นิทานสอนใจ : ความช่วยเหลือของมนตรี
ณ โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง คนทั่วไปต่างก็รู้กันดีว่า โรงเรียนนี้ขึ้นชื่อด้านกีฬาฟุตบอลมาก เพราะทีมฟุตบอลของโรงเรียนนี้คว้าที่หนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลโรงเรียนระดับประเทศติดต่อกันมาแล้วหลายสมัย
มนตรี เป็นเด็กฉลาด แข็งแรง และมีน้ำใจเป็นนักกีฬาเสมอ เขาเล่นฟุตบอลอยู่ในทีมของโรงเรียนแห่งนี้ด้วย และเมื่อหัวหน้าทีมคนเก่าจบการศึกษาออกไป มนตรีก็ได้รับการคัดเลือกจากเพื่อนๆ ในทีมฟุตบอลให้เป็นหัวหน้าทีมคนใหม่ด้วยคะแนนที่เป็นเอกฉันท์
การแข่งขันฟุตบอลโรงเรียนระดับประเทศของปีนี้กำลังจะมาถึงในไม่ช้า มนตรี และเพื่อนๆ ในทีมต้องฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวันเพื่อรักษาความเป็นที่หนึ่งเอาไว้ให้ได้ พวกเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก เพราะนี่ไม่ใช่แค่การรักษาตำแหน่งเดิมเอาไว้ให้ได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาเกียรติประวัติของทีมฟุตบอลโรงเรียนซึ่งสั่งสมกันมาหลายรุ่น และยังถือเป็นความภาคภูมิใจของทุกๆ คนในโรงเรียนอีกด้วย
เมื่อวาระการแข่งขันฟุตบอลโรงเรียนประจำปีนี้มาถึง ทีมของมนตรีก็สามารถเอาชนะทีมจากโรงเรียนอื่นได้โดยไม่ยากเย็นนัก จนในที่สุดก็เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ตามความคาดหมาย
“การแข่งขันรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่สนามของโรงเรียนเรา เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้า ขอให้ทุกคนมาพร้อมกันที่นี่ได้เลย” มนตรี นัดแนะกับเพื่อนๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนกันที่บ้าน
วันต่อมา ปรากฏว่า ฝนตกตั้งแต่ตอนเช้ามืด เมื่อมนตรีออกจากบ้านนั้น ฝนซาลงมากแล้ว แต่ตามถนนหนทางก็ยังเปียกเฉอะแฉะ และบางแห่งก็ลื่นมากมนตรีต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง เพราะไม่อยากให้ตนเองได้รับบาดเจ็บก่อนการแข่งขัน
เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเรียน มนตรี สังเกตเห็นหญิงชราคนหนึ่งยืนตัวเปียกโชก ร่างกายของนางสั่นเทาด้วยความหนาวอย่างน่าสงสาร หญิงชราคนนี้ยืนงกๆ เงิ่นๆ และเฝ้าแต่มองไปยังฝั่งตรงข้าม มนตรี คิดว่า นางคงอยากข้ามถนนไปอีกฝั่ง แต่ไม่มีคนจูง จึงไม่กล้าข้ามไปคนเดียว เพราะพื้นถนนหน้าโรงเรียนลื่น และมีรถขับผ่านไปมามาก
มนตรี สังเกตคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมา ดูเหมือนว่า ทุกๆ คนต่างก็เร่งรีบไปทำธุระของตนเองจนไม่มีใครว่างพอที่จะหันมาสนใจหญิงชราคนนี้เลย ดังนั้น มนตรี จึงเดินเข้าไปหานางและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมีเมตตาว่า
“ยายอยากจะข้ามไปฝั่งโน้นใช่ไหม ผมจะช่วยยายเองนะครับ”
สีหน้าของหญิงชราแจ่มใสสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นางยังรู้สึกว่าตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวในโลก และความสูงอายุทำให้ตนเองดูไร้ค่าจนไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ แต่ตอนนี้กลับมีเด็กคนหนึ่งเดินมาเรียกว่ายาย และขันอาสาช่วยเหลือนาง ทำให้หญิงชรารู้สึกชื่นใจมาก
“หลานชาย ช่วยพายายข้ามถนนลื่นนี่หน่อยเถอะนะ บ้านยายอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง หลังร้านขายของนั่นล่ะ” หญิงชราเสียงสั่นเพราะความหนาว
“มาเถอะยาย เดินช้าๆ นะ ผมจะพายายไปส่งให้ถึงบ้านเลย” แล้วมนตรีก็จับแขนหญิงชรามาโอบไว้รอบคอ พร้อมกับค่อยๆ พยุงร่างของนางเดินเดินข้ามถนนอย่างระมัดระวัง
ตลอดทางที่เดินมาด้วยกันนั้น หญิงชราได้พูดกับมนตรีด้วยความรักใคร่ชื่นชม นางให้พรแก่เขาไม่หยุดปาก และกล่าวชมเชยไปถึงพ่อแม่ที่สั่งสอนลูกเป็นคนดี จนกระทั่งมาถึงบ้านของหญิงชราแล้ว มนตรีจึงยกมือไหว้และกล่าวคำอำลาแก่นาง
“ขอให้ผลบุญที่หลานชายทำในวันนี้ จงบันดาลให้หลานชายพบแต่ความสุขความเจริญเถิด” นางอวยพรให้มนตรีพร้อมกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม
