขอจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาที่นั่น ซึ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าก็ตอบรับกลับมาอย่างยินดียิ่ง ดังนั้นครอบครัวของนานาจึงช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ และขนมมากมายให้เพียงพอแก่เด็กกำพร้าที่นั่น
เมื่อไปถึง มีเด็กมากมายยืนรออยู่แล้ว หลังจากจัดสถานที่เสร็จงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น
"ตายแล้ว!" แม่ของนานาร้องลั่น "ฉันหยิบเทียนวันเกิดมาไม่ครบ ขาดไปตั้งสามเล่มแน่ะ”
"ทำไมคุณไม่รอบคอบเลยนะ" พ่อของนานาต่อว่าภรรยา "นานาอายุครบสิบสองขวบวันนี้ แต่คุณกลับเอาเทียนมาแค่เก้าเล่ม ลูกต้องเสียใจแน่ที่มีเทียนปักอยู่บนเค้กของแกไม่ครบ"
แต่นานาเดินมาได้ยินเข้าพอดี เธอจึงเข้าไปหาพ่อกับแม่แล้วบอกอย่างอารมณ์ดีว่า "อย่าทะเลาะกันเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้หนูเสียใจหรอกค่ะ"
ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงเลิกต่อว่ากัน และหันไปบอกเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าว่า "ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็พร้อมแล้ว เริ่มงานเลี้ยงกันเลยเถิดค่ะ เอาล่ะนานาเตรียมอธิษฐานแล้วตัดเค้กนะลูก"
แต่เจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะ และกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า "เอ่อ...ขอความกรุณาคอยอีกประเดี๋ยวได้ไหมคะ ยังมีเด็กอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะวันนี้แกงอแงแต่เช้า ไม่ยอมออกจากห้องเลย แต่มีเจ้าหน้าที่ไปรับตัวแกมาแล้ว ช่วยรออีกนิดเถิดนะคะ โมโมแกไม่เคยได้เห็นงานแบบนี้ ไม่เคยได้กินขนมเค้กนี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรกในชีวิตแก"
ทันทีที่พูดจบ เจ้าหน้าที่อีกคนก็จูงโมโมเดินเข้ามาในงาน ดูแวบแรกใคร ๆ ก็รู้ว่าโมโมไม่เต็มใจที่จะมางานนี้นัก หน้าของเธอบิดเบี้ยวเหมือนคนเจ็บทรมาน และแววตาของเธอดูไม่เป็นมิตรกับใคร ๆ เลยแต่ทันใดนั้นเอง เมื่อสายตาของโมโมหันไปเห็นขนมเค้กแสนสวย ปักเทียนเก้าเล่มตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สีหน้าและแววตาของโมโมก็เปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคยบิด ๆ เบี้ยว ๆ ของโมโมบัดนี้กลับยิ้มแฉ่ง ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายสดใส ผิดจากเมื่อครู่เหมือนคนละคน
"ทุกคนรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบเก้าขวบของหนู หนูขอตัดเค้กเลยได้ไหมคะ" โมโมร้องอย่างดีใจยิ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าได้ยินโมโมพูดอย่างนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ขอให้ครอบครัวของนานารอโมโมก่อนเมื่อครู่ก็ตัดสินใจเดินไปหาพ่อและแม่ของนานา และพูดอย่างอึกอักว่า “ได้โปรดเถิดค่ะ ได้โปรดมอบเค้กก้อนนั้นให้แก่โมโม ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่โมโมไม่เคยยิ้มอย่างนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่แกยิ้มได้ เพราะฉะนั้นได้โปรดให้โมโมได้ตัดเค้ก และคิดว่าพวกเราจัดเตรียมทุกอย่างนี้มาเพื่อแกเถิดนะคะ"
พ่อกับแม่ของนานาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ขอมากเกินไป พวกเขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาบุตรสาวสุดที่รัก และอุตส่าห์นึกถึงเด็ก ๆ ที่นี่ แต่ทำไมคนที่นี่ ถึงกล้ามาบอกให้พวกเขาเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกันนี้ให้กับเด็กอีกคนหนึ่งได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่พ่อและแม่ของนานาจะกล่าวคำปฏิเสธ นานาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "ได้สิคะ หนูจะมอบเค้กวันเกิดของหนูให้แก่เด็กคนนั้น นอกจากนั้นหนูก็คิดว่า เราควรร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้เธอโดยเอ่ยชื่อของเธออีกด้วย"
เจ้าหน้าที่ได้ยินนานากล่าวอย่างจริงใจเช่นนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง เธอกล่าวขอบคุณนานาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการใหญ่ ฝ่ายพ่อกับแม่ของนานาก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมทั้งสนเท่ห์ใจในการตัดสินใจของนานาเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเป็นความต้องการของบุตรสาว ทั้งคู่ก็ยินยอมตามนั้นโดยไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไรอีก งานวันเกิดของนานาจึงถูกเปลี่ยนเป็นของโมโมไปโดยปริยาย และโมโมก็ดูมีความสุขมากที่ได้ตัดเค้กวันเกิด
เมื่อครอบครัวของนานากลับถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่ยังกลัวว่านานาจะเสียใจที่ไม่ได้ตัดเค้กวันเกิดจึงพูดปลอบใจนานาเป็นการใหญ่
"ไม่เป็นไรนะนานาลูกรักของพ่อ เดี๋ยวพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ลูกใหม่" พ่อของนานาว่า "และแม่ก็จะทำเค้กก้อนใหญ่กว่าเก่าให้ลูกด้วย" แม่ของนานาเสริม
แต่นานาไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เลย เธอยิ้มน้อย ๆ ให้พ่อกับแม่ ก่อนจะตอบว่า "ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อคุณแม่ เพราะหนูได้เห็นรอยยิ้มจากคนที่ยิ้มยากที่สุด ด้วยเค้กวันเกิดของหนู หนูมีความสุขมากเหลือเกินกับรอยยิ้มของเด็กคนนั้น และนี่ก็ถือเป็นงานฉลองวันเกิดที่วิเศษที่สุดของหนูแล้วค่ะ"
บทสรุปของผู้แต่ง
พอจะเข้าใจไหมว่า เพราะอะไร เด็กหญิงนานาจึงมีความสุขเมื่อเธอต้องเสียเค้กวันเกิดของเธอให้แก่เด็กคนอื่นไป ถ้าเราเป็นนานา เราจะมีความสุขอย่างเด็กหญิงคนนี้ หรือรู้สึกเศร้าใจที่สูญเสียสิ่งที่เธอเองก็ต้องประสงค์ไปเล่าในกรณีของเด็กหญิงนานา เพราะเธอรู้จักการ 'ให้' อย่างแท้จริง ดังนั้นเธอจึงมีความสุขที่การสูญเสียของเธอทำให้อีกคนหนึ่งมีความสุขยิ่งกว่า เนื่องจากคนเรานั้นหากทำอะไรเพื่อตัวเองเพียงฝ่ายเดียวอยู่ตลอดเวลาก็มักจะไม่เคยลิ้มรสแห่งความสุขที่แท้จริงได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น เราก็จะได้รู้จักกับความสุขแท้จริงซึ่งมีมากกว่า ถ้าอยากมีความสุขแท้จริงบ้าง เราก็ควรรู้จักการ 'ให้' อย่างที่นานาได้รู้จักมาแล้ว
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น