นิทานสอนใจ : หัวใจของนิสรีน
นิสรีนเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม หากเปรียบไปแล้วก็เหมือนดั่งดอกไม้ตูมที่กำลังเริ่มผลิบาน นิสรีนเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผิวของเธอ ขาวนุ่มดุจหิมะในฤดูหนาว และผมยาวสลวยของเธอนั้นมีสีดำเงางามดั่งไม้มะเกลือ นอกจากความงดงาม ในรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นิสรีนยังมีกิริยามารยาทที่งดงามน่าเอ็นดูสมเป็นกุลสตรี และมีจิตใจเมตตากรุณาแก่ทุกคน ดังนั้นเธอจึงเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ รวมไปถึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเดียวกันอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่ในสวนตามลำพัง นิสรีนเกิดความรู้สึกว่าตนเองหายใจขัด และเจ็บหน้าอกด้านซ้ายอย่างรุนแรง เด็กสาวเจ็บปวด และทรมานมากจนแทบจะยันกายยืนไว้ไม่ไหว แต่ด้วยความเข้มแข็งที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในใจ และความคิดถึงที่มีต่อพ่อกับแม่มากในตอนนั้น ทำให้นิสรีนแข็งใจพาร่างของตนเดินกลับไปถึงบ้านได้ในที่สุด พ่อกับแม่ของนิสรีนรีบเชิญหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจดูอาการของบุตรสาวทันที หมอประจำหมู่บ้านใช้เวลาตรวจอยู่สักครู่ก็ออกมารายงายผลการตรวจ ซึ่งทำให้พ่อกับแม่ของเด็กสาวแทบล้มทั้งยืน
"ข้าเสียใจด้วย นิสรีนน้อยมีปัญหาที่หัวใจ และเธอคงจะอยู่กับเราได้ไม่นาน"
"ไม่มีวิธีใดรักษาลูกสาวข้าให้หายได้เลยหรือท่านหมอ แม้จะต้องใช้เงินทองมากมายเพียงไร ข้าก็จะหามาให้ท่าน ขอเพียงช่วยชีวิตลูกสาวของข้าให้ได้เท่านั้น" พ่อของนิสรีนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
"ข้าเสียใจด้วยจริง ๆ ตอนนี้เรายังไม่มีวิธีรักษาโรคหัวใจให้หายขาดได้หรอก โธ่..นิสรีนน้อยผู้น่าสงสาร หากมีวิธีใดที่ข้าจะช่วยลูกสาวท่านได้ ข้าไม่รอช้าแน่" หมอประจำหมู่บ้านให้คำมั่น แต่ทว่าเป็นคำมั่นที่แลดูเศร้าสร้อยมาก
พ่อกับแม่ไม่ได้ปิดบังความจริงแก่นิสรีน เพราะคนในครอบครัวนี้ ไม่เคยกล่าวคำเท็จแก่กัน นิสรีนนั่งฟังเรื่องเกี่ยวกับโรคร้ายของเธออย่างสงบ แล้วแย้มยิ้มกับพ่อและแม่เพื่อให้ทั้งสองคลายกังวลว่า "อย่ากังวลไปเลยจ้ะ พ่อจ๋าแม่จ๋า ลูกไม่เป็นไรหรอก ได้รู้ความจริงอย่างนี้ก็ดีแล้ว ลูกจะได้ใช้เวลาที่เหลือในแต่ละวันของลูกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และคุ้มค่ามากที่สุด"
แม้จะไม่มีวิธีรักษาโรคหัวใจของนิสรีนให้หายขาด แต่นิสรีนก็ต้องไปพบหมอประจำหมู่บ้านที่โรงหมอเพื่อรับยาบรรเทาอาการปวดทรวงอกมากินทุกวัน อันเป็นวิธีรักษาเพียงวิธีเดียวในตอนนี้ที่หมอประจำหมู่บ้านพอจะช่วยเยียวยาเธอได้
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นิสรีนกำลังรอรับยาในโรงหมออยู่นั้น ชายคนหนึ่งท่าทางยากจนได้อุ้มเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เข้ามาในโรงหมอเพื่อรอรับการรักษา เมื่อเด็กหญิงคนนั้นเห็นนิสรีนก็ส่งยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา นิสรีนยิ้มตอบอย่างใจดี แต่ก็แอบจับสังเกตได้ว่า เด็กคนนี้ตัวเล็กและผอมเซียวผิดจากเด็กทั่ว ๆ ไป และสีหน้าของพ่อเธอก็ดูอมทุกข์และเศร้าสร้อยมาก นิสรีนจึงนึกสงสัยว่า เด็กน้อยคนนี้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอันใดหนอ
"ขอโทษนะคะคุณน้า" นิสรีนกล่าวขึ้นกับพ่อเด็กหญิงหลังจากที่เขาปล่อยให้ลูกสาวไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้น "ไม่ทราบว่าลูกสาวของคุณน้าป่วยด้วยโรคอะไรหรือคะ จึงทำให้คุณน้าดูเศร้าสร้อยถึงเพียงนี้"
ชายผู้นั้นหันมามองนิสรีนด้วยแววตาเศร้าหมอง ก่อนจะตอบอย่างไร้กำลังว่า
"น้ามียาย่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เมื่อปีที่แล้วแม่ของแกเพิ่งป่วยตายไป หลังจากนั้นอีกสามเดือน น้าก็พบว่ายาย่าป่วยด้วยโรคเนื้อร้ายที่ยากจะรักษาได้ และต้องรอความตายเพียงอย่างเดียว"
"แต่ก็พอมีทางรักษาไม่ใช่หรือคะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ แกต้องหายแน่" นิสรีนให้กำลังใจ แต่ชายผู้นั้นกลับมีสีหน้าทุกข์ระทมยิ่งกว่าเก่า
"ไม่หรอกหนู...ที่ประเทศของเรา ยังไม่มีหมอรักษาโรคนี้เลย ดังนั้นยาย่าจะไม่มีวันหายหรอก หากไม่ได้เดินทางไปรักษายังประเทศโพ้นทะเลโน้น และนั่นต้องใช้เงินมากทีเดียว ตัวน้าเองก็เป็นเพียงช่างทำรองเท้าจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนเล่า"
นิสรีนรู้สึกสงสารช่างทำรองเท้า และลูกสาวของเขามาก โดยเธอเก็บเอาเรื่องนี้มานอนคิดที่บ้านและอยากหาทางช่วยเหลือให้เด็กคนนี้ได้รับการรักษา แม้ครอบครัวของนิสรีนจะจัดได้ว่าเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง แต่ทรัพย์สมบัติในครอบครัวเธอก็คงไม่พอที่จะช่วยให้เด็กน้อยยาย่าได้รับการรักษายังประเทศโพ้นทะเลได้
อีกประการหนึ่ง เธอก็ไม่อยากรบกวนทรัพย์สมบัติของพ่อและแม่มากเกินไป เพราะอยากให้ทั้งสองได้ใช้ทรัพย์สมบัติที่มีเลี้ยงดูตนเองให้กินดีอยู่ดีจนชั่วชีวิตแทนตัวเธอที่คงไม่มีโอกาสอยู่ดูแลพ่อแม่ไปจนแก่เฒ่า
นิสรีนหมกมุ่นครุ่นคิดถึงวิธีช่วยเด็กน้อยยาย่าอยู่หลายวันหลายคืน จนกระทั่งคืนหนึ่ง เธอก็คิดได้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเด็กคนนี้ โดยไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมากนัก เมื่อคิดได้ดังนั้น นิสรีนจึงแจ้งความคิดนี้แก่พ่อและแม่ของเธอในทันที
"ลูกตัดสินใจว่าจะวิ่งไปทั่วประเทศ ผ่านทุกเขตการปกครอง ผ่านทุกหมู่บ้านเพื่อขอรับเงินบริจาคมาช่วยยาย่าผู้น่าสงสารให้ได้เดินทางไปรักษาตัวยังประเทศโพ้นทะเล"
พ่อกับแม่ของนิสรีนตกใจมาก ต่างพากันทัดทานเป็นการใหญ่ "ลูกกำลังเจ็บป่วยมากนะ ลืมไปแล้วหรือ...ลูกรัก พ่อกับแม่ไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงชีวิตเช่นนั้นหรอก"