มนตรี เดินเข้าโรงเรียนไปอย่างอิ่มเอมใจ และเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ความรู้สึกเป็นสุขที่ได้รับหลังจากชนะการแข่งขันฟุตบอล ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผ่านมานั้น เทียบไม่ได้เลยกับความสุขความเปรมปรีดิ์ที่ได้รับจากการช่วยเหลือหญิงชราผู้อ่อนแอครั้งนี้
กล่าวถึงในสนามแข่งขัน ตอนนี้มีผู้ชมเข้ากับจับจองที่นั่งเต็มทุกที่แล้ว แต่ทีมฟุตบอลของมนตรียังไม่พร้อม พวกเขาหน้าตาเคร่งเครียด เพราะกระวนกระวายใจที่หัวหน้าทีมยังมาไม่ถึงสนามแข่ง ทั้งๆ ที่ใกล้ถึงเวลาแข่งเต็มที่แล้ว แต่แล้ว ใครคนใดคนหนึ่งในนั้นก็มองเห็นมนตรีเดินมาแต่ไกล และตะโกนบอกให้เพื่อนๆ หันไปมอง เมื่อเห็นมนตรี ทุกคนก็ตรงเข้าไปห้อมล้อม และต่อว่าเขาอย่างเผ็ดร้อนร้อนในเรื่องที่ไม่รักษาเวลา
“ถ้าเพื่อนจะโกรธเรานั้นก็เห็นจะสมควรอยู่ แต่ขอให้ใจเย็นๆ แล้วฟังเหตุผลของเราเสียก่อน” แล้วมนตรีก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อนฟัง หลายคนเมื่อได้ฟังแล้วก็เข้าใจมนตรีมากขึ้น แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย เพราะคิดถึงแต่ผลการแข่งขันเป็นสำคัญ
“แค่คนแก่คนเดียว นายจะไปลำบากลำบนช่วยแกทำไม เดี๋ยวพอฝนหยุดตก ถนนแห้ง แกก็ข้ามกลับไปได้เองน่ะแหละ นายก็น่าจะรู้นะ ว่าถ้านายมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น...ทีมของเราอาจจะแพ้ก็ได้” ลูกทีมคนหนึ่งยังคงต่อว่ามนตรีไม่เลิก
“เพื่อน...เราไม่ได้ช่วยยายคนนั้นเพียงเพราะความแก่ของเขา และเกรงว่า แกจะข้ามถนนไม่ได้เพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่เราช่วยแก เพราะคิดว่าแกต้องเป็นแม่ของใครสักคน” มนตรี กล่าวอย่างจริงจัง
“แม่ใครก็ช่างเขาสิ...ถ้าไม่ใช่แม่ของนายแล้ว นายจะสนไปทำไม มันเรื่องอะไรกันที่นายจะต้องไปช่วยแม่ของคนอื่นด้วย” เพื่อนคนนั้นยังคงว่าต่อด้วยความเขลา ซึ่งมนตรีก็รู้ดี เขาจึงค่อยๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ทว่าแฝงไปด้วยความจริงจัง
“เราช่วยแก เพราะคิดว่าแกคงเป็นแม่ของใครสักคน และเราก็หวังว่า สักวันหนึ่ง เมื่อแม่ของเราแก่ตัวลงมากๆ และเราไม่ได้คอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ในตอนนั้น คงมีใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือแม่ของเรา เหมือนกับที่เราได้ทำให้ยายคนนั้นในวันนี้”
เมื่อได้ฟังคำตอบของมนตรี ทุกคนก็รู้สึกประทับใจในคำตอบของเขามาก จึงไม่มีใครสงสัยในเหตุผลของมนตรีอีก ลูกทีมที่พูดต่อว่ามนตรีเมื่อครู่ก็รู้สึกละอายใจตนเองมาก เขากล่าวแก่มนตรีว่า
“นายคงภาคภูมิใจในแม่ของนายมาก และมีแม่อยู่ในใจเสมอเลยใช่ไหม ถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้โดยคิดไปถึงแม่ของนายด้วย”
“แน่ล่ะเพื่อน” มนตรี ตอบ “คนที่ไม่มีแม่ของตนอยู่ในหัวใจเพื่อการระลึกถึง และไม่ภาคภูมิใจในแม่ของตนนั้น เป็นคนที่หาดีอันใดไม่ได้เลย นอกจากนั้น ชีวิตของเขาก็จะเต็มไปด้วยความหมองเศร้า และไม่มีวันได้พบกับความสุขความเจริญหรอก”
บทสรุปของผู้แต่ง
มนตรีนั้นเป็นเด็กที่มีความเมตตากรุณานัก เขานึกถึงความทุกข์ของผู้อื่น และหาทางช่วยให้ความทุกข์นั้นมลายไป เธอว่ามนตรีเป็นคนมีความสุขไหม ประสบความสำเร็จหรือเปล่า...ใช่แล้ว มนตรีเป็นเช่นนั้น แม้ในเรื่องนี้เขาจะยังเป็นเด็ก แต่เราคงพอที่จะเห็นอนาคตของเขาแล้วล่ะว่า ในอนาคตเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตมากคนหนึ่งเพราะเขาเป็นผู้มีความเมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และที่สำคัญที่สุด คือ เขามีแม่ของเขาประทับอยู่ในหัวใจเสมอ
ขอให้เราระลึกถึงแม่เหมือนดั่งมนตรี ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดอยู่ที่ไหนก็ตาม หากมีปัญหาทุกข์ทนเศร้าหมองใจ ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด ไม่จำเป็นต้องไปขอพรจากพระ ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาเป็นที่พึ่ง แต่จงระลึกถึงแม่ของเราก็พอ จำไว้เถิดว่า ท่านคือความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้วในชีวิต จำไว้เถิดว่า“แม่คือพระของเรา”
///////////////
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น