นิทานสอนใจ : เปิบมหาพิสดาร!
ความพิสดารในอดีตกาลครั้งนี้ เกิดขึ้นที่เมืองพาราณสี...
เริ่มเรื่องด้วยการที่เศรษฐีคนหนึ่งได้ถึงแก่กรรมลง พระราชาจึงมีพระกระแสรับสั่งให้ทายาทเศรษฐีนาม "คันธกุมาร"เข้าเฝ้าเพื่อทรงปลอบโยนให้คลายโศก แล้วจึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้แทนบิดา
ต่อมาผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐีผู้วายชนม์ก็ขนทรัพย์สมบัติที่เก็บรักษาไว้มาให้คันธเศรษฐีดูพลางแจงให้ทราบว่าส่วนไหนเป็นของบิดา และส่วนไหนตกทอดมาจากปู่ของเขา
คันธเศรษฐีเห็นทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ตนแล้วก็คิดว่าบรรพบุรุษทั้งหลายไม่ฉลาดเลยที่พากันสะสมทรัพย์สินไว้มากมายแล้วละทิ้งไปเสีย เพราะฉะนั้น เขาจะต้องนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปด้วยให้จงได้
คงจะทราบดีอยู่แล้วว่า ตามคติของชาวพุทธนั้น การที่คนเราจะนำทรัพย์สินติดตัวหลังจากกลับโลกไปแล้วได้นั้นจะต้องทำบุญทำทานในพระพุทธศาสนา และสงเคราะห์คนยากไร้เจ็บป่วย แต่คันธเศรษฐีก็ไม่ฉลาดพอที่จะทราบ และกระทำดังกล่าว เขาคิดแค่จะใช้สมบัติเหล่านี้ให้หมดไปก่อนตายเท่านั้น
เศรษฐีจึงเริ่มดำเนินการใช้จ่ายเงินเพื่อการ "เปิบมหาพิสาดาร" ของตัวเองโดยจ่ายเงินสองแสนแรกสร้างห้องอาบน้ำประดับประดาไปด้วยแก้วผลึก จัดสร้างบัลลังก์สำหรับนั่ง ถาดใส่อาหาร ตั่งสำหรับวางอาหาร และมณฑปที่ตกแต่งประตูหน้าต่างอย่างวิจิตรงดงามด้วยเงินหลายแสนบาท แล้วจ่ายเงินจำนวนพันสำหรับอาหารแต่ละมื้อ
ครั้นใกล้ถึงวันเพ็ญ คันธเศรษฐีก็ให้เตรียมอาหารราคาเรือนแสน ทั้งยังสละเงินอีกหนึ่งแสนตกแต่งพระนครจนงดงาม ใช้ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวประกาศเชิญชวนประชาชนมาชมการเปิบมหาพิสดารของตน ราษฎรทั้งหลายจึงเตรียมผูกเตียงซ้อนเตียงขึ้น (คงทำคล้าย ๆ อัฒจันทร์สมัยนี้) เพื่อจะชมการเปิปกันให้ชัด ๆ
วันนั้นมีชายบ้านนอกบรรทุกฟืนเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้า และเสบียงอาหารคนหนึ่งเข้ามาพักกับสหายของตนในเมือง พอทราบข่าวการบริโภคอาหารของคันธเศรษฐีก็ชักชวนกันไปดู
ฝ่ายเศรษฐีก็อาบน้ำชำระร่างกายอยู่ในห้องแก้วผลึกโดยใช้น้ำหอมถึง 16 หม้อ จากนั้นจึงขึ้นนั่งบัลลังก์เปิดสีหบัญชรให้ประชาชนชม แล้วคอยบริวารที่จะยกอาหารมาจึงบริโภคอาหารเรือนแสนโดยมีการฟ้อนรำ และมโหรีบรรเลงขับกล่อมต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
ส่วนชายบ้านนอก เมื่อชมการบริโภคอาหารของเศรษฐีแล้วก็เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้บริโภคบ้าง แม้ไม่สมหวังก็จะขอตาย สหายของเขาจึงต้องเข้าไปอ้อนวอนคันธเศรษฐีให้ช่วยชีวิตเพื่อนไว้ ครั้งแรกเศรษฐีไม่ยอมด้วยกลัวว่าจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่น ๆ พากันมาขอบ้าง
แต่ด้วยเห็นแก่ชีวิตชายบ้านนอกคนนั้น จึงออกปากให้โดยมีข้อแม้ว่า ชายคนนั้นต้องมาทำงานในบ้านของตนครบ 3 ปีเสียก่อนถึงจะมีสิทธิ์บริโภคอาหาร มหาชนทั้งหลายเมื่อทราบเรื่องในครั้งนี้ต่างก็ขนานนามชายบ้านนอกนั้นว่า "นายภัตตภติกะ"
ด้านนายภัตตภติกะก็ไม่ย่อท้อ ทำกิจการทุกอย่างโดยเรียบร้อยทั้งงานในบ้าน ในป่า ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือกลางคืน และเมื่อครบ 3 ปีตามสัญญา คันธเศรษฐีก็อนุญาตให้จัดงาน "เปิบมหาพิสดาร" ขึ้นในคืนวันเพ็ญท่ามกลางสายตามหาชน
