นิทานสอนใจ : เรื่องสองพี่น้อง

นิทานสอนใจ : เรื่องสองพี่น้อง


มีครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมากจนกระทั่งพ่อแม่แก่เฒ่า และสิ้นอายุขัยไป สองพี่น้องจึงแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ก็ยังปลูกบ้านที่ในหมู่บ้านเดียวกัน และไปมาหาสู่และรักใคร่กันเสมอ สองพี่น้องยังคงยึดอาชีพชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับพ่อแม่และใช้ชีวิตสันโดษพอเพียง แม้จะไม่มีเงินทองร่ำรวยอะไรแต่ก็มีความสุขตามอัตภาพ มิได้ลำบากยากแค้นอะไรนัก

อยู่มาปีหนึ่ง ชาวนาคนพี่ทำนาได้ข้าวมากกว่าทุก ๆ ปี จึงมีใจคิดเผื่อแผ่ไปถึงน้องชาย เขากล่าวกับภรรยาของตนในเย็นวันหนึ่งว่า

"เธอจะว่าอย่างไร หากฉันจะเอาข้าวที่เราเก็บเกี่ยวได้ในปีนี้ไปแบ่งให้น้องชายของฉันบ้าง"

"ทำไมหรอจ๊ะ นาของน้องชายเธอได้ข้าวไม่ดีนักหรือ" ภรรยาของชาวนาผู้พี่เอ่ยถาม

"เปล่าหรอกจ้า นาของน้องชายฉันก็ให้ข้าวรวงดีไม่แพ้ของเราหรอก แต่ฉันเห็นว่าครอบครัวของเขามีหลายปากท้องต้องให้เลี้ยงดู ทั้งตัวเขา เมียเขา และลูกเล็ก ๆ อีกหลายคน ส่วนเรานั้นมีกันแค่สองผัวเมีย ชึ่งฉันคิดว่า แค่ข้าวเพียงไม่กี่กระสอบก็น่าจะทำให้เราสองคนอิ่มท้องไปจนถึงปีหน้าได้แล้ว" ชาวนาผู้พี่กล่าว

"อืม ฉันเห็นด้วยจ้ะ น้องชายของเธอก็มีน้ำใจกับเราสองคนเสมอมา เมื่อมีผักผลไม้ดี ๆ เกิดขึ้นในไร่นาของเขา เขาก็นำมาให้เราทุกครั้ง เมื่อเรามีข้าวมากจนเหลือกิน เธอก็จัดแบ่งไปให้ครอบครัวของน้องชายเธอบ้างเถิดจ้ะ"

เมื่อภรรยาสนับสนุนเป็นอย่างดีเช่นนั้น ชาวนาผู้พี่ก็จัดการบรรจุข้าวลงกระสอบขนาดใหญ่ แล้วรอจนมืดค่ำจึงค่อยแบกกระสอบข้าวกระสอบนั้นไปยังบ้านของน้องชาย และทิ้งกระสอบข้าวไว้ข้างนอกประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะชาวนาผู้พี่เกรงว่า ถ้าเอาไปให้ตอนกลางวันแล้วน้องชายรู้ น้องชายอาจจะปฎิเสธข้าวของเขาเพราะความเกรงใจก็เป็นได้

วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวนาผู้พี่ไปนับกระสอบข้าวที่เหลืออยู่ในยุ้งเขาต้องประหลาดใจเพราะปรากฏว่า กระสอบข้าวยังมีจำนวนเท่าเดิม

"เอ เมื่อคืนเรานำข้าวไปให้น้องหนึ่งกระสอบ แล้วทำไมข้าวเราจึงเหลืออยู่เท่าเดิม หรือว่าเราจะนับผิด ถ้าอย่างนั้นเราเอาข้าวไปให้น้องสักหนึ่งกระสอบแล้วกัน" พี่ชายผู้พี่บอกกับตัวเอง

คืนวันนั้นเข้าก็เอาข้าวอีกกระสอบไปให้น้องชาย แต่พอเช้าวันต่อมา เมื่อเขาเข้าไปนับก็ปรากฏว่าข้าวยังคงเหลือเท่าเดิมเหมือนครั้งแรก

"เอ๊ะ! จะให้เชื่ออย่างไรนี่" ชายผู้พี่ร้อง "ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเอาข้าวไปให้น้องเราอีกกระสอบหนึ่ง" คืนนั้นชาวนาผู้พี่จึงแบกกระสอบข้าวไปบ้านน้องชายอีกหนึ่งกระสอบเป็นรอบที่สาม

แสงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าในคืนวันนั้น ชายผู้พี่มองเห็นร่างของใครคนหนึ่ง กำลังแบกกระสอบข้าวตรงมาทางเขา ชายผู้พี่จ้องเขม็งตามองอีกครั้ง จึงเห็นว่า ร่างของคนคนนั้นก็คือน้องชายของเขานั่นเอง ชาวนาผู้พี่ และชาวนาผู้น้องต่างหยุดวางกระสอบข้าวลงบนพื้น แล้วมองหน้ากันอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า

"เอ๊ะ! พี่เองเหรอที่เอาข้าวมาวางไว้หน้าบ้านของฉันน่ะ"

"อ๊ะ แก่เองเหรอน้องรักที่เอาข้าวมาวางไว้ในยุ้งข้าวของพี่ทุกคืน"

แล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะด้วยความขบขันเป็นเวลานาน ต่างคนต่างก็รู้สึกรักและผูกพันกับอีกคนมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดจาอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว

บทสรุปของผู้แต่ง

สองพี่น้องชาวนารักใคร่กันดี เพราะมีน้ำใจไมตรีให้เแก่กันอยู่เสมอ เขาอาจจะรักกันบนพื้นฐานความเป็นพี่น้องก็จริง แต่เราก็สามารถรักและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอย่างจริงใจได้ โดยไม่ต้องเป็นอะไรกับเขาเลย เพราะความรัก ความเมตตา และความปรารถนาอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ไม่ใช่คุณธรรมที่สงวนไว้เฉพาะพี่น้องร่วมสายโลหิต แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติต่อกันเสมือนเช่นนั้น ถ้าทำได้แบบนี้ สังคมของเราคงน่าอยู่ขึ้นมาก เพราะเราจะมีแต่พี่น้องที่รักกันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในความเป็นจริง ทุกคนอาจไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม

ดังนั้น จำไว้เถิดว่า การช่วยเหลือคนที่อ่อนด้อยกว่าด้วยความแบ่งปันนั้นจะสร้างความสุขให้แก่ตัวเราเองมากมาย อย่ากลัวเลยว่า ถ้าแบ่งสิ่งที่เราพอจะมีให้แก่ผู้อื่นแล้ว เราจะไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะถ้าเรามีใจที่พร้อมจะแบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาก็จะไม่มีใครต้องเสียอะไรไป เนื่องจากเมื่อเราแบ่งปันบางสิ่งให้คนอื่นเพื่อช่วยเหลือเขา เขาก็จะแบ่งปันบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเรา หากเราต่างก็ช่วยเหลือกันดีเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องสูญเสียอะไรไป และยังคงมีเท่าเดิมเหมือนกันทุกคน ดังเช่นชาวนาสองพี่น้องที่แม้จะแบ่งข้าวของตัวเองให้อีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ยังมีข้าวอยู่เท่าเดิม ด้วยน้ำใจแห่งการแบ่งปันนั่นอย่างไรเล่า

///////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

yengo หรือ buzzcity

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น