พ่อของนิสรีนกล่าวแก่บุตรสาว แต่ตัวเธอนั้นมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนมองข้ามตัวเองไปนานแล้ว "พ่อจ๋า แม่จ๋า...ลูกไม่ลืมหรอกว่าลูกกำลังป่วยหนัก และกำลังจะตาย แต่เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่าลูกจึงอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ของลูกทำสิ่งที่ดีที่สุดก่อนที่ลูกจะตาย โรคร้ายของลูกนั้นไม่มีทางรักษา แต่โรคร้ายของเด็กคนนั้น อาจหายได้ถ้าเขาได้รับโอกาสนะจ๊ะ" นิสรีนกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..มันจะไม่เสียแรงเปล่าหรือลูก ลองคิดดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่ให้เงินลูก เขาจะเชื่อหรือว่าลูกทำไปเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่หลอกเอาเงินเขาไปใช้เอง ในเมื่อเขาก็ไม่รู้จักลูกสักหน่อย" แม่ของนิสรีนว่า "ลูกไม่รู้หรอกจ้ะแม่ว่าสิ่งที่ลูกทำจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ลูกอาจจะได้รับเงินบริจาคกลับมามากมาย หรืออาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่ลูกก็เชื่อว่าความตั้งใจของลูกจะส่งผลดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรืออย่างน้อยเมื่อลูกตายไปแล้ว ดินแดนแห่งความสุขหลังความตายจะได้อ้าแขนรับลูกอย่างเต็มใจอย่างไรล่ะจ๊ะ"
เมื่อไม่อาจเปลี่ยนจิตใจอันแน่วแน่ของบุตรสาวได้ พ่อกับแม่ของนิสรีนจึงปรับเปลี่ยนทัศนคติแล้วหันมาสนับสนุนสิ่งที่เธอทำอย่างเต็มที่ พวกเขาทำแผนที่เส้นทางการเดินทาง ในประเทศให้แก่นิสรีนจ้างม้าข่าวไปกระจายข่าวยังหมู่บ้าน และเขตการปกครองต่าง ๆ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้การวิ่งรับเงินบริจาคของนิสรีนบรรลุผลมากที่สุด นิสรีนเริ่มออกวิ่งตามลำพัง ไปยังที่ต่าง ๆ ตามแผนที่ที่พ่อกับแม่ทำไว้ให้ ระหว่างทางเธอได้พบเจอผู้คนมากมาย และได้พูดคุยกับคนเหล่านั้นอย่างมีอัธยาศัยถึงเหตุผลที่เธอต้องวิ่งรอบประเทศเพื่อหาเงินบริจาค ทำให้ทุกคนที่ได้พูดคุยกับนิสรีนรู้สึกชื่นชมในน้ำใจของเธอยิ่งนัก จึงยินยอมมอบเงินบริจาคให้ด้วยความจริงใจ อีกทั้งยังไปชักชวนเพื่อน ๆ และคนรู้จักให้มาร่วมบริจาคกับเธออีกด้วย
การกระทำของนิสรีน เป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปาก และแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ทุกคนเฝ้ารอการมาถึงของเธอ และบางคนก็ขอวิ่งไปเป็นเพื่อนเธอด้วย ดังนั้นนิสรีนจึงได้รับเงินบริจาคเพิ่มมากขึ้นในทุกที่ และได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ต่อมา เรื่องนี้ก็แพร่เข้าไปในมหาปราสาทจนความทราบไปถึงจ้าวผู้ครองประเทศ จ้าวผู้ครองประเทศจึงสั่งให้ทหารไปสืบสาวความจริงเกี่ยวกับนิสรีน และการวิ่งขอเงินบริจาคของเธอ เมื่อรู้เรื่องทั้งหมด จ้าวผู้ครองประเทศได้กล่าวคำชื่นชมนิสรีน จากนั้นจึงมีคำสั่งให้ทหารองครักษ์สามนายร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อคุ้มครองนิสรีน และให้ความช่วยเหลือเธอตามความเหมาะสม
