นิทานสอนใจ : อย่างนั้นหรือ (Is that so?)
ชื่อเรื่อง "Is that so? " ท่านลองแปลเอาเองว่าอย่างไรความหมายมันก็คล้ายๆ กับคำว่า "อย่างนั้นหรือ" มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ณ สำนักเซ็นของอาจารย์เฮ็กกูอิน ที่เป็นวัดที่เลื่องลือมาก เป็นที่พึ่งของคนในหมู่บ้าน และมีร้านขายของชำร้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดนั้น มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของร้าน แต่ไม่รู้ไปทำอย่างไรปรากฎว่าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา พ่อแม่ของเธอก็พยายามขยั้นขยอถามว่า "ลูกท้องได้อย่างไร ท้องกับใคร" ลูกสาวก็ไม่ยอมบอก แต่เมื่อถูกบีบคั้นหนักเข้า ก็ระบุชื่อของอาจารย์เฮ็กกูอิน ขึ้นว่าเป็นคนที่ทำให้เธอท้อง
เมื่อหญิงสาวคนนั้นระบุชื่อของอาจารย์เฮ็กกูอินว่าเป็นบิดาของเด็กที่อยู่ในครรภ์ พ่อแม่ก็เกิดอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและเดินทางไปที่วัดทันที และก็ไปด่าท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ด้วยสำนวนโวหารของคนที่โกรธที่สุดที่มักจะเผลอพูดออกมากับอารมณ์โมโหเหล่านั้น
แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่า "Is that so?"คือคำว่า อย่างนั้นหรือ ทั้งคู่ยืนด่าท่านอาจารย์จนเหนื่อย ไม่มีเสียง ไม่มีแรงที่จะด่าต่อไปอีก และในที่สุดก็กลับบ้านไปเอง หลังจากนั้นชาวบ้านที่เคยเคารพนับถือท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ก็พากันหมดศรัทธาและรุมด่าทอท่านว่า เสียแรงที่เคยเคารพนับถือต่างๆ นานา ท่านก็ไม่มีประโยคอะไรที่จะพูด นอกจากคำว่า Is that so? แม้แต่พวกเด็กๆ ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวก็ยังพากันด่าว่า "พระบ้า พระอะไรไม่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีลธรรม" ตามภาษาของเด็ก ท่านก็ว่า "Is that so?" ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ต่อมา หญิงสาวคนนั้นก็ได้คลอดเด็ก พ่อแม่ของหญิงสาวที่เป็นตายายของเด็กก็เอาเด็กไปทิ้งไว้ให้ท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ในอารมณ์ของการประชดประชันว่า "แกต้องเลี้ยงเด็กคนนี้" ท่านอาจารย์ก็ได้แต่บอกว่า "Is that so?" อีกตามเคย ท่านรับเด็กเอาไว้ และหานม หาอาหารสำหรับเด็กอ่อนจากผู้คนที่เขาเห็นอกเห็นใจท่านอาจารย์เฮ็กกูอินอยู่ พอเลี้ยงให้เด็กคนนั้นรอดชีวิตเติบโตอยู่ได้
ต่อมาไม่นานนัก หญิงสาวผู้เป็นมารดาของเด็กก็ทนอยู่กับไฟนรกที่สุมอยู่กลางใจของเธอไม่ได้ เพราะว่าเธอไม่ได้พูดความจริง มีอยู่วันหนึ่งเธอจึงไปสารภาพกับพ่อแม่ของเธอว่า บิดาที่แท้จริงของเด็กคนนั้นคือ เจ้าหนุ่มที่อยู่ร้านขายปลา เมื่อทราบดังนี้พ่อแม่ของเธอก็เหมือนมีไฟนรกเข้าเผาจิตใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงรีบเข้าไปที่วัดและกราบขอโทษขอโพยท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ครั้งแล้วครั้งเล่า เท่ากับความรู้สึกต่อความผิดที่พวกเขาได้ก่อเอาไว้ แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจาก "Is that so?"
จากนั้นสองตายายก็ได้ขอหลานกลับไปเลี้ยงดู ต่อมาชาวบ้านที่เคยด่าท่านอาจารย์ก็แห่กันเดินทางมาขอโทษ เพราะความจริงปรากฎเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านเดินทางมาขอโทษท่านอาจารย์อยู่นานหลายวัน ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก Is that so? อีกนั่นเอง
นิทานเรื่องนี้สอนเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นตฺถิ โลเก รโห นาม" และ "นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต" แปลว่า การไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก แต่ท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบดูว่า ถ้าท่านครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้กระทำเช่นเดียวกับอาจารย์เฮ็กกูอิน ท่านจะเป็นอย่างนี้ไหม คือ จะพูดว่า Is that so? อยู่ได้หรือไม่ ถ้าได้เรื่องก็คงไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ คือคงจะไม่ถูกฟ้องว่าตีเด็กเกินควร หรืออะไรทำนองนั้น ต้องไปถึงศาลก็มี นี่มันคือความหวั่นไหวทางอารมณ์มากเกินไป
จนกระทั่งเด็กเล็กๆ ก็ยังทำให้โกรธได้ เรื่องนิดเดียวก็ยังโกรธได้นี้ เพราะว่าไม่ยึดถือความจริงเป็นหลักอยู่ในใจ มันจึงไหวไปตามอารมณ์ โกรธมาก กลัวมาก เกลียดมาก ล้วนแต่เป็นอารมณ์ร้ายไปเสียทั้งนั้น ทำไมไม่คิดว่า มันไม่ใช่เรื่องราวอะไรมากมาย มันไม่ใช่เสียงส่วนมากที่ยืนยันว่า อันนั้นต้องเป็นความจริง ความจริงมันต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ถ้าจะมีอุเบกขา ก็ควรจะมีอุเบกขาอย่างนี้ ไม่ควรมีอุเบกขาอย่างที่มันผิดๆ กันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นเราควรรับฟังคนที่เขากำลังถูกกล่าวหาบ้างจะช่วยให้เรามีหลักความเป็นจริงอยู่ข้างในจิตใจ อย่าเพิ่งพิพากษาว่าเขาเป็นคนผิดจนกว่าจะรู้ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น