สอนคุณธรรมลูก 5 ประการจาก "วันพีซ"
คอลัมน์ครอบครัวตัวหนอนวันนี้อาจต้องบอกว่าขอฉีกแนวให้แปลกกว่าเดิมสักนิด เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่ทีมงานหยิบหนังสือนิทานดี ๆ ตลอดจนนิทานดี ๆ มาฝากท่านผู้อ่าน (ขอบคุณท่านผู้แต่งนิทานดี ๆ ทุกท่าน ตลอดจนสำนักพิมพ์ใจดีมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ) ก็มักอยู่ในรูปแบบของหนังสือนิทาน แต่ในวันนี้ เรามีอีกหนึ่งสื่อที่ "ดี" ไม่แพ้กัน เพียงแค่เรื่องราวของเขาถูกวาดให้อยู่ในรูปของหนังสือการ์ตูน แถมวางจำหน่ายไปทั่วโลก การ์ตูนเล่มนี้เป็นฝีมือของอาจารย์เออิจิโระ โอดะ ชาวญี่ปุ่น ในชื่อ "วันพีซ" นั่นเองค่ะ
ส่วนการ์ตูนเรื่องนี้มีดีมากพอจะใช้สอนเด็กในด้านคุณธรรมจริยธรรมได้อย่างไรนั้น คงต้องบอกว่า หลาย ๆ ครั้งที่ภาพที่ปรากฏในการ์ตูนเรื่องดังกล่าวสามารถสร้างความรู้สึก "ซาบซึ้งกินใจ" ให้เกิดขึ้นกับเด็กได้ อย่างที่นิทานบางเรื่องไม่สามารถสร้างได้นั่นเอง
นอกจากนั้นแล้ว เสน่ห์ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวก็ยังทำให้มีแฟนการ์ตูนจำนวนมากที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนจนก้าวเข้าสู่วัยเป็นคุณพ่อคุณแม่กันแล้วก็ยังรักเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลาย ซึ่งในโอกาสนี้ผู้เขียนจึงมองว่า มันก็น่าท้าทายไม่น้อย หากเราจะลองนำเรื่องราวแต่ละฉากที่ซาบซึ้งประทับใจนั้น กลับมาสอนให้ลูก ๆ ของเราได้สัมผัสประสบการณ์เดียวกันไปด้วย ซึ่งผู้เขียนขอหยิบยก 5 ฉากที่น่าสนใจมาแบ่งปันกันค่ะ
1. สอนลูกให้มีศรัทธาในคำมั่นสัญญา (จงจุดไฟแห่งแชนโดราให้โชติช่วง)
การสอนลูกให้มีสัจจะ ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไป และทำให้ได้จะว่าเป็นเรื่องยากก็ยาก จะง่ายก็ง่าย เพราะพ่อแม่ก็คือกระจกเงาบานใหญ่ที่เด็กคอยสังเกตและทำตามอยู่แล้ว และสำหรับตอนที่ผู้เขียนขอนำมากล่าวถึงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวประทับใจของคำมั่นสัญญาค่ะ โดยเรื่องเกิดขึ้น ณ อาณาจักรแชนโดรา ระหว่างชายสองคน "นักรบกาลูการา" และ "นักพฤกษศาสตร์-กัปตันเรือ มองบลัง โนแลนด์"ที่เดินทางมาพบกันและขัดแย้งทางความคิดกันอย่างรุนแรงในช่วงต้น
โดยในวันที่เดินเรือมาถึงอาณาจักร โนแลนด์ซึ่งเป็นนักพฤกษศาสตร์พบว่า ผู้คนบนเกาะแห่งนี้กำลังจะตายเนื่องจากโรคระบาด และตัวเขานั้นสามารถปรุงยาเพื่อช่วยชีวิตคนบนเกาะให้หายจากอาการดังกล่าวได้ อย่างไรก็ดี คนในอาณาจักรแชนโดรายังขาดความรู้ความเข้าใจ หนำซ้ำยังถูกความกลัวเข้าครอบงำ จึงมองความหวังดีของโนแลนด์เป็นเรื่องที่ผิดบาป และหันไปพึ่งการบูชายัญแทน แต่สุดท้ายด้วยความจริงใจของโนแลนด์ ทำให้นักรบกาลูการาหันมาเชื่อมั่นในคำพูดของโนแลนด์ และให้โอกาสโนแลนด์รักษาคนบนเกาะจนหายเป็นปกติ
