นิทานสอนใจ : ต้นไม้ดอกสีทองและแพะอัปลักษณ์
ชายชาวสวนคนหนึ่งมีอาชีพปลูกไม้ดอกไม้ประดับ วันหนึ่ง ชาวสวนผู้นี้สังเกตเห็นแสงกะพริบมาจากต้นไม้ต้นหนึ่งที่เขาเพาะไว้ในกระถาง จึงเดินเข้าไปดู แล้วก็ต้องร้องด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าต้นไม้ที่อยู่ในกระถางนั้นออกดอกเป็นสีทองอร่ามสวยงามยิ่งนัก หลังจากนิ่งคิดด้วยความตกตะลึงอยู่พักใหญ่ ชายชาวสวนก็คิดไว้ว่า บางทีต้นไม้ต้นนี้อาจจะกลายพันธุ์ จึงทำให้ออกดอกเป็นสีทองผิดจากต้นไม้ต้นอื่นซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกัน
“ดีแล้ว” ชายชาวสวนร้อง เพราะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เราจะเอาต้นไม้ดอกสีทองต้นนี้ไปมอบให้เจ้าเมืองของเรา ในฐานะที่ท่านเป็นคนดี และดูแลชาวสวนอย่างเราด้วยดีมาโดยตลอด และเมื่อท่านได้เห็นต้นไม้ต้นนี้ ท่านจะยิ่งพอใจ หากสวนดอกไม้ของเรามีปัญหาอันใดในภายหลัง เราจะได้เข้าไปคุยกับท่านได้สะดวกยิ่งขึ้น”
ว่าแล้วชายชาวสวนก็จัดแจงแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย และยกกระถางต้นไม้ดอกสีทองขึ้นวางบนศีรษะ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดี
ระหว่างทางไปบ้านท่านเจ้าเมืองนั้น ชายชาวสวนได้พบเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินแบกลูกแพะไว้บนหลังผ่านมาพอดี จึงหยุดพูดคุยกัน เพื่อนบ้านถามขึ้นก่อนว่า
“นั่นท่านจะเอาต้นไม้ไปไหน และเหตุใดต้องทูนไว้บนศีรษะ”
ชายชาวสวนตอบว่า “อ้อ พอดีต้นไม้นี้ออกดอกงามเหลือหลาย ข้าจึงจะนำไปให้ท่านเจ้าเมือง ที่ต้องทูนไว้ ก็เพราะเป็นของขวัญมีค่า จะให้อุ้มหรือลากไปก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ” แล้วชายชาวสวนก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า “แล้วท่านจะไปไหน เหตุใดต้องแบกลูกแพะไว้บนหลังด้วยเล่า ไยไม่ให้มันเดินเอง”
เพื่อนบ้านตอบว่า “ข้าไปเยี่ยมแม่มา แม่ข้าก็เลยให้ลูกแพะหน้าตาอัปลักษณ์ตัวนี้แก่ข้า เพราะหน้าตามันแปลก พอพวกเด็กๆ เห็นก็จะเอาก้อนหินขว้างใส่มัน ข้าสงสารก็เลยต้องแบกมันไว้อย่างนี้จนกว่าจะถึงบ้าน”
ชายชาวสวนมองหน้าลูกแพะก็เห็นว่าหน้าตาของมันอัปลักษณ์เอาเรื่องอยู่ จากนั้นทั้งสองคนก็ชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่วางกระถางต้นไม้ที่ทูนอยู่บนศีรษะ และแพะที่แบกอยู่บนหลังแต่อย่างใด
เมื่อหมดเรื่องคุยแล้ว ทั้งสองจึงกล่าวลา และแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ชายชาวสวนมุ่งหน้าไปยังบ้านของท่านเจ้าเมืองโดยไม่แวะที่ใดอีก ครั้นมาถึงหน้าบ้าน ได้พบคนเฝ้าประตู จึงแจ้งความประสงค์ไปว่า
“ข้ามาพบท่านเจ้าเมืองเพื่อมอบต้นไม้ที่ออกดอกสีทองแก่ท่าน”
คนเฝ้าประตูซึ่งเป็นชายฉกรรจ์สองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะอย่างขบขัน
“ดูให้ดีๆ เสียก่อนเจ้า” คนเฝ้าประตูคนหนึ่งพูดขึ้น “ดอกไม้สีทองอะไรที่ไหน ข้าไม่เห็นจะมี มีแต่ต้นไม้โกร๋นๆ ต้นหนึ่งอยู่บนหัวของเจ้าเท่านั้น”
ชายชาวสวนฟังแล้วตกใจมาก รีบยกกระถางต้นไม้ลงมาดู และพบว่า เป็นไปตามที่คนเฝ้าประตูพูดเอาไว้จริงๆ ต้นไม้ของเขาเหลือเพียงกิ่ง และก้านสีน้ำตาลธรรมดาๆ ไม่มีดอกไม้สีทอง หรือแม้กระทั่งใบสักใบหลงเหลืออยู่เลย
“ต้องเป็นตอนที่เราหยุดคุยกับเพื่อนบ้านของเราแน่ๆ เพราะไม่ทันระวังเจ้าแพะอัปลักษณ์ก็เลยกินดอกไม้สีทองจากต้นไม้ของเราจนหมด...โธ๋เอ๋ย ไม่น่าหยุดคุยนานเลยเรา”
ชายชาวสวนรู้สึกเศร้าใจมากที่ไม่ได้พบท่านเจ้าเมือง และมอบของให้ท่านตามที่ตั้งใจไว้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นอกจากจะนำกระถางต้นไม้ที่ไม่มีดอกเดินกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง
บทสรุปของผู้แต่ง
เรื่องนี้มีนัยยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการเดินทางในช่วงชีวิตของคนเรา คือว่า เมื่อเราเกิดมา และมีชีวิตที่ต้องดำเนิน การเดินทางในเส้นทางแห่งชีวิตของเราก็จะเริ่มต้นทันที ระหว่างนั้นเราจะได้พบเจออะไรมากมายทั้งดี และไม่ดี ถ้าพบเรื่องดี ชีวิตก็จะมีแต่สิ่งดีๆ ผ่านเข้ามา แต่หากหยุดแวะและทักทายกับความไม่ดี ชีวิตก็จะพบแต่เรื่องแย่ๆ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าแย่แค่ไหน เพราะที่บางคนเจอนั้น แค่หลงผิดวูบเดียวก็ทำให้ทั้งชีวิตพังภินทร์ได้แล้ว
การคบเพื่อนเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องเจอในระหว่างการเดินทางไปตามเส้นทางสายชีวิต ถ้าเธอได้พบเพื่อนดีๆ เพื่อนดีๆ จะชี้เส้นทางไปสู่ความสุข ซึ่งเป็นจุดหมายในชีวิตให้แก่เรา แต่ถ้าคบเพื่อนไม่ดี การเดินทางก็กวัดแกว่ง หาจุดหมายในชีวิตไม่ได้ สุดท้ายชีวิตก็จะเสียหาย และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็เหมือนกับลูกแพะอัปลักษณ์ในเรื่องนี้ที่กินดอกไม้สีทองของชาวสวนจนหมดต้นโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวนั่นแหละ
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น