นิทานสอนใจ : เด็กชายตัวเล็กๆ กับชายขี้เมา
เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงามมาก เขามักช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนโดยไม่หวังผลตอบแทน จนบางครั้งการช่วยเหลือของเขาก็ทำให้เพื่อนๆ และคนรอบตัวข้องใจว่า
“จะช่วยคนอื่นไปทำไมกันนักหนา ช่วยไปก็ไม่เห็นจะได้อะไร”
เด็กชายตัวเล็กๆ ไม่เคยตอบใครหรอกว่า เหตุใดเขาจึงต้องช่วยเหลือคนอื่นๆ อยู่เสมอ เขารู้ว่าคำตอบในใจตนเองจะไม่ช่วยให้ใครๆ เข้าใจอะไรๆ ดีขึ้น ถ้าคนๆ นั้นมิใช่คนที่มีจิตใจอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นเช่นเดียวกับเขา
วันหนึ่ง เด็กชายตัวเล็กๆ ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ที่ทุ่งกว้าง จนกระทั่งใกล้เวลาโพล้เพล้แล้ว พวกเด็กๆ จึงชวนกันกลับบ้าน ระหว่างทางที่เดินกลับนั้นเอง เด็กชายตัวเล็กๆ เห็นม้าตัวหนึ่งมีอาน แต่กลับไม่มีคนขี่อยู่บนอาน จึงร้องถามเพื่อนๆ ว่า
“มีใครรู้บ้างว่าม้าตัวนี้เป็นของใคร ทำไมมันถึงมาเดินป้วนเปี้ยนด้วยอานที่ว่างเปล่าแบบนี้”
แต่ไม่มีเด็กคนไหนรู้จักเจ้าของม้าตัวนี้ และบางคนก็ยังให้ความเห็นอีกว่า
“น่าจะเป็นม้าของพวกขี้เมาแถวๆ นี้แหละ พวกนี้ชอบขี่ม้าไปกินเหล้าในตลาด พอเมามายได้ที่กลับมา แต่ไม่มีแรงบังคับม้า ก็เลยตกลงมาจากอาน คนพวกนี้น่ะ ข้าเห็นอยู่บ่อยๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเป็นห่วงมาก เราน่าจะลองย้อนกลับไปค้นหาเจ้าของม้าคนนี้ดูนะ” เด็กชายตัวเล็กๆ บอกเพื่อน
“ไปหาทำไมกัน นี่ก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย เราต้องรีบกลับบ้านให้ทันมื้อเย็นนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาเล่นอีก” เด็กคนหนึ่งว่า
“ใช่ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า พวกขี้เมาน่ะไม่ใช่คนดีหรอก ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ ให้มันได้รับบทเรียนซะบ้าง” อีกคนหนึ่งสนับสนุน และเพื่อนคนอื่นๆ ที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็กลับกันไปก่อนเถิด ข้าจะตามหาคนๆ นั้นดู” เด็กชายตัวเล็กๆ บอกย้ำความคิดเดิมของตน
“เอ๊ะ! เจ้านี้ดื้อจริง กลับกันเถอะน่า อย่าไปสนใจเลย” เด็กหญิงคนที่อายุมากที่สุดว่า พร้อมกับเดินไปฉุดแขนเด็กชายตัวๆ แต่เขาค่อยๆ แกะมือรุ่นพี่ออกอย่างสุภาพ พร้อมกับกล่าวว่า
“ขอโทษที ข้าอยากจะลองไปตามหาเจ้าของม้าดูสักหน่อย เผื่อว่าเขาตกจากหลังมาบาดเจ็บสาหัส และต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะได้ช่วยเขาได้”
เพื่อนๆ เห็นว่าคงเปลี่ยนความตั้งใจของเด็กชายตัวเล็กๆ ไม่ได้ จึงพากันเดินกลับบ้าน ส่วนเด็กชายตัวเล็กๆ ก็เดินย้อนกลับไปตามถนน พลางมองหาผู้เคราะห์ร้ายที่อาจจะตกลงมาจากหลังม้า
