นิทานสอนใจ : แรงพยาบาท-ถาดทอง
ท่านผู้อ่านทุกคนย่อมรู้จักความโกรธกันดีอยู่แล้ว และต้องเคยโกรธ เคยถูกโกรธ หรือไม่พอใจมาแล้วทั้งนั้น บางคนคิดพยาบาทและร้ายที่สุด คิดแก้แค้นโดยการประทุษร้ายตอบกลับไป อย่างไรก็ตาม ก็กล้าท้าว่าคงไม่มีใครที่ไหนพยาบาทมากเท่ากับพ่อค้าในนิทานเรื่องที่กำลังจะเล่าให้ฟังนี้ แล้วทำไมจึงเกิดความอาฆาตหนักหนาสาหัสเช่นนี้ และถาดทองมาเกี่ยวข้องได้อย่างไร เชิญติดตามเรื่องราวได้เลยค่ะ
ในอดีตกาลล่วงมานานแสนนาน ณ เสริวประเทศ มีพ่อค้าอยู่ 2 คน ชื่อว่า "เสรีวัน" และ "เสรีวะ" พ่อค้าทั้ง 2 คนอยู่ในตำบลเดียวกัน และได้ค้าขายร่วมทางกันตลอดมา พ่อค้าคนที่ชื่อเสรีวันเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่คนที่ชื่อเสรีวะ เป็นคนโลเลและโลภมาก ทั้งสองคนต่างยึดอาชีพเร่ซื้อขายของไปตามเมืองต่างๆ ร่วมกัน
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองได้ชวนกันสะพายย่ามและหาบสินค้าไปขายยังตำบลหนึ่งในเมืองอริฏฐปุระ แล้วก็แยกทางกัน เสรีวันเดินเข้ามาทางทิศตะวันออก ส่วนเสรีวะเดินเข้ามาทางตะวันตกของตำบลนั้น เสรีวะได้ไปถึงเรือนเศรษฐีตกยาก ซึ่งมีแต่ยายกับหลานสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันสองคน เมื่อหลานสาวเห็นเครื่องประดับที่พ่อค้าคนนั้นเร่ขายก็ร้องไห้ด้วยความอยากได้ ยายจึงนำถาดเก่าคราคร่ำใบเดียวที่มีอยู่ออกมาขอแลก พ่อค้าคนนั้นเอาเข็มขีดขูดดูจึงรู้ว่า เป็นถาดทองคำแท้ จึงนำถาดไปชั่งน้ำหนักดูก็เห็นราคาคงราวๆ แสนกหาปณะ (เป็นการเรียกเงินตราในสมัยพุทธกาล 1 กหาปณะมีมูลค่าเท่ากับ 4 บาทไทย)
พ่อค้าคนนั้นจึงเกิดความโลภ อยากได้เปล่าจึงวางถาดนั้นเสีย แล้วบอกกับยายว่าไม่มีราคาไม่อาจแลกของอะไรได้เลย และก็จากไป ด้วยความหวังเมื่อย้อนกลับมาก็จะได้ถาดนั้นเปล่าๆ หรือไม่ก็แลกกับของราคาถูกๆ ทำให้หลานสาวของยายร้องไห้คว่ำครวญด้วยความผิดหวัง
เมื่อพ่อค้าโลเลโลภมากคนนั้นจากไปสักพักใหญ่ นายเสรีวันพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางทิศตะวันออกก็เร่ร้องซื้อขายของมาถึงเรือนเศรษฐีตกยากหลังนั้นเช่นกัน ยายกับหลานสาวก็นำถาดนั้นออกมาขอแลกเปลี่ยนกับเครื่องประดับอีก พ่อค้าคนนั้นจึงยกถาดนั้นชูขึ้น เห็นว่าหนักแปลกกว่าถาดธรรมดา จึงขีดขูดดูด้วยเข็มดังเช่นพ่อค้าคนก่อนหน้านี้ทำ ก็รู้ว่าเป็นทองคำ จึงบอกออกไปตามความจริงว่า "ถาดใบนี้เป็นทองคำมีราคาถึงหนึ่งแสนกหาปณะ"
ส่วนสินค้าที่เขามีอยู่ราคาเพียง 500 กหาปณะเท่านั้น ย่อมไม่สามารถจะแลกเปลี่ยนกันได้ ยายเจ้าของถาดจึงบอกว่า "เมื่อสักครู่นี้มีพ่อค้าคนหนึ่งมาดูแล้วบอกว่า เป็นของไม่มีราคา แต่มาบัดนี้ได้ปรากฎขึ้นมาว่าเป็นทองคำ ก็เห็นจะเป็นบุญของเธอกับหลานสาวมาก เธอจึงให้เลือกกับสินค้าตามสมควรเถิด"
เมื่อยายเจ้าของถาดอ้อนวอนอย่างนี้อยู่ถึงสองสามครั้ง พ่อค้าจึงยอมตกลงยกสินค้าที่มีทั้งหมด ซึ่งมีราคาเพียง 500 กหาปณะกับเงินอีก 500 กหาปณะให้ แล้วรีบนำถาดนั้นกลับที่พักโดยเร็ว
เมื่อเสรีวันออกไปพ้นหมู่บ้านแล้ว ก็ได้เวลาที่เสรีวะย้อนกลับมา พอทราบว่าเสรีวันได้นำถาดไปเสียแล้วก็แค้นใจ เสียใจจนล้มลงหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงคว้าไม้แล้วออกวิ่งตามหา และไปทันเสรีวันที่กำลังจะข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งตรงข้าม จึงร้องตะโกนให้กลับมา แต่เสรีวันไม่ยอมกลับ เสรีวะเกิดความขัดเคืองสุดขีด กำทรายขึ้นมาหนึ่งกำแล้วตะโกนว่า "ข้าจะตามจองล้างจองผลาญเจ้าไปทุกภพทุกชาติ ให้มากกว่าเม็ดทรายทั้งหมดที่ข้ากำอยู่ในมือนี้"
ครั้นเสรีวะกล่าวจบก็มีโลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขาด้วยอำนาจความแค้นเคืองเศร้าโศกเสียใจเป็นกำลัง ถึงกับล้มลงขาดใจตาย ณ ที่นั้นเอง
ท่านผู้อ่านควรจะทราบต่อไปว่าพ่อค้าที่ชื่อเสรีวะนั้นคือ พระเทวทัต ที่ผูกอาฆาตพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกและตามล้างแค้นกันมาหลายชาติจนถึงชาติสุดท้ายได้เกิดเป็นพระเทวทัต และพ่อค้าเสรีวันเกิดเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเทวทัตตามประทุษร้ายพระพุทธองค์หลายครั้งหลายคราแต่ไม่สำเร็จ
ท่านทั้งหลายคงเห็นฤทธิ์ของความพยาบาท ความโลภ และความหลงผิดกันแล้วว่า มันเป็นเหตุแห่งความทุกข์และนำไปสู่ความหายนะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ายิ่งมีสิ่งเหล่านี้ในตัวของคนเราน้อยเท่าไร ก็จะทำให้ชีวิตพบเจอแต่ความสุขความเจริญมากเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น