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันอย่างมาก กาลูการาพาโนแลนด์ไปพบกับระฆังทองใบใหญ่ ให้เสียงไพเราะกังวานของอาณาจักรซึ่งโนแลนด์ชอบเสียงนี้มาก พวกเขาตีระฆังเหล่านี้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดความเข้าใจผิดร้ายแรงระหว่างกลุ่มของโนแลนด์กับชาวเผ่า เมื่อโนแลนด์และลูกเรือได้ไปตัดต้นไม้บรรพบุรุษของเผ่า (เพราะต้นไม้เหล่านั้นติดโรคระบาด) แต่ไม่ได้บอกเหตุผลนี้ให้ทุกคนทราบ ทำให้ชาวเผ่าทุกคนรับไม่ได้ และแสดงท่าทางรังเกียจขับไล่พวกเขา จนทำให้โนแลนด์และลูกเรือต้องออกจากเกาะไปอย่างเศร้าสร้อย แต่ไม่นานหลังจากนั้น ความจริงก็กระจ่าง และทำให้ทุกคนในเผ่ารู้สึกผิดอย่างมาก ชาวเผ่าส่วนหนึ่งรีบไปตีระฆังทองนั้นอีกครั้งเพื่อจะส่งเสียงระฆังที่โนแลนด์ชื่นชอบแทนคำขอบคุณ และเป็นตัวแทนแห่งการลาจาก ส่วนนักรบกาลูการาก็รีบไปที่ชายหาด เพื่อให้คำมั่นสัญญากับโนแลนด์ว่า จะคอยตีระฆังอยู่ที่นี่ตลอดไป เพื่อที่วันหนึ่ง หากเรือของโนแลนด์กลับมายังทะเลแห่งนี้อีกจะได้ไม่หลงทาง และเขาสองคนก็จะได้พบกันอีกครั้ง
แม้ในตอนจบ พวกเขาจะไม่ได้พบกันอีก (โนแลนด์ถูกประหารเพราะเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของอาณาจักรแชนโดรา ส่วนนักรบกาลูการาถูกทำร้ายจนเสียชีวิต และอาณาจักรแชนโดราล่มสลาย) แต่คำมั่นสัญญาที่พวกเขามี ก็ยังคงสืบทอดสู่ลูกหลาน พร้อมความเชื่อมั่นที่ว่า สักวันหนึ่ง ไฟแห่งแชนโดราจะลุกโชติช่วง และเสียงของระฆังทองจะดังกังวานอีกครั้ง
2. สอนให้ลูกมีความมุ่งมั่น (ด็อกเตอร์ฮิลรุค และโทนี่โทนี่ ช็อปเปอร์)
เป็นเรื่องยากที่จะหยิบยกตัวอย่างน่าประทับใจเกี่ยวกับการสร้างความมุ่งมั่นในชีวิตจากเรื่องวันพีซขึ้นมา เพราะผู้เขียนวาดไว้หลายตอนอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นคือตอนของด็อกเตอร์ฮิลรุค และโทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์ (ในกรณีที่ลูกสนใจอาชีพแพทย์ เรื่องราวในตอนนี้ยิ่งน่าแนะนำค่ะ) โดยเรื่องราวของตอนนี้มีอยู่ว่า
ในวันที่ลูกกวางเรนเดียร์จมูกสีน้ำเงิน (โทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์) ถือกำเนิดขึ้นมา เขาก็ถูกแม่แท้ ๆ รังเกียจเพียงเพราะเขามีจมูกสีแตกต่างจากกวางตัวอื่น เวลาเดินร่วมกลุ่ม กวางเด็กก็ถูกปล่อยให้เดินรั้งท้าย ไม่มีใครสนใจ ต่อมายังทานผลปิศาจเข้า ทำให้แปลงร่างได้ ยิ่งทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ สุดท้ายเขาจึงถูกขับออกจากกลุ่มตั้งแต่ยังเล็ก และต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จะเข้ากลุ่มกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะกลับเข้าฝูงกวางก็ไม่ได้
สุดท้ายเขาถูกมนุษย์พบเข้าและรุมทำร้าย โชคดีที่ช็อปเปอร์แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ได้พบกับด็อกเตอร์ฮิลรุค หมอกำมะลอที่มีจิตใจงดงาม ด็อกเตอร์ฮิลรุคพาเขาไปรักษาจนหายดี ทำให้ช็อปเปอร์ซึมซับความรู้สึกของการเป็นแพทย์ที่ต้องเสียสละช่วยชีวิตคน และอยู่ช่วยงานด็อกเตอร์ฮิลรุคอย่างมุ่งมั่น