นอกจากนั้นยังสละเงินส่วนตัวจำนวนมากบริจาคให้แก่การเดินทางของนิสรีนอีกด้วย หลายคนคิดว่า เงินที่นิสรีนหาได้ตอนนี้น่าจะมากพอแล้วสำหรับการรักษายาย่า จึงขอให้เธอหยุดวิ่งด้วยความเป็นห่วงว่าโรคหัวใจของเธอจะกำเริบ แต่นิสรีนยังคงวิ่งต่อไปตามความตั้งใจเดิม เพราะเธอรู้ว่ายังมีคนอีกมากมาย กำลังรอคอยที่จะทำความดีร่วมไปกับเธอ ซึ่งความช่วยเหลือจากจ้าวผู้ครองประเทศก็ทำให้การเดินทางของเธอราบรื่นและรวดเร็วขึ้นมาก จนกระทั่งการวิ่งขอรับเงินบริจาคของเธอเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าเวลาที่คาดหมายเอาไว้ เมื่อนิสรีนนำเงินไปให้ พ่อของเด็กหญิงยาย่าซาบซึ้งใจจนถึงกับร้องไห้ และลงไปนั่งคุกเข่า พร่ำกล่าวคำสรรเสริญเธอด้วยใจจริง นิสรีนห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้น และบอกว่า
"ความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนูคนเดียว แต่มาจากทุก ๆ คนที่ได้มอบเงินบริจาคมาให้ด้วยความศรัทธา และความเชื่อมั่นของพวกเขา พวกเขาอยากให้ยาย่าได้รับการรักษา และมีชีวิตที่สดใสต่อไปค่ะ"
เด็กน้อยยาย่า ได้เดินทางไปรักษาโรคเนื้อร้ายของเธอ ยังประเทศโพ้นทะเล พ่อของเธอส่งข่าวมาให้นิสรีน และผู้บริจาคเงินทั้งหลายทราบเป็นระยะ ๆ ว่า เงินของพวกเขานั้นได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของยาย่าให้ดีขึ้นมากมายเพียงไร และหมอบอกว่ายาย่ากำลังจะหายจากโรคร้ายได้ในไม่ช้านี้
ส่วนนิสรีนนั้น หลังกลับมาจากการวิ่งรับเงินบริจาคช่วยเหลือยาย่าแล้วก็เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ใจขึ้น เมื่อหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจเธออีกครั้ง แล้วพบว่าหัวใจของเธอเป็นปกติดี ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใดดังที่เคยตรวจพบก่อนหน้านี้ สร้างความยินดีให้แก่พ่อแม่และคนที่รู้จักนิสรีนเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นนิสรีนสาวน้อยผู้มีหัวใจมุ่งมั่นก็ใช้ชีวิตของเธออย่างมีความสุข และเมื่อถึงวัยออกเรือน เธอก็ได้แต่งงานกับองครักษ์หนุ่มผู้ที่เคยเข้าร่วมคุ้มครองเธอในการเดินทางครั้งนั้น และมีลูก ๆ ที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูถึงสามคน
บทสรุปของผู้แต่ง
การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นนั้นสำคัญมากเพราะสิ่งนี้จะสอนให้เรารู้จักการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้เราไม่เห็นแก่ตัว หรือนึกถึงแต่ความสุขของตนเองเพียงผู้เดียว คนที่เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนอื่นนั้น สุดท้ายแล้วจะรู้สึกเป็นสุขยิ่งกว่าอย่างน่าประหลาดใจแม้จะสูญเสียสิ่งที่เป็นของตนไปให้ผู้อื่นแล้วก็ตาม
โปรดอย่าตั้งคำถามเลยว่า ทำไปแล้วจะได้อะไร เพราะความเสียสละนั้นเป็นสิ่งที่กระทำอยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจ การเสียสละอาจไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ กระทั่งบางครั้งอาจแลดูสูญเปล่าด้วยซ้ำ หรืออาจจะได้รับสิ่งที่ไม่คาดฝันแสนวิเศษจากการเสียสละนั้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ขอให้ดีใจไว้เถิดว่า ในหนึ่งชีวิตที่เกิดมานี้ เราเป็นคนดีคนหนึ่งที่ทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น