ได้เวลานายภัตตภติกะก็อาบน้ำชำระร่างกายในห้องแก้วผลึกด้วยน้ำหอม 16 หม้อตามแบบคันธเศรษฐีทุกประการ แล้วจึงขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อเตรียมลิ้มรสอาหาร
กาลนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ในป่าหิมพานต์พระองค์หนึ่งทรงออกจากนิโรธสมาบัติ หรือเข้าถึงความดับครบเจ็บวันในวันที่เจ็ด ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณ จึงทรงเหาะมาบิณฑบาตอาหารจากนายภัตตภติกะ ฝ่ายนายภัตตภติกะผู้สู้อุตส่าห์อดทนทำงานถึง 3 ปี เพียงเพื่อจะลิ้มรสอาหารมื้อนี้ ยังไม่ทันได้ตักเข้าปากสักคำก็เหลือบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าจึงกลับคิดได้ว่า
"เพราะเราไม่ได้ทำทานเอาไว้ในกาลก่อน ชาตินี้จึงเกิดมายากจนถึงเพียงนี้ อาหารมื้อนี้ถ้าเราบริโภคเข้าไปก็จะยังประโยชน์ต่อเราเพียงแค่วันเดียว แต่ถ้าเราถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว อาหารนี้ก็จะยังประโยชน์ต่อเรามากกว่าพันโกฏิกัลป์ทีเดียว"
คิดได้ดังนั้นนายภัตตภติกะจึงก้มลงกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายบิณฑบาตแก่พระองค์
เมื่อใส่อาหารลงไปได้ครึ่งหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงปิดบาตรเสีย แต่นายภัตตภติกะขอร้องให้ทรงรับไปเสียทั้งหมดเพื่อผลบุญจะได้เต็มที่ หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้ารับแล้วนายภัตตภติกะจึงขอพรให้ตนมีความสุขในทุก ๆ ชาติ และขอให้ได้มีส่วนแห่งธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงมีด้วยเถิด
พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานว่า
"ขอให้ท่านจงสำเร็จสมความมุ่งหมาย ประสงค์สิ่งใดจงได้เต็มเปี่ยมดุจพระจันทร์วันเพ็ญ และแก้วมณีโชติรสฉะนั้น"
จากนั้นก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานให้มหาชนทั้งปวงสามารถมองเห็นพระองค์เหาะกลับไปยังภูเขาคันธมาทน์แจกอาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อยพระองค์ที่ประทับอยู่ ณ ที่นั่น ซึ่งก็แจกกันได้อย่างทั่วถึงโดยไม่รู้จักหมด
มหาชนเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงสาธุการดังสนั่นราวกับอสนีบาต คันธเศรษฐีได้ยินก็เข้าใจว่าเป็นเสียงหัวเราะเยาะของมหาชนเมื่อเห็นนายภัตตภติกะบริโภคอาหารด้วยท่าทางเปิ่นเทิ่นตามแบบยาจกบ้านนอก แต่เมื่อทราบเรื่องราวที่แท้จริงจากบริวารก็เรียกนายภัตตภติกะเข้ามาเพื่อขออนุโมทนาแบ่งบุญ ซึ่งนายภัตตภติกะก็ยินยอมแบ่งให้ตามส่วน ด้านคันธเศรษฐีจึงแบ่งทรัพย์ให้กึ่งหนึ่ง
แม้แต่พระราชาที่ทรงสดับข่าวก็ยังขอแบ่งบุญจากนายภัตตภติกะ เขาได้รับพระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย แล้วยังได้รับพระราชทานคำว่า "เศรษฐี" เป็น "ภัตตภติกะเศรษฐี" อีกด้วย
คงจะไม่แปลกใจในผลบุญของนายภัตตภติกะ ด้วยเขาบริจาคทานอันทำได้ยากยิ่ง บริจาคทานอันสุจริตทั้งหมดแก่ผู้มีจิตบริสุทธิ์ด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม จึงได้รับอาริสงส์ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ครั้นสมัยพุทธกาลนายภัตตภติกะก็ถือกำเนิดมาเป็น "สุขกุมาร" บรรพชาเป็นสามเณรแล้วบรรลุธรรมตั้งแต่อายุ 7 ขวบดังนี้แล
//////////////
ขอขอบคุณนิทานเรื่องสั้น "ธรรมะบันดาลใจ นิทานต้นแบบแห่งความดี" สำนักพิมพ์ในเครือสถาพรบุ๊คส์
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น