ด็อกเตอร์ฮิลรุคยังมีความฝัน นั่นก็คือการเยียวยาจิตใจคนในเมืองด้วยความสวยงามตามธรรมชาติของดอกซากุระ เนื่องจากจิตใจของคนในอาณาจักรแห่งนี้เต็มไปด้วยความหดหู่ เพราะมีเจ้าเมืองที่ไร้ความเป็นธรรม คอยใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงชาวเมืองอยู่ตลอดเวลา เขาพยายามคิดค้นวิธีทำให้ดอกซากุระบานบนเกาะที่เต็มไปด้วยหิมะมานานหลายสิบปี แต่โชคร้ายที่วันหนึ่ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังจะตายด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ แถมงานวิจัยที่ทำมาเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นเค้าลางของความสำเร็จ เขาจึงขับไล่ช็อปเปอร์ให้ไปมีชีวิตของตนเอง แต่ช็อปเปอร์ก็ยังติดตามเขามาตลอดจนกระทั่งล่วงรู้ถึงความตายที่จะเกิดแก่ด็อกเตอร์ฮิลรุคเข้า ช็อปเปอร์จึงรีบกลับไปพลิกตำราแพทย์และออกตามหายามารักษาด็อกเตอร์ฮิลรุค
แต่ด้วยความไม่รู้ของช็อปเปอร์ ทำให้ยาที่ช็อปเปอร์เก็บมารักษานั้นกลับกลายเป็นยาพิษ กระนั้น ด็อกเตอร์ฮิลรุคผู้สัมผัสได้ถึงจิตใจอันอ่อนโยนของเจ้ากวางเรนเดียร์ก็ยังอุตส่าห์ทานยานี้เข้าไปพร้อมรอยยิ้ม และเอ่ยปากชมช็อปเปอร์ว่า มันจะต้องเป็นหมอที่เก่งมากแน่ ๆ ทันใดนั้นเอง หลอดวิจัยตัวยาที่เขาคิดค้นมาเป็นเวลานานก็เกิดปฏิกิริยาขึ้น เขาจึงรีบนำผลที่ได้นั้นไปฝากให้เพื่อนหมอที่สนิทกันรับหน้าที่เพิ่มปริมาณผงซากุระให้มากกว่านี้ รวมถึงก้มหัวขอร้องให้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แก่ช็อปเปอร์ แทนเขาที่กำลังจะตาย เพื่อที่ว่าวันหนึ่งช็อปเปอร์จะกลายเป็นหมอที่มีทั้งความรู้และจิตใจที่งดงาม
ในขณะที่เวลาของด็อกเตอร์ฮิลรุคกำลังจะหมดลง เขาก็ได้รับข่าวว่า หมอที่อาศัยอยู่ในวังกำลังล้มป่วย หากขาดหมอกลุ่มนี้ชาวเมืองก็จะลำบาก เขาจึงรีบเดินทางไปที่วังเพื่อหวังช่วยรักษา แต่เมื่อไปถึงก็พบว่า ทุกอย่างเป็นการโกหกหลอกลวงของเจ้าเมืองทั้งสิ้น เพื่อต้องการเรียกตัวด็อกเตอร์ฮิลรุค ผู้ที่เจ้าเมืองมองว่ากำลังวางแผนต่อต้านอำนาจของเขาเข้ามาสังหาร วาระสุดท้ายของด็อกเตอร์ฮิลรุคจึงจบลงอย่างน่าประทับใจ ณ ลานกว้างหน้าวัง พร้อมกับเจตนารมย์ในการเป็นแพทย์ที่ดีที่ถูกส่งต่อให้กับช็อปเปอร์ กวางเรนเดียร์แสนรัก ที่สัญญาว่า จะเป็นหมอที่เก่งที่สุด เป็นหมอที่รักษาโรคได้ทุกโรค เพราะโลกนี้ไม่มีโรคใดที่จะรักษาไม่หายนั่นเอง
3. สอนให้ลูกมีจิตวิญญาณของนักประดิษฐ์ผู้สร้างฝัน (ขบวนรถเดินทะเลพัฟฟิ่งทอม)
ในโลกแห่งความเป็นจริง หลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น และช่วยให้เรามีชีวิตที่สุขสบายอยู่ในทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งในอดีต มันก็เคยเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ในใจของนักประดิษฐ์หลายคน และพวกเขาต้องผ่านคืนวันอันยากลำบากพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นให้สำเร็จตามความฝัน เรื่องราวของขบวนรถเดินทะเลพัฟฟิ่งทอมก็เช่นกัน และมันเกิดขึ้น ณ เมืองวอเตอร์เซเว่น เมืองที่เต็มไปด้วย "น้ำ"