หลังจากเดินหาอยู่สักครู่ เด็กชายตัวเล็กๆ ก็พบร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง นอนสลบอยู่ข้างทาง เขาจึงวิ่งไปหาน้ำจากแม่น้ำใกล้ๆ มาลูกหน้าลูบตาชายผู้นั้นจนฟื้นจากอาการหมดสติ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงมีอาการเมามายสะลึมสะลือและพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่ดี
‘นี่ก็ค่ำแล้ว แต่เรายังถามไม่ได้ความเลยว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน อย่างนั้นคงต้องพาเขาไปบ้านของเราก่อน’
เด็กชายตัวเล็กๆ คิด แล้วเข้าแบกร่างของชายขี้เมาผู้นั้น เพื่อพากลับไปนอนพักต่อที่บ้านของตนทันที เด็กชายตัวเล็กๆ แบกร่างชายหนุ่มขี้เมากลับมาถึงบ้านอย่างทุลักทุเล และทั้งคู่ก็สกปรกมอมแมมมาก เพราะล้มลุกคุกคลานด้วยกันมาตลอดทาง ดังนั้น เมื่อสมาชิกในบ้านเห็นสภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ และชายขี้เมาแล้ว พวกเขาจึงพากันโกรธเด็กชายตัวเล็กๆ เป็นการใหญ่
“เจ้าลูกคนนี้ ชักเอาใหญ่แล้วนะ กลับบ้านก็ช้า ซ้ำยังพาขี้เมาที่ไหนไม่รู้เข้ามาในบ้านอีก อยากถูกตีนักหรืออย่างไรกัน” แม่ของเด็กชายตวาดลั่น
“นั่นนะสิจ๊ะแม่ ลูกเองก็รู้สึกกลัวคนขี้เมานัก เพื่อนๆ ของลูกบอกว่าคนพวกนี้น่ะกักขฬะกับผู้หญิงจะตายไป” พี่สาวของเด็กชายตัวเล็กกล่าวอย่างหวาดหวั่น พลางมองชายขี้เมาอย่างรังเกียจ
“ยิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเป็นพวกขี้ขโมยก็ได้” พ่อของเด็กชายตัวเล็กๆ กล่าวด้วยความหวาดระแวง
“เห็นไหมเล่า เจ้าลูกจอมดื้อ ว่าเจ้าทำให้ทุกคนในบ้านเสียขวัญมากแค่ไหน เพราะฉะนั้น จงเอาเจ้าขี้เมานี้ออกไปจากบ้านของเราเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม่จะงดอาหารของเจ้าทั้งมื้อนี้และมื้อของวันพรุ่งนี้ด้วย” ผู้เป็นแม่พูดขู่ลูกชาย
“นี่แน่ะ พ่อ แม่ และพี่ที่รักของข้า...คนๆ นี้เขาอาจจะเป็นขี้เมาก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องช่วยเหลือเขาด้วย” เด็กชายว่า แล้วหันไปกล่าวแก่แม่ของตนว่า “หากแม่จะงดอาหารลูกก็งดเถิด เพราะลูกทำให้แม่และทุกคนไม่มีความสุขในบ้านของเรา แต่อย่างไรเสีย ลูกก็จะขอดูแลเขาในบ้านของเรา จนกว่าเขาจะมีสติมากพอและดูแลตนเองได้” เด็กชายยืนยัน
สุดท้าย เด็กชายตัวเล็ก ก็นำขี้เมาไปอาบน้ำเย็นในห้องน้ำ เพื่อให้เขาสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นก็หาเสื้อผ้าเก่าๆ ของพ่อมาใส่ให้แทนเสื้อผ้าชุดเดิมที่สกปรกเลอะเทอะจนนึกสภาพเดิมไม่ออก จากนั้นจึงพาขึ้นนอนบนฟูกของตนเอง ท่ามกลางความไม่พอใจของคนในบ้าน
ชายขี้เมานั้นเมื่อได้อาบน้ำเย็นและนอนหลับบนฟูกสักครู่ก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาค่อยๆ รู้สึกตัวและคืนสติดังเดิม เด็กชายตัวเล็กๆ เห็นดังนั้นก็รีบปรี่เข้าไปถามว่า
“ฟื้นแล้วหรือพี่ชาย ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าบ้านของท่านอยู่ที่ใด ข้าจะได้ช่วยนำท่านไปส่งได้”
ชายขี้เมากระพริบตามองเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ช่วยเขาไว้ แล้วตอบว่า
“ข้าไม่มีบ้านหรอก”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงทุบประตูห้องดังลั่นขึ้น ตามมาด้วยเสียงแม่ของเด็กชายที่ตะโกนผ่านประตูมาด้วยความโกรธระคนตื่นกลัว
“ออกมานะ เจ้าลูกไม่รักดี! ลากเจ้าขี้เมานั้นออกมาด้วย ตอนนี้มีทหารเข้ามาอยู่ในบ้านของเราเต็มไปหมด เพราะเจ้าแท้ๆ ที่แส่เข้าไปช่วยคนไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น เจ้ากำลังทำให้บ้านของเราต้องพบกับความลำบาก!”
เด็กชายตัวเล็กๆ ฟังแม่ของตนว่า แล้วหันไปถามชายขี้เมา “ท่านเป็นขโมยหรือเปล่า”
“ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก” ชายขี้เมาตอบพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
เด็กชายตัวเล็กๆ เปิดประตูเดินออกไปจากห้องนอน เป็นจริงอย่างที่แม่ของเขาว่า ตอนนี้มีทหารหน้าตาขึงขังยืนอยู่ในบ้านเต็มไปหมด เด็กชายตัวเล็กๆ หันไปมองคนอื่นๆ ในบ้าน พบว่าทั้งหมดกอดกันกลมด้วยความตื่นกลัว
“เมื่อใกล้ค่ำเจ้าได้ช่วยชายคนหนึ่งไว้หรือไม่” ทหารคนหนึ่งถามเสียงเข้ม
“ครับท่าน ข้าช่วยคนคนหนึ่งไว้ เขาเมามาก และตกลงจากหลังม้า” เด็กชายตอบ
“อะไรนะ! ทหารร้องเสียงห้าม ทำเอาพ่อ แม่ และพี่สาวของเด็กชายสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แล้วตอนนั้นเอง ชายขี้เมาซึ่งตอนนี้หายเมาแล้วได้ก้าวออกมาจากห้อง
“อย่าดุนักสิ คนอื่นเขาตกใจหมดแล้วเห็นไหม” ชายหนุ่มซึ่งเคยเป็นชายขี้เมาว่า พลางหัวเราะอย่างขบขัน
“เจ้าชาย!” ทหารทุกนายร้องอุทานพร้อมกัน แล้วทันใดนั้น ทุกคนก็นั่งลงถวายบังคมเจ้าชายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าชายหรือ!” พ่อ แม่ และพี่สาวของเด็กชายตัวเล็กๆ ร้องลั่นบ้าน
“ใช่แล้ว เราคือเจ้าชาย ต้องขอโทษที่เมื่อครู่เราเสียกิริยาไปบ้าง แต่เรามิใช่ขี้เมาที่เมาจนเป็นนิสัยหรอกนะ” เจ้าชายตรัสพร้อมกับแย้มพระโอษฐ์ไปทาง พ่อ แม่ และพี่สาวของเด็กชายตัวเล็กๆ ซึ่งทำหน้าเหรอหราไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรดี
“เมื่อตอนเช้า เราได้ไปสังสรรค์กับทูตต่างชาติยังที่พักตากอากาศของเขาในเมืองแห่งนี้ แต่เรานั้นคออ่อนมาก เพราะฉะนั้นเมื่อดื่มของมึนเมาเพียงเล็กน้อยก็จะมีการเมามายทันที และตอนขากลับเรารู้สึกมึนๆ จนบังคับม้าผิดทิศทาง ม้าของเราจึงพาเราวิ่งมาทางนี้ แล้วเราก็พลัดตกจากหลังม้า นอนอยู่ข้างถนนดังที่เด็กน้อยคนนี้ไปพบเข้านั่นแล” เจ้าชายว่า
“นับเป็นบุญคุณของครอบครัวข้าพระองค์ ที่ได้มีโอกาสต้อนรับเจ้าชายพระเจ้าค่า” พ่อของเด็กชายตัวเล็กทูลเจ้าชายเสียงสั่น