เป็นเรื่องราวของลุงทอม มนุษย์เงือกเจ้าของอู่ต่อเรือทอม'ส เวิร์กเกอร์ และเด็กชายสองคนในความดูแล (ไอซ์เบิร์ก และแฟรงกี้) ซึ่งเด็กทั้งสองก็มีความฝันจะเจริญรอยตามลุงทอม เป็นช่างต่อเรือที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งแฟรงกี้ยังมีความสามารถด้านการประดิษฐ์อาวุธมากเป็นพิเศษด้วย แต่สำหรับลุงทอมนั้น เขามีความฝันต้องการสร้างขบวนรถเดินทะเลให้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือเมืองวอเตอร์เซเว่นที่กำลังจะจมน้ำ ให้รอดพ้นจากการล่มสลาย ลุงทอมใช้เวลาเขียนแบบแปลนมายาวนาน และภูมิอกภูมิใจกับงานชิ้นนี้มาก
อย่างไรก็ดี ผลงานในอดีตของลุงทอมก็ย้อนกลับมาทำร้ายเขา เมื่อมีเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลโลกมาจับตัวลุงทอม ด้วยข้อหาผู้สร้างเรือให้โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ โกลด์ โรเจอร์ และเขามีโทษประหารชีวิต
ก่อนที่จะถูกพาตัวไป ลุงทอมได้เล่าให้ผู้พิพากษาฟังถึงแบบแปลนขบวนรถเดินทะเล เรือที่จะวิ่งบนรางในทะเลจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของก็สามารถเดินทางข้ามไปยังเกาะอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าทำสำเร็จ การค้า และธุรกิจของคนในเมืองก็จะฟื้นคืน และเติบโตขึ้น
ผู้พิพากษาให้ความสนใจ และประกาศรอลงอาญาคดีของทอมออกไป 10 ปี เพื่อให้โอกาสเขาสร้างขบวนรถเดินทะเล ลุงทอมและเด็ก ๆ ทั้งสองต่างทำงานอย่างหนัก และในที่สุด พวกเขาก็สร้างขบวนรถเดินทะเลได้สำเร็จ ขบวนรถเดินทะเลพัฟฟิ่งทอมได้บรรทุกผู้คนที่กำลังกลัดกลุ้มข้ามน้ำข้ามทะเลไปจากเกาะที่กำลังจะล่มสลายได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี เวลาแห่งการพิพากษาที่ใกล้เข้ามา กลับทำให้ชีวิตของลุงทอมต้องมาแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อความสามารถอันโดดเด่นด้านการประดิษฐ์อาวุธของลุงทอมได้ถูกหน่วยงานรัฐบาลโลกรับรู้เข้า และต้องการแบบแปลนอาวุธโบราณที่ลุงทอมคิดค้นขึ้นไปครอบครอง ลุงทอมจึงตัดสินใจมอบแบบแปลนนั้นแก่ไอซ์เบิร์กและแฟรงกี้สืบทอดต่อไป แต่ทีมงานจากรัฐบาลโลกก็ใช้วิธีสกปรก ใส่ร้ายป้ายสีให้ลุงทอมและเด็กชายทั้งสองกลายเป็นผู้มีความผิดอีกครั้ง ด้วยการนำเอาเรือรบติดตั้งอาวุธฝีมือการก่อสร้างที่แฟรงกี้ภาคภูมิใจมาโจมตีขบวนเรือผู้พิพากษาความผิดครั้งนี้ทำให้แฟรงกี้ได้รับบทเรียนถึงการสร้างอาวุธของตนเองว่าอาจทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งคนที่ตนเองรักอย่างมาก จนแฟรงกี้หลุดคำพูดว่า เรือลำนั้นไม่ใช่เรือของเขาด้วยความแค้นใจ
ลุงทอมซึ่งกำลังจะถูกพิพากษาโกรธมากกับคำพูดดังกล่าว และสั่งสอนแฟรงกี้ว่า ไม่ว่าเรือที่สร้างขึ้นจะไปทำร้ายใคร แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเรือนั้นต้องรักเรือ และไม่ดูถูกเรือที่ตนเองสร้างขึ้น อีกทั้งต้องเป็นลูกผู้ชายพอที่จะยอมรับว่า ผลงานนั้นเป็นฝีมือของตนเอง