“หามิได้ เราต่างหากรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบกับบุตรชายผู้มีน้ำใจงามของท่าน เขาช่วยเราทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน ทั้งๆ ที่ใครๆ บอกว่าเราอาจจะเป็นขี้เมามีอันตราย แต่เขาก็ช่วยเราเพราะเห็นว่าเราเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับเขา” เจ้าชายตรัสอย่างซาบซึ้งพระทัย พร้อมกับดึงมือของเด็กชายมากุมไว้อย่างรักใคร่
“เด็กน้อย แม้เจ้าจะเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ แต่หัวใจของเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก จงรักษาความดีนี้ต่อไปเถิด เพื่อว่าเมื่อเติบโตขึ้น เจ้าจะได้ช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการน้ำใจจากคนเช่นเจ้า และช่วยปลดปล่อยความทุกข์ยากให้พ้นไปจากพวกเขาได้ แล้วเมื่อนั้นทุกคนจะพากันกล่าวถึงเจ้าด้วยความรักและนับถือเป็นอย่างยิ่ง”
ตรัสเสร็จเจ้าชายพร้อมเหล่าทหารก็พากันกลับวังทันที
ในเวลาต่อมา เด็กชายตัวเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยที่มีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่นดังเดิม เจ้าชายซึ่งบัดนี้เป็นพระราชาแล้ว ก็ส่งคนมาเชิญหนุ่มน้อยให้เข้าไปเป็นคนสนิทของพระองค์ ในพระราชวังนั่นเอง
บทสรุปของผู้แต่ง
เราควรมีความเมตตาและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกคน โดยที่ไม่คิดตะขิดตะขวงใจว่า คนๆ นั้นสมควรเป็นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากเราหรือไม่ เพราะการช่วยเหลือคนถือเป็นบุญกุศล หากพบคนที่ไม่ชอบกำลังเดือดร้อน ยิ่งต้องให้ความช่วยเหลือแก่เขา เพราะไม่แน่ว่า อาจจะผันแปรศัตรูบางคนให้กลับกลายมาเป็นมิตรผู้ภักดีกับเราก็ได้
แต่หากช่วยเต็มที่แล้ว แต่ศัตรูยังคงมั่นความเป็นศัตรู ก็ช่างเขาเถิด เพราะได้ทำในสิ่งที่เหมาะสมแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว ไม่ว่าผลตอบรับจากคนๆ นั้นจะออกมาเช่นไร บุญกุศลย่อมส่งมาถึงเป็นแน่แท้
บางครั้ง เราก็ต้องช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย...ไม่มีเหตุผลว่าทำไม แต่หากเขาเดือดร้อน เราก็ควรช่วย ไม่ควรคิดว่าช่วยแล้วจะได้อะไร...แต่หากช่วยเขา ย่อมได้รับความสบายใจ อย่าเดินผ่านคนเดือดร้อนโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะถ้าเป็นคนๆ นั้น เราจะอยากให้ใครๆ เดินผ่านในขณะที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นที่สุดหรือไม่
จงช่วยเขาเถิด ถ้าเขากำลังเดือดร้อน ช่วยเขาเท่าที่จะพอช่วยได้...เพราะไม่แน่ว่า...คนที่ช่วยให้เขารอดไปมีวันพรุ่งนี้ อาจเป็นคนที่ทำประโยชน์มากมายให้แก่ผู้อื่นได้ในอนาคต
////////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น