วาระสุดท้ายของลุงทอมที่ปรากฏในเมืองวอเตอร์เซเว่นคือภาพของลุงทอมยอมรับความผิดต่าง ๆ เขาถูกนำตัวไปแดนนักโทษ และไม่ได้กลับมาอีกเลย แต่เขาก็ยังดีใจที่ในวันนี้ เมืองวอเตอร์เซเว่นแตกต่างจากในอดีตมาก ทุกคนในเมืองเปี่ยมไปด้วยพลัง และมีความหวังจากการเกิดขบวนรถเดินทะเลพัฟฟิ่งทอม ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ความฝันของลุงทอมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเมืองนี้ให้วิ่งไปข้างหน้าได้แล้ว
4. สอนให้ลูกเคารพในความเท่าเทียม (นางเงือกเคมี่และเผ่ามังกรฟ้า)
บางครั้ง การเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้มาพร้อมจิตใจที่ยิ่งใหญ่ เรื่องราวของนางเงือกเคมี่และเผ่ามังกรฟ้า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี สำหรับพ่อแม่ที่ต้องการสอนให้ลูกรู้จักเคารพในสิทธิ และความเท่าเทียมกันของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่โลกเต็มไปด้วยมนุษย์ที่นับถือเงินตรามากกว่าความดี
เป็นการผจญภัยอีกครั้งบนหมู่เกาะชาบอนดี้ของกลุ่มลูฟี่ ซึ่งพวกเขามาพบกับเคมี่ นางเงือกจิตใจดีแต่มีฐานันดรต่ำกว่ามนุษย์ที่เกาะแห่งนี้ พร้อมกับได้ล่วงรู้ว่า บนโลกยังมีอีกหนึ่งตระกูลที่ยิ่งใหญ่ หาได้มีใครกล้าขัดขืนไม่ ซึ่งคนในตระกูลดังกล่าวกำลังใช้อำนาจอย่างไร้มนุษยธรรม สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับคนทั่วไปอย่างมาก และด้วยความพลั้งเผลอ ขณะกำลังท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานในหมู่เกาะชาบอนดี้กับกลุ่มของลูฟี่ นางเงือกเคมี่ก็ถูกจับตัวไปเป็นหนึ่งในสินค้าสำหรับการประมูล เผ่ามังกรฟ้าซึ่งมีอำนาจล้นมือก็ต้องตาต้องใจนางเงือกมานาน จึงประมูลเคมี่ไปเป็นสมบัติส่วนตัวได้สำเร็จ
ลูฟี่ต้องการเข้าไปช่วย แต่การเข้าไปต่อกรกับเผ่ามังกรฟ้าเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ควรทำ มนุษย์เงือก "ฮาจิ" เพื่อนของลูฟี่จึงเข้ามาห้าม และถูกเผ่ามังกรฟ้ายิงได้รับบาดเจ็บ นั่นจึงทำให้เกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่อย่างที่ใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้อีก
หากเปรียบเทียบความแตกต่างของครอบครัวด้วยฐานะทางการเงิน ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยก็คงไม่แตกต่างจากเนื้อเรื่องในตอนนี้สักเท่าใด แต่พ่อแม่สามารถหยิบยกประเด็นความเท่าเทียมกัน การเห็นอกเห็นใจกัน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีให้แก่กันให้ลูกเห็นได้ เพราะผู้เขียนการ์ตูนได้สะท้อนให้เห็นถึงความโลภ และการใช้อำนาจในทางที่ผิดของผู้ที่ลุแก่อำนาจผ่านภาพที่ไม่รุนแรงจนเกินไป เด็ก ๆ สามารถซึมซับได้ถึงความดีและความเลวที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนดังกล่าวยังทำให้เด็ก ๆ มองเห็นคุณค่าของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคน หรือสัตว์ ว่าต่างก็มีจิตใจ มีความกลัว มีความหวังที่จะมีชีวิตรอด เพื่อที่ว่าในอนาคต เขาจะได้ไม่ทำร้ายชีวิตอย่างไร้คุณค่านั่นเอง
5. การลาจากที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ (ลาก่อนโกอิ้งแมรี่)
เป็นอีกหนึ่งตอนที่นอกจากจะเรียกน้ำตาจากผู้อ่านทุกวัยได้อย่างถล่มทลายแล้ว ผู้เป็นพ่อแม่ยังสามารถนำมาสอนลูกให้เห็นคุณค่าของการพบ การอยู่ร่วมกัน และการพรากจากได้อย่างงดงาม เพราะเด็ก ๆ อาจยังทำใจได้ยากเมื่อต้องพบกับการพลัดพรากจากคนที่รัก หรือสิ่งที่คุ้นเคย เขาอาจร้องไห้เสียใจ และรู้สึกเศร้าได้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ดี การลาจากของกลุ่มหมวกฟางกับเรือโกอิ้งแมรี่อาจทำให้เด็ก ๆ ได้เห็นอีกหนึ่งมุมของการลาจากที่สวยงาม และเข้าใจได้ว่า สิ่งที่จากพวกเขาไปนั้น จะยังคงมีคุณค่าอยู่ในความทรงจำเสมอ แม้จะไม่สามารถสัมผัส หรือพบเจอกันได้อีก
เรือโกอิ้งแมรี่ เป็นเรือลำแรกที่ร่วมเดินทางกับกลุ่มของลูฟี่ และผ่านอุปสรรคนานัปการมาด้วยกัน กลุ่มโจรสลัดทุกคนต่างรักและหวงแหนเรือลำนี้มาก แต่จากการผจญภัยมานาน ทุกคนก็ประจักษ์ในความจริงที่ว่า เรือแมรี่ไม่สามารถพาทุกคนเดินทางต่อไปได้อีก เพราะกระดูกงู แกนกลางของเรือเสียหายอย่างหนัก ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เรือถูกกลุ่มรัฐบาลโลกปล่อยทิ้งให้กองอยู่กับเศษซากปรักหักพังที่เมืองวอเตอร์เซเว่น แต่มันก็รับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเกิดกับกลุ่มของลูฟี่ และใช้ความสามารถเฮือกสุดท้ายเข้ามาช่วยให้ทุกคนรอดปลอดภัย ก่อนที่เรือจะล่มลงในที่สุด
การจากลากับเรือโกอิ้งแมรี่เป็นอีกหนึ่งฉากที่งดงามสำหรับผู้ที่ติดตามอ่านการ์ตูนเรื่องวันพีซมายาวนาน และเชื่อว่าหลายคนยังจำได้ถึงภาพประทับใจของเรือแมรี่ที่ปรากฏอยู่ในฉากต่าง ๆ มากมาย
เช่นเดียวกันกับชีวิตมนุษย์ หากเด็ก ๆ สามารถจดจำภาพที่งดงามของตนเองกับคนที่รัก และสิ่งของสำคัญที่หวงแหน วันหนึ่งแม้คนและสิ่งของจะจากเขาไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม เชื่อว่าความทรงจำที่งดงามก็จะยังคงอยู่ในใจเด็ก ๆ เหมือนที่เรือโกอิ้งแมรี่อยู่ในใจของผู้อ่านทุกคน
อย่างไรก็ดี ทางสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมมิกส์ ผู้ดูแลลิขสิทธิ์การ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ระบุไว้ที่หน้าปกว่า เหมาะสำหรับผู้อ่านที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ดังนั้น หากพ่อแม่เป็นผู้อ่านแล้วนำมาเล่าให้กับลูกฟังก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการปล่อยให้ลูกอ่านเพียงลำพังค่ะ และสำหรับท่านที่มีตอนประทับใจอื่น ๆ และต้องการแบ่งปันกับผู้อ่าน ทีมงานขอน้อมรับด้วยความยินดีค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น